Masuk“โอ๊ะๆ” นายแพทย์ธาดาเอ่ยแซวเมื่อเพื่อนหมอผู้โด่งดังเดินถือกล่องสี่เหลี่ยมบรรจุอาหารเที่ยงมาอีกแล้ว
“อะไร”
“ป๊าว!! แค่อิจฉาคนมีเมีย มีคนทำข้าวมาให้กินทุกวัน”
“ทำอย่างกับว่าที่มีอยู่หลายคนของมึง ไม่ได้ทำอะไรให้กิน”
“เพื่อนสนิทโว้ย”
“เหอะ” นายแพทย์กันต์ธีมองสายตาเพื่อนด้วยความรู้เท่าทัน เขาไม่จำเป็นต้องเปิดโปงพฤติกรรมมันเสียด้วยซ้ำ เพราะความเจ้าชู้
ตัวพ่อของธาดาเป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว สภาพแบบนี้ยังแส่จะมาอิจฉาเพื่อนที่มีเมีย เปลี่ยนเป็นมันดูบ้างคงอกแตกตายแน่นอน“ก็ถ้าได้แบบคุณหวาน กูจะรีบยกขันหมากไปขอเลย”
“ถอนคำพูดซะเถอะ”
กันต์ธีเดินหนีเข้าห้องตรวจของตนเอง รีบยกขันหมากเนี่ยนะ เขาแทบอยากจะหนีขันหมากไปให้พ้นๆ เสียด้วยซ้ำ ยอมแม้กระทั่งจะต้องคืนสินสอดทองหมั้นทั้งหมดให้ฝ่ายนั้นริบไป
เพียงแต่ก็รู้ว่าเงินทองแค่นั้น ไฮโซข้าวหวานคงไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก
ชายหนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายออกจากหัว หันไปให้ความสำคัญกับเคสคนไข้ในมือ ก่อนจะเดินเข้าห้องผ่าตัดและออกมาอีกครั้งในห้าชั่วโมงให้หลัง
เขาหิวจนแสบไส้
สุดท้ายนายแพทย์ผู้หิวโซก็ตัดสินใจหยิบห่อข้าวของภรรยาขึ้นเปิดฝา เส้นหมี่หน้าตาประหลาดในกล่องที่ถูกคลุกเคล้ากันมาเป็นเนื้อเดียว แม้จะแยกถั่วงอกลวก ลูกชิ้น หมูกรอบแข็งๆ และกุ้งตัวโตอีกจำนวนสี่ตัวไว้ในถุงซิปล็อก ทว่ากลิ่นหอมจากน้ำซอสที่โชยขึ้นเตะจมูกก็ทำให้หมอหน้านิ่งไม่รอช้า จัดการเทวัตถุดิบทั้งหมดในชาม และลงมือโกยอาหารเที่ยงฝีมือเมียด้วยความหิวโหย
อร่อยกว่าที่คิดแฮะ
ไม่รู้ว่าข้าวหวานฝีมือดีขึ้น หรือเป็นเขาที่หิวจัดกันแน่
บนฝากล่องมีกระดาษแผ่นเล็กที่ระบุตัวอักษรแปะไว้ แต่ด้วยความรีบและไม่ใส่ใจจึงขยำทิ้งไปพร้อมเศษอาหาร คงหนีไม่พ้นโน้ตให้กำลังใจอย่างเคย
‘สู้ๆ นะคะคุณสามี’
‘อย่าทำงานหนักมากนะคะพี่กันต์’
‘กินข้าวแล้วก็อย่าลืมคิดถึงคนทำด้วยน้า’
ก็อย่างที่บอก ข้าวหวานเป็นสาวมุ้งมิ้งเหมือนเด็กวัยแรกรุ่น ยังเด็กมากจริงๆ นั่นแหละ ตอนที่เข้าพิธีแต่งงานกันเธออายุราวยี่สิบสอง ซึ่งตอนนี้ก็เพียงแค่ยี่สิบห้าเท่านั้น ยังไม่ทันได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ก็ถูกครอบครัวตัวเองและควบครอบครัวฝั่งเขาจับใส่ถุงมาชนกัน
ทางบ้านเขาออกปากเร่งยิกๆ ให้รีบมีลูก ศัลยแพทย์ฝีมือดีคนหนึ่งต้องทำตัวเหมือนหนูตกถังข้าวสารจ้องจับผู้หญิง มันน่าอาย
ขายขี้หน้าชะมัด ทั้งหมดทั้งมวลเมื่ออยู่กับข้าวหวาน เขาเลยไม่เคยภาคภูมิใจในตัวเธอหรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยภูมิใจในตัวเองด้วยกระมังไฮโซสาวเปรียบเสมือนสิ่งของที่ประดับให้เขาดูสูงส่งและภาคภูมิยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามแน่นอนว่าเธอกดเขาให้ต่ำเตี้ย
เรี่ยดินลงไปด้วยความดีงามและภูมิหลังที่ทุกคนต่างชื่นชมเขายังจำสายตาแห่งความอิจฉาของผู้ชายหลายคนในวงสังคม ในวันที่คล้องแขนเจ้าสาวเดินพรมแดงเข้าสู่เวทีงานแต่งงานที่ใช้เงินประกาศสถานะสามีภรรยาไปหลายสิบล้าน
อิ่มท้องแล้ว ผู้แทนยาที่นัดไว้ก็มาถึงพอดี
นายแพทย์กันต์ธีไม่นิยมไปร่วมงานอบรม สังสรรค์หรือท่องเที่ยวกับคนในบริษัทจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และยาเท่าไรนัก เขาเพียงสั่งซื้อยาตามความต้องการจริง จึงมักกันตัวเองออกห่างจากสถานการณ์ที่ต้องเข้าไปพัวพันให้ความสนิทสนม จนต้องทุ่มยอดสั่งซื้อเป็นพิเศษให้
ผิดกับการสัมมนาครั้งนี้ที่มีหัวข้ออยู่ในความสนใจ รวมทั้งอาจารย์หมอที่เคารพหลายท่านก็ไปร่วมด้วย อีกทั้งช่วงนี้เขาถูกกดดันให้เร่งผลิตลูกจนพาลเอียนที่จะเห็นหน้าของข้าวหวานอยู่ทุกคืน
บอกตรงๆ ว่าเมื่อยิ่งมีแรงกระตุ้น เขายิ่งกลัวพลาด การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักมันทำให้เขาลอยตัว ไม่ทุกข์ไม่สุขก็จริง แต่ครั้นจะให้ดึงเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านที่ว่างเปล่าแบบนี้แล้ว เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น
นายแพทย์หนุ่มตระหนักดีว่าในบ้านที่มีพ่อแม่ล้วนเย็นชา
ต่อกัน มันสร้างความทุกข์ไม่ต่างไปจากเด็กที่ครอบครัวแตกแยกไป คนละทาง หรืออาจจะทุกข์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะความอึมครึมมันโอบล้อมรอบตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยบรรยากาศเหล่านี้มันส่งผลและหลอมรวมให้เขาไม่เชื่อมั่นกับความรัก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโหยหาความรักความอบอุ่นอยู่ดี กระทั่งได้มาเจอกับรุ่นน้องสาวคนหนึ่งที่ศึกษาในคณะเภสัชศาสตร์ เธออายุต่างกับเขาถึงสามปี เราคบหากันจนกระทั่งเธอเรียนจบและเข้าทำงาน นั่นเป็นผู้หญิงคนเดียวที่หมอกันต์เคยคิดหวังจะร่วมหอลงโรงด้วย
“ไปกันเลยไหมคะอาจารย์”
“เอาสิครับ” นายแพทย์กันต์ธีพยักหน้าให้กับหญิงสาวที่
เห็นหน้าค่าตากันอยู่บ่อยครั้ง“งานจัดช่วงบ่ายถึงราวสองทุ่มนะคะ” ผู้แทนยาสาวจากบริษัทใหญ่ร่วมงานกับนายแพทย์คนดังมานานพอสมควร เธอรู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นคนค่อนข้างถือตัว การเข้าหาผู้มีอำนาจสั่งซื้อยาคนนี้จึงไม่เคยต้องมีของกำนัลไร้สาระติดมือมาให้รำคาญใจ ขอแค่เขาถามข้อมูลและเธอก็ตอบได้ ตัวยาและสินค้าตรงกับความต้องการเท่านี้เป็นอันจบ เรียบง่ายตรงไปตรงมาสำหรับการดูแลนายแพทย์กันต์ธี
“ก็ดีนะ ไม่ดึกมาก”
“อาจารย์จะกลับหรือค้างที่โรงแรมเลยคะ”
เสียงดังครืดคราดในกระเป๋าส่งให้หมอกันต์หยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมาดูและพบว่าเป็นสายเรียกเข้าของภรรยา นี่ยังไม่นับรวมกับข้อความที่ส่งมาค้างอยู่เต็มหน้าจอนั่นอีก นายแพทย์หนุ่มก้าวขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งเบาะหลัง พร้อมปรับพนักพิงหนังแท้ให้รองรับกับสรีระ เสียงโทรศัพท์ที่ปิดอยู่ก่อนหน้าก็เพิ่มเป็นปิดการสั่นแจ้งเตือนไปอีกอย่างให้รู้แล้วรู้รอด
“จองที่พักให้ด้วยนะครับ ผมจะค้างคืน”
แซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีชีวิต...ผมรู้สึกแบบนั้นมาตลอด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินข้าวหวานเป่าเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เธอใส่อารมณ์ ใส่ความรู้สึกรวมถึงเสน่ห์ของเธอลงไปด้วย เธอเซ็กซี่เสมอยามเมื่อยืนอยู่บนฟลอร์และสะกดคนด้วยเสียงเพลงอย่างเช่นคืนที่เราอยู่บนเรือสำราญด้วยกันจริงอยู่คนอื่นอาจจะเห็นเธอในมุมของนักดนตรี ไฮโซสาวพราวเสน่ห์แต่เสน่ห์อย่างอื่นของเธอมีมากมายกว่านั้นถึงแม้ครั้งหนึ่งผมจะหลับหูหลับตา มองเธอผ่านหน้ากากแห่งอคติ แต่ได้โปรดเข้าใจกันบ้าง ตอนนั้นผมคือผู้ชายที่จำใจแต่งงานโดยไม่ได้รักผมไม่ถึงกับโกรธเกลียดข้าวหวาน แค่ขวางหูขวางตานิดหน่อย ผมทำนิสัยแย่ เธอก็ยังยิ้มอ่อน ผมเย็นชา เธอก็ยังทำข้าวกล่องให้ไปกินที่ทำงานทุกเช้า บอกตรงๆ ผมค่อนข้างได้ใจข้าวหวานเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรักผมมาก รักแบบที่ไม่มีทางไปไหนรอดน่าขำ…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนตลอดเวลาที่ผมเย็นชา เธออดทนเพราะหวังว่าผมคงอ่อนโยนขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้าเวลาที่ผมทำนิสัยแย่ เธอมักจะยิ้มหรือนิ่งเงียบ นั่นเพราะเธอคงไม่อยากให้เราทะเลาะกันจนบานปลายการใช้ชีวิตคู่ที่เธอพยายามและเฝ้าทะนุถนอมมันเพียงฝ่ายเดีย
แสงอาทิตย์อ่อนแสงลงจนดูอ่อนโยนกับท้องทะเล เด็กน้อยหลายคนและนกนางนวลหลายตัวกำลังเล่นลมอย่างสนุกสนาน ฉันมองภาพงดงามซึ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่ใช่ว่าชีวิตจะมีเพียงภาพอันสว่างไสวเช่นนี้เพียงอย่างเดียวคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สำหรับฉันมันเกิดขึ้นตอนอายุสิบห้าคืนที่ฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว เศษกระจกแตกกระจัดกระจาย รถที่พลิกคว่ำ เลือดของฉัน พ่อและแม่ นองไปกับสายฝน กระดูกแขนขาหัก มันเจ็บปวดที่ต้องนอนมองคนที่รักตายอยู่ตรงหน้า แต่กระนั้นฉันก็ยังกลัวความตายที่กำลังคืบคลานมากัดกินฉันอีกคนความอบอุ่นของฝ่ามือมนุษย์แตะเบาๆ ที่ข้างคอของฉัน ผู้ชายที่เปียกโซกไปทั้งตัว เขายิ้มอย่างอ่อนโยนท่ามกลางความมืดและคาวเลือด นับแต่นั้นฉันฝังรอยยิ้มสว่างไสวของเขาไว้ในความทรงจำ“ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ น้องจะปลอดภัยแน่นอน” เขาพูดแบบนั้นและฉันก็ปลอดภัยจริงๆ แม้ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของคุณปู่อยู่เกือบปีอาการทางกายของฉันดีวันดีคืนเพราะอยู่ในวัยที่ร่างกายแข็งแรง ทว่าอาการทางใจมันกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆฉันมักหายใจไม่ออกเสมอ หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะในช่วงคืนที่ฝนตก
สถานตากอากาศบางปูในวันสุดสัปดาห์ผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงเข้าใกล้ปลายปีแบบนี้กันต์ธีหยิบหมวกปีกกว้างสวมบนศีรษะของภรรยาสาวที่กำลังท้องแก่ อีกมือก็ก้มลงจูงเด็กชายเขตต์วัยสามขวบกว่าที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัว ที่สำคัญคือลูกเขาซนมากอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ หมอหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์เย็นชาที่ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย ทว่าเขากลับรักเด็กคนนี้จับจิตจับใจ“เดินรอแม่ด้วยสิลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากเตือน หนูน้อยที่อยู่ในช่วงพลังงานล้นเหลือก็ก้าวเท้าช้าลง ปล่อยมือจากบิดาและหันไปประคบประหงมมารดาแทน“คับ” เด็กชายเขตต์ยิ้มแฉ่งให้กับผู้เป็นแม่ที่ยังเดินอุ้ยอ้าย ฝีเท้าเล็กๆ ก็ขยับช้าลงฉับพลันกันต์ธีมองความอ่อนโยนของลูกชาย โชคดีที่เขตต์ได้รับนิสัยน่ารักแบบนี้มาจากฝั่งของข้าวหวาน เขาจำได้ วันที่รู้ว่าในท้องของภรรยาเป็นลูกสาวเขาก็บอกกับลูกชายคนโตว่าต่อไปจะมีน้องน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาออกมาเป็นเพื่อนเล่นอีกคน เด็กชายเขตต์ก็ดีอกดีใจ ทุกวันนี้พี่ชายตัวโตก็มักจะวิ่งเข้าโอบกอดท้องกลมเหมือนลูกแตงโมของมารดาอยู่ทุกวัน“น้องเขตต์จับมือคุณพ่อไว้นะคะ” คุณแม่ยังสาวรีบเตือนบุตรชายเมื่อเดินพ้นระยะจากลานจอดร
พ้นจากช่วงงานยุ่งติดพันมาพักใหญ่ ในที่สุดคู่สามีภรรยานักบริหารก็หาเวลาว่างมาล่องเรือสำราญกันได้สำเร็จแม้จะเป็นการมาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ราวสามสี่คืน แต่นายแพทย์กันต์ธีก็เปี่ยมไปด้วยสุขที่เห็นภรรยาสาวผ่อนคลายลง เธอดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นจนเขารู้สึกได้ ผิวขาวน้ำนมของหญิงสาวเหมือนจะเปล่งรัศมีเรืองแสง ยิ่งยามที่เธอเฉิดฉายอยู่ในชุดสีแดงแบบนี้ด้วย เขาไม่เหลือสายตาไปมองใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว“เรือลำเดิมเลยค่ะพี่กันต์ จำได้หรือเปล่า”“จำได้สิครับ” ชายหนุ่มเดินโอบไหล่บอบบางพาไปยังบริเวณราวเหล็กด้านข้างเรือ ตั้งใจว่ารอให้แดดร่มลมตกกว่านี้ก่อนค่อยชักชวนภรรยาสาวขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าสำหรับดินเนอร์มื้อค่ำ“ที่บอกว่าจำได้เนี่ย คือจำว่ามากับหวาน หรือมากับดีเทลยาคนนั้นที่พากันเข้าห้องไปคะ” หญิงสาวเปิดปากกระแนะกระแหน ในใจก็นึกว่าจะไม่จิกกัดเขาเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว แต่เมื่อก้าวขามาอยู่บนเรือสำราญ หัวใจมันคันยุบยิบ ปล่อยไปกันต์ธีก็เหมือนจะลอยตัว วันนี้เลยขอเคลียร์สิ่งที่ค้างคาสักหน่อย แล้วเธอจะมูฟออนจากเรื่องสาวๆ ของเขาเสียที“โธ่ หวาน”“อย่ามาทำเสียงแบบนั้นกลบเกลื่อนค่ะพี่กันต์ มันไม่ได้ผล” ไฮโซสาวยกแข
ทริปล่องเรือสำราญล่มไม่เป็นท่าเพราะนายแพทย์หนุ่มป่วยจนไข้ขึ้นถึงแม้กันต์ธีจะพยายามผงกหัวแล้วร้องโวยวายเสียงแหบพร่า บอกกับหญิงสาวว่าให้เตรียมตัวไปทริป แต่ด้วยสภาพของเขาที่มันตรงกันข้าม พอเริ่มงอแงหนักข้อขึ้น ไฮโซสาวก็เปลี่ยนมายืนเท้าเอว พลิกจากลูกโอ๋เป็นดุเสียงเข้มแทน“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ยืนยันจะไปล่องเรือ หวานจะได้ไม่ต้องขนของกลับมาที่นี่”“ทำไมล่ะ” คนป่วยเบิกตาโต เสียงแห้งไปกว่าเดิมอีกพันเท่า พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวหมดแรง“ก็หวานจะเอาวันหยุดของเรา ย้ายของซะหน่อย ถ้าพี่กันต์อยากไปเที่ยวมาก งั้นเรื่องขนของกลับมาที่นี่ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ค่ะ”ได้ยินเหตุผลของหญิงสาว คนดื้อก็เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือดเริ่มกลับมามีสีเลือดพร้อมกับทำเสียงจริงจัง จนคนที่แอบมองอยู่ต้องอมยิ้ม “ได้ยินกรมอุตุบอกว่าช่วงนี้คลื่นลมแรง เราอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน”“พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อยค่ะ”“แล้วรักไหม” ไม่ใช่เพราะพิษไข้นี่หรอกที่ทำให้เขาอยากออดอ้อน แต่เพราะความรักที่ท่วมท้นล้นเอ่อ ในหัวใจมันรู้สึกหวานๆ คล้ายอยากให้เธอเติมคำว่ารักเข้ามาเพิ่ม อยากได้ยินอยู่แบบนั้นราวกับมันเป็นเสียงดนตรีบรรเลงที่อยา
หลังส่งมารดาขึ้นรถกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เดินเข้าครัวเพื่ออุ่นซุปเยื่อไผ่กระดูกอ่อน เดือดพลุ่งทั่วหม้อเขาก็ยกลงตักใส่ถ้วยกระเบื้อง พยายามฝืนกลืนให้ตัวมีแรง ในใจคิดไปว่าฝีมือมารดาคงอร่อยมากหากได้กินในช่วงเวลาปกติ ทว่าตอนนี้ปากของเขาเริ่มขมปร่าไม่รู้รสชาติเสียแล้ว กลิ่นที่ควรหอมฟุ้งจากน้ำต้มซุปกระดูกหมูก็ไม่พาเข้าสู่โสตประสาทใดๆเมื่อท้องอุ่นขึ้น คนใกล้ป่วยก็พาตัวเองไปยังห้องนอนกว้างข้าวหวานมักหาเวลามานอนค้างด้วยที่นี่เป็นบางครั้ง แต่หลังจากค่ำคืนที่หญิงสาวกลับไป เขาจะยิ่งทุรนทุรายด้วยความคิดถึงกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง เฉกเช่นคืนนี้ที่หลานสาวเจ้าสัวต้องควงปู่เพชรไปงานเลี้ยงที่สมาคม ส่วนเขาเร่งมือเคลียร์งานจึงไปกับเธอไม่ได้ ช่วงเวลาของการได้พบหน้าในตอนกลางวันมันไม่เพียงพอ ทั้งที่รู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่กันต์ธีก็ยังหลับไม่ลง‘นอนหรือยังคะ’ ข้อความที่เด้งขึ้นจากแอปพลิเคชันสนทนา ทำให้คนที่กำลังน้อยอกน้อยใจเปิดปากยกยิ้ม เขารีบพิมพ์กลับไปทันทีแบบไม่เล่นตัว‘ยังไม่นอน คิดถึงข้าวหวานจัง’ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็แผดร้องขึ้น ชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงยกขึ้นปัดรับด้







