“อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ ทั้งเมือกจากอสรพิษทั้งน้ำมูกเจ้า ข้ารังเกียจ” อาเป่าขยับหนีเยว่เล่อที่กำลังล้มตัวมาซบไออุ่นจากขนปุกปุยของมัน
“หรือจะให้ข้าถลกหนังเจ้าเอามาห่ม” อาเป่าไม่กล้าค้านอีกยอมให้นางซุกตัวเหนียวเหนอะกับขนของมัน หิมะเริ่มตกลงมาหนักมากขึ้นจนปกคลุมพื้นดินเป็นปุยสีขาว เยว่เล่อตัวสั่นงกงันแนบใบหน้าแล้วสั่งน้ำมูกเช็ดขนอาเป่า มันหันหน้าหนีความอัปยศและความรังเกียจไปทางอื่นก่อนจะเห็นว่าอาปิงวิ่งกลับมาจากไปดูลู่ทางแล้ว
“นายหญิงข้างหน้ามีลำธารไหลออกไปด้านนอก หากเดินไปตามลำธารต้องมีทางออกจากหุบเหวนี้แน่ ทั้งระหว่างทางข้าเจอถ้ำด้วยเราเข้าไปพักสักคืนพรุ่งดีค่อยเดินต่อดีไหม”
“อือ” เยว่เลอปีนขึ้นไปขี่คออาเป่าทั้งที่มันยังนอนอยู่เป็นการบอกว่าให้มันพานางไป มันถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินตามอาปิง หรือมันจะประจบยัยหนูนี่เหมือนเจ้าหมาโง่ดีไหม นางจะได้เลิกใช้เขาเยี่ยงทาสเช่นนี้
ในถ้ำอบอุ่นกว่าข้างนอกเยว่เล่อจึงมีใจอยากเดินสำรวจขึ้นมาบ้าง นางให้พวกมันสองตัวนอนเฝ้าหน้าถ้ำส่วนตนเองเดินลึกเข้าไปเพื่อสำรวจดูภายใน พอเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆทางยิ่งแคบ ตรงหน้าของนางคือซอกหินเล็กๆให้ลอดผ่าน เมื่อลอดจนพ้นกลับพบว่ามันคือโถงถ้ำขนาดใหญ่ทั้งยังมีทางไปต่ออีกหลายทาง
“โอ้ อะไรกันนี่โชคข้านี่ไม่เลวๆ นี่มันบัวเยือกแข็งทั้งยังเป็นระดับ 7 ขั้นสูงเชียว เก็บเม็ดบัวไปให้ท่านแม่ทำเครื่องประทินโฉมคงจะพอลดโทษข้าได้บ้างคิกๆ” เดินจนสุดทางของหนึ่งในเส้นทางที่นางสุ่มก็พบกับแอ่งน้ำไม่ใหญ่มากแต่ในนั้นมีบัวหิมะเยือกแข็ง พืชปราณที่ท่านแม่ชอบนำเม็ดมันมาทำเครื่องประทินโฉมพอดีจึงเก็บเกี่ยวกำไร เมื่อเสร็จนางก็กลับไปหาอาปิงกับอาเป่า
“นี่ ข้าบอกให้พวกเจ้าเฝ้าไม่ใช่ให้นอนหลับปุยขณะที่ข้ากำลังเดินหาทางออกอย่างยากลำบากเช่นนี้” เยว่เล่อเดินไปซุกขนพวกมัน
“เอ่อ นายหญิงขนพวกข้าเลอะไม่เหลือแล้ว นายหญิงโปรดเมตตาด้วยเถอะ”
“ใช่ เจ้าน่ะเป็นคนทำให้พวกข้าสองตัวลำบากเองแท้ๆยังจะมาทำขนอันล้ำค่าของข้าสกปรกอีก ออกไปนะ ขยะแขยง”
เยว่เล่อมองพวกมันแล้วเบะปาก ก้มลงไปซุกไม่สนใจเสียงพวกมัน“อย่าบ่นเยอะน่า ข้าเริ่มหนาวแล้วอาปิงเจ้าจุดไฟให้ข้าที”
“นายหญิงข้าเป็นหมาป่าเหมันต์นะขอรับจะไปจุดไฟได้อย่างไร...”
“หึ เป็นคุณหนูอยู่ในตำหนักดีๆไม่ชอบ อยากเป็นผู้ประสบภัยในหุบเหวเยือกแข็ง” อาเป่าที่ฟุบหน้านอนอยู่อดพูดแซะนางไม่ได้
“เชอะ พวกเจ้านี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ” นางสายหัวไปมาก่อนจะใช้ลมปราณใส่กำไลมิติแล้วนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาใช้
เตาปรุงโอสถทองคำปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า นางนั่งลงบนขนปุกปุยของอาเป่า มันเหลือบมองเด็กสาวที่ใช้ลมปราณจุดไอร้อนมาอังมือแต่ใช้ลมปราณเท่าไรมันก็ไม่เกิดไอความร้อนสักที เดิมมันและอาปิงเป็นสัตว์อสูรระดับแปดจึงมีความทนทานต่อความหนาวเย็น ยิ่งกับอาปิงที่เป็นหมาป่าเงินเหมันต์ความหนาวเย็นเป็นเพียงลมแผ่ว แต่กับยัยหนูนี่ไม่ใช่“นั่นมันเตาปรุงโอสถระดับเทพนี่”
“นี่น่ะหรือ แค่เตาอังไฟระดับเทพยามฤดูหนาวที่บ้านข้าต่างหาก” อาเป่าเหลือบมองฟ้า เอือมระอากับนาง เขาขี้เกียดจะเถียง
แต่เวลาผ่านไปสักพักอาเป่ายังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงไอความร้อน มันแอบเปิดตาดูข้างหนึ่ง เห็นยัยหนูนั่งเพ่งลมปราณใส่เตา แต่ไฟไม่เกิดสักทีมันจึงทำเป็นหลับตาแล้วถามว่า
“คุณสมบัติลมปราณเจ้าเป็นธาตุอะไร”
ฟืดดด เยว่เล่อสูดน้ำมูกแล้วหันไปมองแมวอ้วนนอนเอามือสองข้างไขว้วางตรงคาง จมูกของนางแดงก่ำตัวเริ่มสั่นงกๆอีกครั้ง อากาศตอนกลางคืนในหุบเขานี้หนาวเย็นกว่าเดิมมาก
“ธาตุลมกับน้ำ”
“เหอะ นี่เจ้าโง่รึป่าวถึงได้ใช้ลมปราณที่มีคุณสมบัติลมกับน้ำจุดไฟ” อาเป่าลืมตามาเพื่อดูหน้าคนโง่ แค่เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังไม่รู้ มันไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่ายัยหนูนี่ไปถึงระดับ4ได้ไง
“แล้วทำไมตอนข้าอยู่บนตำหนักถึงจุดได้เล่า!!! ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย”
“นายหญิง บนตำหนักเทียนฝูเต็มไปด้วยลมปราณแห่งฟ้าดิน มันพิเศษมากจนสามารถทำให้คนที่ซึมซับลมปราณสามารถแปลงคุณสมบัติได้ทุกธาตุขอรับ โลกเบื้องล่างไม่มีลมปราณแห่งฟ้าดินจึงทำให้ใช้ได้แค่คุณสมบัติธาตุของตนเอง” อาปิงตื่นเพราะได้ยินเสียงเถียงกันพอดีจึงอธิบาย
ปากของเยว่เล่ออ้าออกกว้างในสมองเริ่มนึกบางเรื่องออกมาได้ ตอนที่นางเรียนกับอาจารย์ส่วนตัวที่ท่านแม่ไปเฟ้นหามาให้เหมือนจะมีเรื่องนี้อยู่ เขาบอกนางว่าคนเรานั้นมีความถนัดต่อธาตุไม่เหมือนกัน เขายังตรวจสอบคุณสมบัติธาตุของนางด้วย แต่เพราะตอนอยู่บนตำหนักนางใช้ลมปราณแปลงได้ทุกธาตุจึงไม่สนใจและหลับในคาบเรียน
ตุบ เคร้งๆ กึก กึก
“บัดซบเอ้ยยย ข้านั่งใส่ลมปราณตั้งนานไอ้เตานี่ไร้ประโยชน์จริงๆ” เยว่เล่อลุกขึ้นมาเตะเตานั่นจนกลิ้งไปไกล
“เอ่อ นายหญิงท่านมานอนซุกขนข้าเถอะ ข้าไม่รังเกียจท่าน” อาปิงมองเตาปรุงโอสถระดับเทพนั่นอย่างจนปัญญาพูดในใจว่า (เจ้าเตา เจ้าไม่ผิด ผิดที่คนครอบครอง) มันส่ายหัวแล้วเดินมาประกบอีกด้านของเยว่เล่อเบียดกับตัวของอาเป่า
อาเป่ามองหน้าหมาป่าเงินเหมันต์คู่แค้นคู่กัดของมันที่มานอนข้างๆกันเพื่อให้ความอุ่นยัยหนูนี่ มันถอนหายใจไม่ได้พูดอะไรแล้วหลับตานอนต่อไปเมื่อยามเช้ามาถึงลมหนาวและหิมะเบาบางไปบ้าง พวกเขาเดินทางไปตามลำธารจนมาถึงเขตป่าชั้นนอกได้ในอีก 2 วัน ถือว่าแผนเรื่องทางลัดสำเร็จโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนจะเดินทางต่อเยว่เล่อรู้สึกทนต่อความเหนียวตัวและความเน่าเหม็นของเมือกพิษต่อไปไม่ไหวจึงหาแหล่งน้ำเพื่อชำระล้างกาย
“น้ำตกของโลกเบื้องล่างไม่เลวเหมือนกันแฮะ”
เยว่เล่อถอดเสื้อผ้าออกแล้วลงไปแช่ตัวกลางสายน้ำเย็นให้มันพัดผ่านตนไปอย่างผ่อนคลาย แต่ความสงบอยู่กับเยว่เล่อได้ไม่นานจริงๆเมื่อนางรู้สึกได้ถึงสายตาหนึ่งว่ากำลังแอบมองนาง ร่ายกายบางลุกยืนขึ้นจนระดับน้ำถึงแค่เอว โจรถ้ำมองจ้องแผ่นหลังบางขาวเนียนตาเป็นมัน ก่อนจะมีมีดพุ่งมาปักตรงต้นไม้ที่เขาแอบอยู่ข้างหลังจนเขาแทบหลบไม่ทัน พอหันกับไปมองอีกทีร่างแน่งน้อยอันงดงามก็หายไปแล้วจึงถอยหายใจอย่างเสียดายแล้วหันกับมา ไม่คิดเลยว่าแม่นางคนนั้นจะปรากฏตรงหน้า กำลังจะเอ่ยทักตาทั้งสองข้างก็ถูกแม่นางคนนั้นจิ้มเข้าให้
“โอ้ย แม่นาง ใจเย็นก่อนข้าไม่ได้มีเจตนาแอบมองเจ้า”
“ข้าไม่ควักลูกตาเจ้าออกมาก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว นี่แหนะ!!!” แถมด้วยเตะกล่องดวงใจไปเต็มแรงก่อนจะพุ่งตัวหนีไปก่อนกลุ่มคนที่กำลังมาทางนี้พบเจอเข้า
“องค์ชาย!!! ท่านเป็นอะไร ใครทำอะไรท่าน” องค์รักค์ผู้ติดตามเห็นองค์ชายเอามือปิดตาอีกข้าง...เอ่อ...ปิดกล่องดวงใจจึงรีบถาม
“อึก ไม่มีอะไร พวกเจ้าเห็นผู้หญิงแถวนี้รึไม่” เขาพยายามเก็บความเจ็บปวดแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้เขาบอกองค์รักค์ได้อย่างไรว่าเขาแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ แล้วโดนนางทิ่มตาและเตะลูกชายของเขา!!!
“ในป่าอสูรแบบนี้จะมีแม่นางคนไหนมาเดินเล่นล่ะขอรับองค์ชาย”
“...ช่างมัน รีบไปหาพี่ใหญ่ จะได้รีบกลับพระราชวัง” น่าเสียดายจริงๆ แม้เพียงชั่วพริบตาแต่เขาพอมองเห็นหน้าตาของแม่นางคนนั้น ดวงตาหวานฉ่ำวาว ปากนิดจมูกหน่อยเหมือนเทพธิดาน้อยมาจุติก็ไม่ปาน งดงามอย่างมาก งามยิ่งกว่าสนมของเสด็จพ่อเสียอีก แต่ตอนนี้คงได้แต่ทำใจ เขาต้องรีบตามหาพี่ใหญ่ให้เจอก่อนจะเจออันตราย หากมีวาสนาคงได้พบกับแม่นางคนนั้นอีก
ฟุบ ฟุบ
เสียงย่ำเท้าอย่างอารมณ์เสียสร้างความสงสัยให้กับอสูรสองตัวที่ตอนนี้แปลงร่างให้ตัวเล็กลงจนเหมือนหมากับแมวปกติ
“ไหนเจ้าบอกว่าจะไปอาบน้ำ?” อาเป่าขมวดคิ้วสงสัย
“ข้ามีชุดธรรมดาแค่ชุดเดียว จะให้ข้าใส่ชุดตอนเป็นคุณหนูไปหรือ มีหวังข้าโดนจับได้พอดี รีบเดินทางเถอะข้าอยากออกจากป่าจะแย่อยู่แล้ว” ทั้งหงุดหงิดกับชายโรคจิตแอบถ่ำมอง ทั้งหงุดหงิดกับเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่นางทำได้แค่ซักแล้วใช้ปราณธาตุลมเป่าให้แห้ง ทุกอย่างน่าหงุดหงิดไปหมด
ใช้เวลาสองวันนิดๆทั้งสามก็สามารถเดินออกจากป่าได้ แต่กว่าจะถึงเมืองของมนุษย์เบื้องล่างยังต้องใช้เวลาอีกถึง 3 วันทำเอาเยว่เล่อหัวเสียไปยกใหญ่
หลังจากเดินซื้อของจนหมดเรี่ยวแรงร่างกายของเยว่เล่อก็ล้มตัวนอนบนฟูกนุ่มๆทันทีเมื่อกลับถึงห้อง เป่าตงและเสวี่ยปิงที่นอนรออยู่ในห้องเงยหัวขึ้นมามอง “ไปอาบน้ำก่อนค่อยนอน” เสียงเรียบๆของเป่าตงดังขึ้นมา ตอนนี้มันเหมือนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเต็มตัว “ขอนอนพักสักพักค่อยไปอาบ” เยว่เล่อนอนหงายกางแขนกางขาจนเต็มเตียง สายตามองเพดานเตียงอย่างเลื่อนลอย ส่วนหนึ่งในใจตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจากทวีปหยางจื่อตี้แล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลอยู่เรื่องหนึ่ง ฟึบ เยว่เล่อตะแคงข้างหันไปมองเป่าตงและเสวี่ยปิงที่นอนอยู่บนเบาะของตัวเอง ตอนแรกนางตกลงกับพวกมันว่าหากข้ามทวีปได้สำเร็จจะปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ…แต่ในใจเยว่เล่อดันเกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นมา นางไม่อยากปล่อยพวกมันไปเลย แม้เป่าตงจะขี้บ่น ขี้เหวี่ยง ขี้วีนแค่ไหน แต่มันก็คอยช่วยนางอยู่ข้างๆเสมอ เสวี่ยปิงเองถึงแม้จะเป็นหมาขี้ประจบ แต่มันก็เป็นเหมือนเพื่อนที่ดีของนาง การมีทั้งสองตัวอยู่ด้วยทำให้การเดินทางของนางไม่เหงาเลยสักวัน ทุกวันมีแต่เรื่องสนุกเต็มไปหมด ถ้าจะต้องจากกันในวันพรุ่งนี้… แค่คิดถึงเรื่องน่าเศร้าดวงตาของเยว่เล่อก็เริ่มแดงก่ำ
พอเช้าวันต่อมา เยว่เล่อ ฮุ่ยหมินและเหล่าสหายโจรก็นั่งเรือซ่อมซ่อลำเดิมพร้อมปลาหมึกกลับมายังท่าเรือ สภาพของเหล่าสหายโจรดูย่ำแย่เกินกว่าจะบรรยายได้ เพราะพวกเขาไม่ได้เจอเหล่าสหายพี่น้องกองโจรมาหลายอาทิตย์จึงกินดื่มกันจนเมาหัวราน้ำ ส่วนเยว่เล่อมิได้ร่วมดื่มแต่สภาพกลับไม่ต่างกันเท่าไรนักเมื่อนางเมากลิ่นซากปลาหมึก! เยว่เล่อไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าจะเอาพวกมันไปด้วยทำไม แต่พอนางบอกให้เอาโยนทิ้งไปฮุ่ยหมินก็รีบมาห้ามไว้เพราะบอกว่ากลับไปมือเปล่ามันน่าสงสัย “แหวะ อ้วก” เพียงแค่ขึ้นมาถึงฝั่งเยว่เล่อและเหล่าสหายโจรก็ประจำพุ่มไม้แยกกันอ้วกจนหมดพุง หลังลากสังขารกลับโรงเตี๊ยมได้ หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งมารายงานคนที่สภาพดีที่สุดเช่นฮุ่ยหมินว่ามีคนฝากจดหมายเอาไว้ให้ เมื่อเขาคลี่จดหมายออกจึงพบว่าเป็นนัดหมายตกลงราคาสินค้า เขามิค่อยพอใจนักที่นางจะขายสิ่งล้ำค่าหายากเช่นไข่ของหงส์เพลิง แต่ในเมื่อตกลงกันแล้วว่าเขาได้เงินนางได้หินนั่นจึงทำอะไรไม่ได้ อีกอย่างคนที่คว้าชัยชนะมาได้ก็คือนาง “น้องสาวเจ้าไหวมั้ยเนี่ย” ฮุ่ยหมินพยุงหิ้วปีกร่างของเยว่เล่อขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดีๆ “เอ้า จดหมายของเจ
ใช้แรงไปไม่น้อยเมื่อต้องปีนบันไดเชือกมาถึงสามสิบชั้น แต่เพียงแค่ขึ้นมาถึงดาดฟ้าเรือใจของเยว่เล่อก็เต้นระส่ำไปหมด มีเรื่องน่าสนใจให้จ้องมองเต็มไปหมด ทั้งหอคอยปราการที่ตั้งสูงบนนั้นแล้วยังติดตั้งปืนใหญ่เอาไว้ ทั้งยังมีบ่อปลาเสริมมงคล ไหนจะห้องดูหรูหราตกแต่งด้วยทองบนอีกชั้นของดาดฟ้านั่นอีก แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเยว่เล่อที่สุดคงจะเป็นบัลลังก์สีดำสลักลวดลายอสูรตัวใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ นางรีบวิ่งไปดูบัลลังก์สุดอลังการนั่นด้วยความตื่นเต้นในทันที นี่แหละความอลังการที่นางหวังถึง! เยว่เล่อลูบลายสลักด้วยความประณีตอย่างแผ่วเบา พอมาใกล้ๆแล้วบัลลังก์ดูใหญ่กว่าเดิมอีก “ข้าลองนั่งดูได้หรือไม่” เยว่เล่อหันไปถามฮุ่ยหมินกับสหายโจรที่กำลังเดินมาหา “ได้สิ ถ้าเจ้ายอมมาเป็นเมียข้าย่อมมีสิทธินั่งบนบัลลังก์อยู่แล้ว” เยว่เล่อชะงักตูดของตัวเองที่กำลังจะนั่งลงเมื่อยินคำว่า ‘ได้สิ’ แต่เมื่อได้ยินเงื่อนไขข้างหลังจึงรีบยกตูดตัวเองขึ้นมายืน มองบัลลังก์ด้วยสายตาดุจรังเกียจมาก “ชิ แค่รองเท้าข้ายังไม่อยากเอาไปวางเลย” เยว่เล่อสะบัดหน้าหนี กำลังมองหาสิ่งสนุกใหม่ก็ได้ยินเสียงชาย
เยว่เล่อออกมากับพวกอันหรานและหยู่เซินโดยที่ไม่มีเป่าตงและเสวี่ยปิงตามมาด้วย ท่าเรือในยามค่ำคืนยังคงคึกคักมิต่างจากตอนกลางวัน ตลอดถนนเส้นทางมีโคมไฟจุดจนสว่าง เยว่เล่อสังเกตเห็นว่ามีเรือเข้าออกตลอดเวลา ทั้งยังมีคนของทางการเดินตรวจตราเข้มงวด นางเดินตามอันหรานกับหยู่เซินจนมาพบกับฮุ่ยหมินและฮันสุ่ยยืนพิงกำแพงรออยู่ “ไหนล่ะเรื่องสนุกที่เจ้าว่า” เยว่เล่อถามฮุ่ยหมิน นางไม่เห็นทีท่าว่าท่าเรือที่มีคนเยอะแยะเช่นนี้จะสามารถมีรังโจรซุกซ่อนเอาไว้ได้ “ตามมาสิ” ฮุ่ยหมินตอบ เขาใช้พลังปราณใช่แหวนมิตินำถุงผ้าและเบ็ดตกปลาหลายคันมาถือและแบ่งให้กับลูกน้องของตัวเองเยวเล่อเดินตามเขาไปเรื่อยๆ แม้พวกเขาจะเดินตรงไปที่ท่าเรือแต่นางก็ยังไม่ถามอะไรออกมา พวกเขาเดินตรงไปที่ซุ่มโต๊ะที่มีการตรวจตาคนเข้าออกท่าเรือ “พวกเจ้าจะออกเรือไปทำอะไร” นายตรวจถามเสียงเข้มเมื่อมีชายหนุ่มหน้าตาเจ้าสำอางกับผู้ชายอีกสามคนและมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนยืนอยู่ด้านหลัง ดูน่าสงสัยไม่น้อย “ข้ากับคนในครอบครัวจะออกออกไปตกหมึกน่ะ ท่านเป็นนายตรวจแห่งท่าเรือนี้คงรู้สิน่ะว่าหมึกต้องตกตอนกลางคืนน่ะ” “พวกเจ้าไปได้แ
ก่อนที่เหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นเสวี่ยปิงจึงรีบลากคอเป่าตงจนตัวลอยมาวางไว้ข้างหลังผ้าคลุมโต๊ะแล้วกระซิบเสียงลอดไรฟันว่า ‘คอยดูสถานการณ์ไปก่อน’ เป่าตงที่กำลังมึนงงยิ่งงงเข้าไปอีกเมื่ออยู่ๆหมาโง่อย่างเสวี่ยปิงกับไม่ทำเรื่องงี่เง่าแต่กลายเป็นมันเสียเอง “พระเจ้า ข้าขอดูใกล้ๆสักหน่อย” เมื่อพ่อค้าทำท่าจะถลาตัวเข้ามาหยิบไข่ไป เยว่เล่อที่ไหวตัวทันจึงรีบไปหลบหลังฮุ่ยหมินที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ ความคิดแรกของพ่อค้าคือจะใช้กำลังแย่งชิงมาต้องตกไปเพราะเขาพึ่งจับได้กับสัมผัสไอปราณที่พึ่งออกมาจากรอบๆตัวของชายหน้าตาเจ้าสำอาง ถึงพ่อค้าจะมีระดับปราณต่ำกว่าจนมิสามารถล่วงรู้ได้ว่าเขาอยู่ระดับไหนแต่จากประสบการณ์ชายคนนี้ย่อมมีระดับไม่ต่ำกว่าระดับหกแน่ ขนของเขาลุกซู่รีบถอยหลังกลับไป “ข้าแค่จะขอตรวจดูเท่านั้นว่าใช่ของจริงหรือป่าว” “พี่ชาย อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเลย ชายสี่คนที่มากับข้าถึงจะดูไม่เอาไหนไปบ้าง ดูติ๊งต๊องไปสักหน่อย แต่พวกเขาเป็นถึงสมาชิกองโจรที่โหมเหี้ยมเช่นกองโจรเงาพรายอสูรเชียวนะ หากเกิดอะไรขึ้นมาร้านเล็กๆของท่านมิรู้ว่าจะมีสิ่งใดเหลือบ้าง…แต่หากคิด ว่าเบื้องหลังท่านยิ่ง
ณ เมืองท่าของแคว้นซูบรรยากาศอบอ้าวไปด้วยลมร้อนของทะเล กลิ่นเค็มจากสายลมทำให้สมองตื่นตัวแบบน่าประหลาด ทั้งผืนน้ำกว้างใหญ่ หาดทรายและต้นมะพร้าวสูงใหญ่ล้วนเป็นสิ่งที่เยว่เล่อไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต นางวิ่งเหยียบย่ำทรายนุ่มขาวกับเสวี่ยปิงโดยมีเป่าตงเดิมสง่างามตามมา มันมองเหยียดยัยเด็กฟันน้ำนมและหมาโง่ที่ทำตัวเป็นบ้านนอกไม่เคยเห็นทะเลมาก่อน ซ่า เมื่อคลื่นทะเลซัดพื้นทรายจนมาโดนเท้าของเป่าตง มันตกใจมากจนวิ่งหนีออกจากฝั่งไปไกล สะบัดเท้าเอาน้ำทะเลออกจากฝ่ามือแล้วดม พอได้กินเค็มๆจึงลองชิมอย่างกล้าๆกลัวๆ มันเบิกตาโตทันทีเมื่อพบว่าน้ำมันเค็ม อย่าบอกนะว่าผืนน้ำที่กว้างใหญ่ทั้งหมดนี้คือน้ำเค็มทั้งหมด! ฮุ่ยหมิน ฮันสุ่ย อันหรานและหยู่เซินทำหน้าตายมองภาพคนบ้านนอกตื่นทะเล พวกเขาอยากจะทำเป็นไม่รู้จักกับเยว่เล่อด้วยซ้ำเมื่อเห็นนางสะดุดขาตัวเองแล้วจมทะเลลึกแค่เข่า! เสวี่ยปิงใช้หัวดันหลังเจ้านายตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะจมน้ำตื้นตาย เป็นการตายที่น่าสมเพสมากมิใช่หรือ มันไม่อยากมีประวัติว่าเคยมีเจ้านายโง่ขนาดนี้มาก่อน มันยังไม่อยากถูกลูกหลานตัวเองล้อจนตาย! แค่กๆ เยว่เล่อลุกข