“กินอะไรเอ่ยทิป”
เวรุณีสะดุ้งเฮือก พจนารถยิ้มเผล่วางจานข้าวแกงลง แล้วนั่งร่วมโต๊ะตรงหน้า
“ข้าวมันไก่น่ะ แล้วนารถไปไหนทำไมวันนี้มาช้า”
ปรกติเดินผ่านไปชงกาแฟจะเห็นเขานั่งที่โต๊ะ แต่วันนี้พจนารถกระหืดกระหอบมาเอาตอนสิบโมงเช้า
“ลาสองชั่วโมง วันนี้ครบรอบวันตายแม่ เลยไปถวายภัตตาหารที่วัด”
เธอมองเขาแล้วเปรียบเทียบกับตัวเอง สักวันเธอต้องมีรอยยิ้มมาจากใจจริง โดยไม่เสแสร้งว่าตัวเองเข้มแข็งดังที่เป็นอยู่
“เมื่อวานนี้ซีอีโอคุณธรณ์เรียกทิปไป มีอะไรหรือเปล่า”
ธนาคารสำนักงานใหญ่แห่งนี้ใหญ่โต แต่ก็ไม่เล็กนักสำหรับข่าวคราวต่างๆ ยิ่งเรื่องแปลกๆ อย่างผู้บริหารใหญ่เรียกพบพนักงานตำแหน่งเล็กๆ เพียงลำพัง
“อ๋อ...”
เวรุณียิ้มกลบเกลื่อน
“เขา เอ๊ย! ท่านเป็นคนรู้จักกับพ่อแม่ฉันน่ะ เลยถามข่าวเรื่องไทม์”
พจนารถเห็นว่าเป็นเรื่องเวลา ซึ่งกระทบใจเธอ เขาจึงไม่เซ้าซี้ถามต่อ แต่ชวนคุยเรื่องอื่นๆ ซึ่งก็พอทำให้เวรุณียิ้มได้บ้าง
“คาเฟทีเรียของเราสะอาด ได้รับรางวัลรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย ขายอาหารราคาถูกเพื่อลดภาระค่าครองชีพของพนักงาน”
ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลอธิบายนำชมสถานที่อย่างตั้งอกตั้งใจ ธรณ์ทำทีเป็นฟัง สายตากวาดไปทั่วบริเวณ แล้วสะดุดอยู่ที่สองหนุ่มสาว
เวรุณีหัวเราะสดใสอยู่กับพนักงานชายคนหนึ่ง ความรู้สึกไม่พอใจแล่นขึ้นใบหน้าเป็นริ้วๆ แต่ธรณ์ซ่อนไว้แนบเนียนภายใต้หน้ากากผู้บริหารอันสุขุม
ขณะเขาเศร้าเสียใจกับการจากไปของน้องสาว เวรุณีที่ปากบอกเสียน้องชายกลับหัวเราะ ยิ้ม ...หลายวันที่เขาดังตกนรก เธอกลับมีความสุข ไม่ยุติธรรมเลย
โลกธุรกิจโหดร้าย ธรณ์ต้องบริหารทรัพย์สินพ่อแม่ตั้งแต่ยังหนุ่ม สูญเสียช่วงเวลาวัยรุ่นไปกับภาระรับผิดชอบอันหนักอึ้ง คมเขี้ยวของคนรอบข้างที่พร้อมเอาเปรียบและแย่งทึ้งทรัพย์สมบัติ
ธิณาเท่านั้นที่เป็นดังน้ำทิพย์ชโลมใจอันแห้งแล้ง น้องสาวเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่ธรณ์เชื่อใจที่สุด แสงสว่างอันสดใสในชีวิต บัดนี้ดับลงแล้วด้วยวัยอันเยาว์
...เหลือเพียงตัวเขาคนเดียวในโลก และความรู้สึกผิด โทษตัวเองว่าน่าจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ พาลไปโกรธตัวต้นเหตุอย่างเวลา และพี่สาวของมัน ที่ยังยิ้มระรื่นอยู่ได้
เวรุณีเม้มปากกอดอก เมื่อเขามายื่นหน้าบ้าน เวลาเดิมเป๊ะ
“เราจะคุยกันเรื่องเดิม”
โดยไม่ต้องขยายความว่าเรื่องไหน เธอยอมเปิดประตูให้อย่างไม่เต็มใจ ธรณ์เดินตามหลังร่างในชุดพนักงานธนาคาร ชุดเข้ารูป อวดอกอิ่ม เอวเว้า และก้นงอน
หุ่นเธอไม่บาง มีทรงน่าสัมผัสลูบไล้เหมือนนาฬิกาทราย เขาเห็นแล้วนึกไปถึงภาพเธอหัวเราะแล้วยิ่งขัดใจ
“นัดวันฉีดอสุจิเมื่อไรล่ะ ฉันจะได้คำนวณวันไข่ตก”
เป็นการสนทนาทางวิทยาศาสตร์อันแห้งแล้ง ไร้ซึ่งความโรแมนติกเหลือเกินในความคิดเวรุณี ทำอย่างไรได้เล่า ...ก็เขาหวังแค่ทายาท ส่วนเธอก็ไม่เต็มใจช่วยก่อกำเนิดให้นัก
“ไม่มีการฉีด ผมขอวิธีธรรมชาติ”
เวรุณีหยุดนิ่ง อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก
“คุณกับผมก็แค่คนไม่ใช่สเปคมานอนด้วยกัน ...แค่สัมพันธ์ทางกาย”
“ฉันเคยคิดว่าคุณน่ะบ้า ตอนนี้ไม่คิดแล้ว คุณน่ะเป็นคนบ้าจริงๆ”
ดวงตาคมดำจ้องร่างอวบที่นั่งอยู่ตรงหน้า ไล่ตั้งแต่ผมยาวสีธรรมชาติมัดสูงเป็นหางม้า ดวงหน้ากลมขาวกระจ่างใส แพขนตายาวกระพริบถี่ยามตกใจ จมูกโด่งนิด ริมฝีปากอิ่ม อกหยุ่น เอวเว้า สะโพกผาย ที่ก่อกวนใจเขาตั้งแต่เมื่อวาน
ธรณ์ไม่เคยยุ่งกับพนักงานในบริษัท ไม่ทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัด แม้จะมีสาวใจกล้าทอดสะพานให้บ่อยๆ ก็ตาม แต่กับเวรุณี เธอกับเขาเจอกันในสถานการณ์ไม่ปรกติ
เขาพยายามไม่คิดคิดถึงเธอ ลบความรู้สึกละมุนมือยามสัมผัสความนุ่มนิ่ม ทำเป็นลืมๆ กับกลิ่นหอมอ่อนๆ เมื่อคืน พยายามแล้ว แต่ใจกลับลอยไปวนเวียนเรื่องเธอโดยอัตโนมัติ ยิ่งเห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ ยิ่งโกรธปนหงุดหงิด จนเขาต้องถามตัวเองว่ากำลังเป็นบ้าอะไร
“คุณไม่มีใครไม่ใช่เหรอ”
“จะมีหรือไม่มีก็ไม่เกี่ยว แต่คุณกำลัง ...ขอมีอะไรกับฉัน”
เธอหน้าแดงซ่าน ยางอายหายไปจากหน้าเขาหมดแล้วกระมัง
“ไม่ได้ขอ แต่ต้องมีต่างหาก ไม่อย่างนั้นจะมีลูกผมได้ยังไง”
นานแล้วที่ธรณ์ไม่ได้เห็นผู้หญิงหน้าแดงจริงๆ โดยไม่ได้เกิดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือการแต่งหน้า
“งั้นก็ไปหาคนอื่นเถอะ ฉันยกเลิกข้อเสนอ”
“เสียใจในเมื่อรับปากแล้วก็คือรับปากเปลี่ยนใจไม่ได้”
“คุณขี้โกงที่สุด”
เขาเลิกคิ้วยียวน
“ผมเป็นนายธนาคารนะคุณ ไม่โกงใคร แล้วก็ไม่ชอบให้ใครโกงด้วย”
“แต่คุณก็เอาเปรียบฉัน”
เธอจ้องอาฆาต เขาได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งตัวเธอ ทั้งลูก
“คุณจะหาว่าผมเอาเปรียบอีกไหม ถ้าผมให้เงินอีกสิบล้าน”
“ค่าอะไร!”
“ค่าอะไรแล้วแต่คุณจะคิด อาจเป็นค่าเสียเวลา ค่าเช่ามดลูก”
แต่ละคำที่ออกมาจากปากเจ็บจี๊ด และกรีดเนื้อ เฉือนใจ เวรุณีอยากรู้จริงๆ ในชีวิตธรณ์เจอผู้หญิงตอแหลถึงขั้นไหน จึงทำให้ทัศนคติเขาแย่เช่นนี้
“งั้นแฟร์ๆ ก็แล้วกัน ผมให้เวลาคุณตัดสินใจสามวัน จากนั้นจะมาเอาคำตอบ”
เขาแบมือทำท่ายอมแพ้ แต่เธอมองเป็นการล้อเลียนมากกว่า
“อย่าตุกติกเชียวนะเวรุณี ผมไม่ใช่คนใจดีอะไรนัก”
หญิงสาวเชื่อหมดใจ ธรณ์ไม่ใช่คนใจดี เขาร้ายกาจแถมยังบ้ามากอีกด้วย เวรุณีนอนคิดวิธีรับมือกับเขาทั้งคืน นอนไม่หลับจนต้องเปิดคอมพิวเตอร์เล่นเฟซบุค แล้วก็พบคำตอบ
พจนารถทำหน้างงตอนเธอยื่นจดหมายให้
“ฝากถึงผู้การวันพรุ่งนี้นะ”
“แล้วทำไมไม่เอาให้เอง”
“มีเหตุจำเป็นนิดหน่อย นารถ ...ขอบใจนะที่เป็นเพื่อนที่ดีของฉันมาตลอด”
เขารับฟังเธองงๆ หลังจากนอนคิดทั้งคืนจนหาทางออกได้ เธอจะหนีไปจังหวัดแถบอีสาน เพื่อนเก่าคนหนึ่งได้สามีเป็นสารวัตร
ธรณ์พูดเองว่าเขาเป็นนายธนาคาร อย่างไรเสียก็ต้องเคารพกฎหมาย หากเวรุณีอยู่ภายใต้ความคุ้มกันของตำรวจ เขาจะทำอะไรได้
งานก็ฝากจดหมายลาออกไปกับพจนารถแล้ว ส่วนเรื่องบ้านค่อยกลับมาจัดการทีหลัง ตอนนี้ขอหลบพายุร้ายที่ชื่อธรณ์ก่อน
“โหย! คิดถึงจัง ตัดสินใจมาปุ๊บปั๊บเลยนะเธอ”
ลลิตาเพื่อนเก่ามารับถึงสถานีขนส่งในตัวจังหวัด
“อุดมสมบรูณ์ขึ้นนะเนี่ย แม่สาวแบงค์”
เพื่อนล้อบีบลำแขนนิ่มขาวอวบ
“แล้วทิ้งน้องชายไว้ได้เหรอ เห็นตัวติดกันจะตาย”
“ไทม์ตายแล้ว”
ลลิตาหน้าสลด ตบหลังปลอบ หลังจากนั้นเธอไม่ถามอะไรเกี่ยวกับกรุงเทพฯเลย คิดว่าเวรุณีมาพักผ่อนทำใจเรื่องน้องชาย
จนกระทั่งวันที่สาม สามีลลิตากลับมาทานข้าวเย็นด้วยกันตามปรกติ เสียงกริ่งและรถตู้ดำเลี้ยวผ่านรั้วเข้ามา ร่างสูงของคนไม่อยากเจอปรากฏขึ้นแทนที่
“ใครน่ะ”
ลลิตาส่งสายตาอยากรู้ หลังจากผู้มาใหม่แจ้งว่าต้องการพบเพื่อน เวรุณีหน้าซีด อยากเป็นลมหนีไปให้เสียพ้นๆ
“มาคุยกันหน่อย ตามลำพัง คุณคงไม่อยากเล่าทุกเรื่องให้เพื่อนฟังหรอกจริงไหม”
ธรณ์กระซิบพอได้ยินกันสองคน
“ผมมาเอาคำตอบ”
ทั้งสองหยุดอยู่หลังบ้านซึ่งไกลตาผู้คน
“คำตอบของฉันคือไม่ค่ะ ขอปฏิเสธทุกข้อเสนอ”
เธอกอดออกอย่างถือดี ด้วยคิดว่าอยู่ในบ้านตำรวจ เขาคงไม่กล้าทำอะไรมาก
“คุณเล่นตุกติก คุณหนีมา”
คนมาตามเธอหรี่ตามองอย่างตำหนิ
“จะหนีหรือเปล่าก็เรื่องของฉัน แต่ตอนนี้คำตอบเรื่องที่คุณถามคือไม่ค่ะ กลับไปได้แล้ว”
“คิดเหรอว่าอยู่บ้านตำรวจแล้วจะช่วยคุณได้”
“ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ไม่มีใครหนีพ้นหรอกค่ะ”
“คุณเจ้าเล่ห์กว่าที่ผมคิดเยอะนะเวรุณี”
เขายกมือเท้าสะเอวหัวเสีย ดวงตาดำเข้มดุดัน
“ยังไงก็น้อยกว่าคุณละกัน”
“เอ่อ... ทิปจ้ะ”
ลลิตามายืนลับๆ ล่อๆ
“ยังไงทานข้าวเย็นกันก่อนไหมคะ แล้วค่อยคุยกันต่อทีหลัง”
ด้วยความเกรงใจและกลัวเพื่อนจะสงสัยมาก เธอจึงจำต้องพาเขาไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วย
“สวยเหมือนนางฟ้าเลย”อาม่าชมเปาะ เมื่อการแต่งหน้าอันยาวนานสิ้นสุดลง เวรุณีก็อึ้งไปเหมือนกันเมื่อมองภาพในกระจก ผู้หญิงในชุดขาวที่สวยเกินจินตนาการ“อาธรณ์อีต้องตะลึงเหมือนกันแน่ๆ”อาม่าหัวเราะคิก ท่านมาอยู่กับเธอตั้งแต่เช้ามืดในวันงานแต่งงานอันแสนวุ่นวาย“คุณภูสิตโทร.มาตามแล้วค่ะ”เว็ดดิ้งเพลนเนอร์เร่ง รีบมาช่วยยกชายกระโปรงฉลุลายลูกไม้ กลุ่มเจ้าสาวจึงได้พากันทยอยออกจากห้องอาม่าพูดอะไรสักอย่างแว่วๆ เวรุณีไม่ทันได้ฟัง ด้วยหูก็อื้อ ตาก็หนักเพราะขนตาปลอมหนามือใหญ่คุ้นเคยจับเธอไว้ พร้อมกระซิบ“ทิปสวยมากเลยครับ”น่าเสียดายที่ขนตาปลอมเยอะไปหน่อย เธอจึงไม่ได้เห็นหน้าเขาว่าปลื้มเพียงใด ธรณ์พาเธอเดินผ่านไปในประตูใหญ่ ที่มีเสียงดนตรีและแสงเฟลชกล้องรัวต่อเนื่อง“บ่าวสาวยิ้มครับ ยิ้ม”เวรุณีพยายามตามเสียงที่บอก แต่หน้าตึงเครื่องสำอางจนไม่รู้ว่าตนเองยิ้มจริงหรือแค่แสยะเขาพาเธอเดินขึ้นเวที ก่อนพิธีก่อนจะพูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ทันทุกอย่างรวดเร็วเหลือเกินในความรู้สึกเธอ วงดนตรีเล่นเพลงรักหวาน ภูสิตแอบมากระซิบเจ้าบ่าว“ไฟล์สไลด์รูปพรีเวดดิ้งเสียครับ รอสักครู่เว็ดดิ้งแพลนเนอร์กำลังให้วินมอเตอร์ไซด์เอ
แขกกลับประมาณสามทุ่ม อาม่าบ่นอยากอยู่คุยด้วยมากกว่านี้ แต่ติดเรื่องสุขภาพ อายุมากและเดินทางมาไกล ทำให้เพลียมาก ท่านเล่าให้ฟังว่ามีบ้านอยู่อีกแห่งแถวปทุมธานีพจนารถกลับเป็นรายถัดมา ด้วยรับรู้ถึงบรรยากาศ “ไล่” ของธรณ์เวรุณีช่วยแอนเก็บล้างภาชนะ เขากับภูสิตอาสาจะช่วย แต่เธอปรามไว้ ให้เหตุผลว่าครัวเล็ก เกะกะกันเสียเปล่าๆ ทั้งสองจึงมานั่งดูโทรทัศน์หน้าโซฟา“คุณทิปไปไหน”ธรณ์ถามเมื่อแวะห้องน้ำข้างครัวแล้วเห็นแอนคนเดียว“ขึ้นไปข้างบนตั้งนานแล้วค่ะ”เขาพยักหน้า ก่อนตามขึ้นไป ห้องเวรุณีปิดประตูเงียบ แต่มีไฟลอดออกมาจากห้องพระเธอพนมมือพับเพียบหน้าโกศบรรจุอัฐิคนในครอบครัว ธรณ์ย่อตัวลงนั่งข้าง เขาเห็นน้ำตาน้อยๆ เอ่อคลอคลองจักษุ“ร้องไห้ทำไม”“ฉันดีใจที่พ่อแม่ ไทม์ ยังห่วง ดลใจให้พวกอาม่ามา แต่ก็เศร้าเพราะคิดถึงพวกเขา”ธรณ์เอื้อมมือไปโอบศีรษะเธอมาแนบชิด“ทุกอย่างเหมือนกับฝันไป จู่ๆ ฉันก็มีญาติตั้งเยอะ” เวรุณีเล่าเสียงเครือ“สมัยก่อนฉันอิจฉามาก เวลาปิดเทอมที่เพื่อนๆ ได้ไปอยู่บ้านปู่ย่าตายาย ได้แต่คิดว่าทำไม่ครอบครัวไม่มีญาติเลย”“ไม่ใช่ฝันหรอก ทุกอย่างเป็นความจริง”“มันเร็ว เกิดขึ้นกะทันหัน”เวรุณี
ตะวันคล้อยจากฟ้า จวนเจียนจะลาลับ วันที่น่าเบื่อหน่ายของหลายคนอาจใกล้สิ้นสุด ทว่าความสุขของธรณ์เพิ่งเริ่มต้นรถคันงามกำลังแล่นฝ่าการจราจรแออัด มีปลายทางคือทาวน์เฮ้าส์หลังน้อยของเวรุณีธรณ์จงใจไม่โทร.หาเธอ ให้ภูสิตเตรียมไวน์ดีๆ ไว้ เพื่อดื่มคู่กับอาหารอิตาเลียน เขาตั้งใจให้เป็นเซอไพรส์ แต่การจราจรก็ติดสาหัสสากรรจ์เหลือเกิน“ให้ผมโทร.บอกคุณทิปไหมครับว่าเราจะไปถึงช้าหน่อย”ภูสิตถามจากเบาะหน้าข้างคนขับ“ไม่ต้องหรอก ทิปเขาเข้าใจ”ข้อดีของการไม่ติดโทรศัพท์คือเวรุณีไม่โทร.ตามจิกเขา เธอจะรอถ้าเขาบอกว่าจะไปหา และธรณ์ก็ไม่เคยผิดนัดเสียด้วยเวรุณีรู้จักการรักษาระยะห่าง เธอเลือกจะอยู่ในที่ทางของตัวเอง ซึ่งเป็นทั้งส่วนที่น่ารักและน่าหงุดหงิด...น่ารักตรงเขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ น่าหงุดหงิดที่เธอดูสบายๆ จนเหมือนคนไม่มีแฟนครั้งหนึ่งทั้งสองไปทานมื้อค่ำด้วยกัน ระหว่างเดินออกมาจากร้าน เขามีสายสำคัญจากลูกค้า เธอจึงเลี่ยงไปเลือกขนมฝากเด็กที่ดูแลบ้านและคนขับรถธรณ์คุยโทรศัพท์ไม่กี่นาที หันมาอีกครั้ง เวรุณีก็ยืนหัวเราะคิกคักกับเชฟฝรั่งชุดขาวหุ่นอ้วน หูตาคนพูดทั้งแพรวพราวทั้งโลมเลียหน้าอกเธอขนาดเขาเดินไปใกล้ยั
ทันใดนั้นแอนซึ่งป้าเอื้องให้มาอยู่เป็นเพื่อนก็เข้ามาบอกว่าท่อระบายน้ำอ่างล้างจานตัน ทั้งเธอและเขาหน้าแดงกันทั้งคู่เวรุณีต่อว่าธรณ์ เขาไม่ทุกข์ร้อน เรียกแอนมาและบังคับให้สัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องที่เห็นไปบอกใครแอนตัวสั่น น้ำตาคลอ เวรุณีเห็นแล้วสงสาร ต่อไปชีวิตเด็กคนนี้จะไม่เหมือนเดิม ต้องอยู่กับความหวาดระแวง กลัวเจ้านายลงโทษ กลัวการตกงาน กลัวครอบครัวลำบากเธอโกรธธรณ์ที่ใช้วิธีรุนแรง เหนือจากนั้นเวรุณีโทษว่าเป็นความผิดตนเอง ทำเรื่องไม่สมควรทำให้คนอื่นเดือดร้อน เธอจึงต้องทำเรื่องที่ตัวเองเท่านั้นจะทำได้“นะคะ ...คุณธรณ์ อีกไม่กี่สัปดาห์เอง เราก็จะแต่งงาน ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้ว”เวรุณีภาวนาให้ธรณ์ใจอ่อน มิเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว“คุณยังมากินข้าวกับฉันได้นะคะ ถ้าจะมาวันนี้ฉันจะลองทำอาหารอิตาเลี่ยนแบบที่เราดูกันในสารคดีวันก่อนให้คุณชิม”เธอเปลี่ยนมาอ้อน“ร้ายนักนะทิป”“ผู้หญิงตอแหลก็อย่างนี้แหละค่ะ”ครั้งหนึ่งเคยเป็นคำบริภาษแสลงหู ตอนนี้เธอเก็บไว้ล้อเลียนเวลาตนทำอะไรแสบๆ ให้เขา“คุณยื่นขอเสนอที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้ว”เสียงหัวเราะใสแว่วจากปลายสาย เพราะเธอรู้ว่านี่เป็นวลีจากภาพยนตร์
“ยัยตัวแสบ!”ธรณ์จะทำอย่างไรกับเธอดี นอกจากคาดเดาไม่ได้แล้วยังทำให้เขาหัวปั่น ธรณ์ไม่เคยง้อใคร กับน้องสาวก็มีแต่อ้อนและเอาใจเขาการยอมให้เวรุณีกลับไปอยู่บ้านนี่ไม่ได้หมายความว่าให้เธอไม่ต้องสนใจเขาเหมือนคนปลายทางจะรู้ใจ หน้าจอปรากฏสายเข้าเป็นรูปเธอ ธรณ์กดรับอย่างไม่ลังเล แล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบ“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณธรณ์ โทร.มาตั้งหลายสาย”“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”เขาใช้เสียงแบบตำหนิลูกน้องเวลาทำงานพลาด“ฉันไม่ได้เอามือถือไป”เธอไม่ทุกข์ร้อนหรือมีแววสำนึกผิดในน้ำเสียง“แล้วคุณไปไหนมา! โทรศัพท์น่ะมันของจำเป็นนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรมากับคุณ คนอื่นจะได้รู้”ถ้าเจ้าหล่อนอยู่ตรงหน้า ธรณ์จะจับตัวเขย่าๆ ให้หัวคลอนเลยทีเดียว ในยุคที่คนติดมือถือ นับเป็นปัจจัยที่ห้าในการดำรงชีวิตเห็นจะมีแต่เธอเท่านั้นแหละไม่ไยดีมัน ที่ติดตัวเป็นประจำมีแต่ไอพ็อดไว้ฟังเพลง“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็เดินไปสถานีตำรวจสิ อยู่ใกล้ๆ นิดเดียวเอง”“แล้วคุณไปที่ไหน ถึงใกล้สถานีตำรวจแบบนั้น”“ฉันไปลานออกกำลังกายชุมชน เล่นโน่นนี่จนเหงื่อโทรมเลย มันอยู่ใกล้ๆ สถานีตำรวจ”ทาวน์เฮ้าส์เวรุณีมีสถานที่นั้นหรือเปล่า ธรณ์ไม่ทันสังเกต สิ่งเดียวท
โนโมโฟเบีย เป็นการรวมสองคำคือ โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) และ อาการกลัว(Phobia) ใส่ คำว่าโน (No) นำหน้าไปนิด ก็ได้คำศัพท์ใหม่ทันสมัยแปลว่ากลุ่มอาการติดโทรศัพท์มือถือ และกังวลใจว่าถ้าหากไม่มีมันจะเป็นอย่างไร สังเกตง่ายๆ คือ ห่วงแต่มือถือ เช็คหน้าจอตลอด วางไว้ใกล้ชนิดแค่ฝ่ามือคว้าภูสิตเหลือบตาจากข้อมูลไอแพ็ดที่ยกระดับปกสูทเทา แอบมองคนมีอาการดังว่าเจ้านายสวมเสื้อกั๊กน้ำเงินเข้มหลังโต๊ะทำงานหน้ามุ่ย พยายามกดมือถือโทร.ไปเบอร์ซ้ำๆ คิ้วใต้ผมหวีเสียเรียบขมวด ขบกรามเป็นสัน อันเป็นสัญญาณบอกว่าปลายทางไม่รับสาย“เซ็นก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยโทร.ใหม่”เลขาฯคู่ใจเก็บไอแพ็ดแนบอก พยักหน้าไปทางเอกสารรอการอนุมัติซึ่งวางค้างเติ่งไว้นานแล้ว“ทิปไม่รับสายเลย ไม่แม้แต่จะโทร.กลับ”ธรณ์บ่น แต่ยังวางโทรศัพท์ไม่ห่างมือนัก หยิบปากกาหมึกซึมแท่งดำเงาเลื่อมราคาแพง ตวัดชื่อลงบนกระดาษ“นั่นมันเมื่อห้านาทีที่แล้วนะที่คุณติดต่อเธอ หลังจากนั้นก็จี้ตลอด สงสัยคุณทิปโทร.เข้าไม่ได้เพราะสายคุณสวนออกไปมั้งครับ”ภูสิตเผยยิ้มน้อยๆ เพราะหากมากกว่านี้ อาจเป็นเขาเองที่โดนระเบิดลง“เดี๋ยวเย็นนี้ก็เจอกัน”“เจอไม่กี่ชั่วโมงแล้วฉัน