LOGINสายน้ำผึ้งยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอก เผอิญพี่เป็นพวกปากอยู่ไม่สุข ชอบติโน่นตินี่ตลอด จนบางคนไม่เห็นเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่เห็นเป็นศัตรู กลัวว่าจะเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาลงที่เอม ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้านะซิ” ไม่ได้อยากบอกให้เฌอเอมตกใจหรอกนะ แต่ถ้าหากน้องสาวร่วมบ้านต้องเจอกับฤทธิ์วาจากระทบกระเทียบแดกดันจากบางคนจะได้รู้ถึงสาเหตุที่ไปที่มา
“อ๋อ...” เฌอเอมหัวเราะคิก จนดวงหน้าผุดผ่องพรรณกระจ่างสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม เสริมด้วยนัยน์ตากลมใสเป็นประกายเจิดจรัสวาววับราวกับดวงดาวนับสิบส่องสว่างทำให้น่ามองมากขึ้น
“เฌอเอมรับทราบแล้วค่ะ และก็จะสู้ไม่ถอยด้วย พี่น้ำผึ้งไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เฌอเอมฉีกยิ้มจนแก้มป่องเห็นฟันซี่เล็กๆ ในปากแทบหมดทุกซี่ พร้อมยกมือชูขึ้นสองนิ้วให้คนช่วยหางานคลายความกังวล
“จ้า...พี่รู้ งานหนักงานเบาเราไม่เกี่ยง แต่อยากให้ระวังตัว อย่าลืมว่าคนเรา รู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนปากปราศรัยแต่น้ำใจเชือดคอนะ เห็นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสแต่ลับหลังอาจคิดคดทรยศหาเรื่องทำร้ายให้เราเจ็บเจียนตายก็ได้”
ไม่ได้ขู่แต่อยากเตือนให้เฌอเอมรู้จักดูแลตัวเองและระมัดระวังตัวไม่ให้เกิดเหตุเภทภัยร้าย ด้วยโลกจากบ้านที่จากมากับโลกภายในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นต่างจากโลกแห่งการทำงานชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว ที่บ้าน...จะพบแต่คนที่หวังดีกับเราจริง ๆ ในมหาวิทยาลัย เพื่อนที่จริงใจและหวังดีกับเรา คนที่คอยดูแลและจับมือของเราเพื่อก้าวเดินไปด้วยกันหาได้ไม่ยาก แต่ในที่ทำงาน...น้อยนักที่จะได้เจอเพื่อนแท้ที่ดีที่จริงใจกับเราอย่างที่สุด ยิ่งต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา แล้วเขาเหล่านั้นก็ต่างความคิด ต่างนิสัย บวกกับความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวที่สามารถเปลี่ยนคนดีให้เป็นคนชั่วได้ในพริบตา เธอจึงอยากให้เฌอเอมระมัดระวังตัวไว้ อย่าเชื่อใจใครง่าย ๆ
“ค่ะ” เฌอเอมพยักหน้ารับ “เอมจะจำไว้” รับปากอย่างแข็งขัน ถึงไม่ได้เจอด้วยตัวเอง ทว่าสี่ปีที่จากบ้านมา เธอพบเจอเรื่องทั้งดีและไม่ดีหลายเรื่องอยู่ อีกทั้งสายน้ำผึ้งเองก็เล่าถึงนิสัยผู้คนที่เธอไปประสบพบเจอมาให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง จนค่อนข้างกลัวใจเขาเหล่านั้นที่สามารถแต่งเติมเสริมเรื่องราว กลับคำพูดจากผิดเป็นถูกได้อย่างไม่มีความอายเลย
“ดีแล้ว ไปเถอะ”
“อ้าว...แล้วพี่น้ำผึ้งไม่ไปตอกบัตรเข้างานก่อนเหรอคะ” เอ่ยถามอย่างนึกขึ้นได้
“ความจริงวันนี้เป็นวันหยุดพี่นะ แต่เผอิญมีลูกค้านัดคุยรายละเอียดเรื่องงานที่จะมาใช้บริการโรงแรมเราจัดงานน่ะ” ทำงานมาหกวันก็อยากพักเหมือนกัน แต่ติดว่าลูกค้ารายนี้มีคิวว่างวันนี้ ก่อนต้องเดินทางไปธุระยังต่างประเทศ กลับมาอีกครั้งก็ก่อนวันงานสามถึงห้าวัน ซึ่งนั่นอาจทำให้แผนงานที่มีอยู่ก่อนมีปัญหาลามมาถึงงานนี้ที่อาจผิดพลาดด้วย ซึ่งเธอยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้
“อ๋อ...ค่ะ”
“เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับนะ”
“เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้คะ” ตอบกลับด้วยความเกรงใจ มาส่งแล้วยังมารับอีก
“เรานี่ยังไงนะเอม ยังเกรงใจอยู่อีก พี่ไม่คุยกับเราแล้ว คุยทีไรชอบมีข้ออ้าง ข้อแม้เยอะแยะไปหมด ปวดหัวทุกที ไป...ไปทำงานได้แล้ว” เอ่ยไล่เสียงนุ่มพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจสาวน้อยที่ก้าวลงจากรถหน้าตาค่อนข้างจืดเจื่อนด้วยเริ่มขาดความมั่นใจอีกแล้ว
“เดี๋ยวเอม” ร้องเรียกอีกครั้งก่อนเฌอเอมจะปิดประตู
“มีอะไรอีกเหรอคะพี่น้ำผึ้ง”
“จำที่พี่สอนได้ไหม” สายน้ำผึ้งถามย้อนถึงเรื่องที่เธอติวเข้มหลังเลิกงานให้เป็นเวลาสามวันให้กับเฌอเอมเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง “มั่นใจว่า...ฉันเก่ง ฉันสวย ทำฉันได้ ยิ้มหวาน...แล้วเชิดหน้าขึ้น”
“ค่ะ” เฌอเอมตอบกลับและทำตามคำแนะนำสีหน้าค่อนไปทางเบะแหย ก้าวเดินกระหย่องกระแหย่งด้วยไม่ชินกับรองเท้าส้นสูง กระโปร่งสั้นเต่อและค่อนไปทางกระชับเน้นรูปร่างเพรียวอรชร จนต้องใช้นิ้วหยิบดึงตัวผ้าให้ยาวลงมาอีกนิด
สายน้ำผึ้งถึงกับส่ายศีรษะอย่างเอ็นดูระคนระอิดระอาใจเล็กน้อย เมื่อเฌอเอมยังคงมีท่าทางขาดความมั่นใจอยู่ แต่ก็ดีกว่าเก่ามิใช่น้อย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้แล้วกัน
“ตายแล้ว!!” มัวแต่มองเฌอเอมจนไปว่ามีนัด ยิ่งก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือก็แล้ว...สายน้ำผึ้งรีบเคลื่อนรถออกไปอย่างเร็วแทบไม่เห็นฝุ่น
“บ้าจริง! จะรีบไปตายที่ไหนยะ” สายน้ำผึ้งสบถเสียงขุ่น สองมือจับพวงมาลัยรถเอาไว้แน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน เมื่อเลี้ยวรถเข้าที่จอดซึ่งหมายตาเอาไว้กลับต้องเหยียบเบรกอย่างแรง ด้วยว่ามีรถอีกคันพุ่งเสียบเข้ามาแย่งที่อย่างไม่มีมารยาท เธอเลยจำเป็นต้องเลี้ยววนหาที่จอดรถใหม่อีกครั้ง กว่าจะได้ก็จวนเจียนเวลานัดหมายเต็มที
สายน้ำผึ้งคว้าแฟ้มเอกสารที่กองสุมไว้หลังรถขึ้นมากอดอกไว้ ก่อนล็อกรถจนเรียบร้อยแล้วสาวเท้าวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในร้านจำหน่ายจิลเวอร์รี่กึ่งบริษัทนำเข้าและส่งออกทางด้านข้างซึ่งใช้สำหรับผู้มาติดต่อเรื่องอื่นใดที่ไม่ใช่การซื้อเครื่องประดับอย่างรีบเร่ง
“ขอโทษนะคะ ดิฉันมาพบคุณประพันธ์ ชลรักษ์ค่ะ”
“คุณประพันธ์ไม่อยู่ค่ะ”
“อ้าว...ก็ไหนท่านนัดดิฉันให้มาพบเองนี่คะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแหลมเล็ก ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่พุ่งลิ่วขึ้นมา แต่จำต้องข่มกลั้นใจไว้ด้วยถือคติลูกค้าถูกเสมอ
‘บ้าจริง! ไหนว่าเป็นนักธุรกิจมือทอง เวลาเป็นเงินเป็นทองไง แล้วทำไมถึงได้ผิดนัดอย่างนี้’
“แล้ว...ท่านไปไหนคะ จะกลับเมื่อไหร่ ท่านสั่งอะไรไว้ถึงฉันบ้างหรือเปล่าคะ ฉันสายน้ำผึ้ง รงรองค่ะ” แม้จะระงับความโกรธเอาไว้อย่างที่สุดแล้ว ทว่าดวงตากลมโตก็ยังเปล่งประกายวาวเจิดจ้าอยู่ดี ก็เธอยอมไม่หยุดงานเพื่อมาพบอีกฝ่ายโดยเฉพาะ ทำกับเธออย่างนี้ได้ยังไง ไม่ว่างหรือติดธุระอะไรก็โทรบอกกันหน่อยซิ จะได้ไม่เสียเวลาพักผ่อน
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวตอบกลับเสียงหวานนุ่มและเย็นใจ ดวงหน้านวลเนียนเรียบยังคงผ่องใสขณะเปิดค้นเอกสารไล่สายตาหาชื่อสายน้ำผึ้ง ปากอิ่มนุ่มคลี่ยิ้มหวานละมุนส่งยิ้มให้คนอารมณ์ไม่ดี
“ถามจริง คุณแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะตกลง แล้วเกิดไม่...แม่คุณไม่หน้าแตกหรือไง” แต่แม่เธอนะหรือที่จะปฏิเสธ มีแต่จะรีบจับเธอใส่พานยกให้แม่ภาสวรโดยเร็วนะสิ ก็อยากจะให้เธอแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นจนถึงกับเคยเปรยให้เธอได้ยินอยู่ว่า ถ้ามีใครสักคนกล้าหาญมาขอเธอไปเป็นศรีภรรยาละก็...จะยกให้พร้อมกับทองสักสองสามบาท ไหนจะที่ทางอีกล่ะภาสวรส่ายศีรษะ เขามั่นใจเลว่าพ่อกับแม่จะทำสำเร็จเช่นตัวเขาเองที่ต้องสำเร็จด้วยเช่นกัน“ไม่เลย เพราะผึ้งไม่มีทางหนีมือฉันพ้น ถ้า...ป่อง” ชายหนุ่มยิ้มนัยน์ตาวาวระยับขณะสองมือวาดท้องโตขึ้นพร้อมใบหน้ารอยยิ้มละมุนละไม นัยน์ตาเข้มดุวามวาวเป็นประกายแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้เต็มพิกัด ที่คนเห็นถึงกับหนาวจับขั้วหัวใจ “ผึ้งจะยอมอาย ไม่แต่งงานกับฉันได้หรือ” “ป่องเองสิยะ ไม่ย่ะ ฉันไม่ป่อง” “มีสิทธิ์เลือกหรือจ๊ะผึ้งจ๋า...ฉันปล่อยเชื้อไว้เต็มที่ทุกครั้งที่เราปั่มปั๊มกัน ใครจะไปรู้ ตอนนี้ผึ้งอาจมีผึ้งตัวเล็กๆ ซุกอยู่ในท้องแล้วก็ได้ แต่ถ้าผึ้งยังไม่มั่นใจ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันซ้ำให้นะจ๊ะเมียจ๋า” ภาสวรช้อนร่างนุ่มนิ่มขึ้นไปวางบนเตียงนอนพร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าจากสองกายหลุดออกไปอย่างเร็วแทบเป
“ความจริงผึ้งควรดีใจนะที่เกิดเหตุการณ์นั้น เพราะทำให้ฉันมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง” ไม่เข้าใจ ศีรษะทุยเอียงเล็กน้อย ไอ้ที่เขาพูดมาหมายความว่ายังไงภาสวรยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “ฉันแค่อยากมั่นใจ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ไม่ใช่แค่ความผูกพันทางกาย แต่เป็นสายใยเชื่อมใจสองดวง เชื่อมคนสองคนให้ร่วมจับมือฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค เติมเต็มความสุขพร้อมสร้างสุขด้วยกันตลอดจวบจนแก่เฒ่า” สายน้ำผึ้งไม่รู้เลยว่าตอนนี้หัวใจของเธอเริ่มละลายจากการกระทำและคำพูดที่จริงใจและเปี่ยมด้วยรักที่หัวใจรับรู้“ฉันขอโทษที่ฟังความเพียงข้างเดียว แล้วปรักปรำและทำร้ายเธออย่างไม่น่าอภัย ฉันรู้ว่าทำใจลืมยากกับการถูกข่มเหงร่างกายโดยไม่ยินยอม ฉันไม่เถียงที่ส่วนหนึ่งคืออยากลบล้างความรู้สึกผิดที่เกาะกุมใจ แต่ที่มากกว่านั้นคืออยากเติมความรู้สึกผูกพันและรักใคร่ระหว่างกัน พร้อมอยู่ดูแลกันด้วยรักไปตลอดตราบจนชั่วชีวิต” ภาสวรดันร่างเพรียวพาลงไปยืนบนพื้น ขณะที่เขาทรุดกายคุกเข่า “ทำอะไรน่ะคุณภาส” พยายามดึงเอาร่างใหญ่ให้ลุกขึ้น แต่กลับสู้แรงเขาไม่ได้และยังถูกจับมือเอาไว้“ก่อนที่ฉันจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตได้ก็ต้อง... บอกรักและขอแ
“บางครั้งคนเราก็ทำอะไรที่ไม่ชอบลงไปจากความเข้าใจผิดของตัวเอง ฉันเป็นหนึ่งในนั้น ที่ยังดื้อดึงดันลุยไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด” ขนาดรู้ว่าไม่ใช่ เขาก็ยังไม่ยอมหยุด...“คุณจะพูดยังไงก็ได้ เพราะคุณเป็นฝ่ายได้เปรียบ” ให้เขาพูดดีและจริงใจแค่ไหน ทว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะลบเลือนได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ เพราะทุกการกระทำของเขา คือลิ่มเหล็กตอกย้ำความเจ็บช้ำและปวดร้าวฝังตรึงอยู่ในใจมิรู้คลาย “ปล่อยฉันเถอะคุณภาส ถ้าคุณรักฉันอย่างที่พูด ช่วยปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยให้ฉันไปมีชีวิตของฉัน” สายน้ำผึ้งอ้อนวอนเสียงสั่นพร่าและแหบเครือ“ไม่!!” ภาสวรผวากอดสายน้ำผึ้งเต็มรัก แค่เธอจากมาไม่กี่วันเขารู้สึกคล้ายรอบกายว่างเปล่า มองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่มืดมนจนมองแทบไม่เห็นทาง “ไม่! ไม่มีวันที่ฉันจะปล่อยเธอไป” เขารัดร่างนุ่มนิ่มแนบอก “แม้ต้องบังคับให้เธออยู่ด้วย...ฉันก็จะทำ!” อยากผลักไส แต่เรี่ยวแรงกลับแห้งเหือดหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เธอจึงได้แต่อยู่ในอ้อมกอดที่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บออกไปจนหมดสิ้น แต่สายน้ำผึ้งก็ยังพยายามเรียกเอาคำพูดและการกระทำของภาสวรที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงไร้ค่า ไร้ศักดิ์ศรีขึ้นมากลบ “
ภาสวรคลี่ยิ้มปากกว้าง “คุณเลยหวังใช้มือผมจัดการสั่งสอนสายน้ำผึ้งว่างั้นเถอะ” เจสันหัวเราะกลั้วคอ “ผมเอาคืนเล็กน้อย แต่คุณได้ประโยชน์เต็มๆ แล้วอย่างนี้จะตกลงรับข้อเสนอผมไหมล่ะ” ถ้าเขาไม่รับก็ต้องใช้เวลาควานหาตัวสายน้ำผึ้งที่ยังทำตัวดำดินมุดอยู่ในรูอีกนาน ในเมื่อมีคนพาตัวเธอมาเสิร์ฟให้ถึงมือ มีหรือจะไม่เอา“แล้วคุณมีแผนการยังไงบ้าง” ภาสวรเอ่ยถามและรับฟังด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น แม้ต้องอดทนที่ต้องมองสายน้ำผึ้งอยู่ไกลๆ แต่เพื่อวันแห่งความสุขเขาจำต้องยอมอดกลั้นที่เธอรู้สึกคล้ายถูกมองและถูกตามเมื่อสองสามวันก่อน...ก็เป็นอีตาหมีควายนี่น่ะสินะ แต่แปลกในเมื่อเขาเจอเธอแล้วทำไมถึงได้ไม่จับตัวไว้ตั้งแต่วันนั้นละ เชื่อได้หรือว่าเขาปล่อยเธอให้ลอยนวลโดยไม่ลากเข้าห้องแล้วขย้ำขยี้ให้แหลกละเอียดยิ่งกว่าแก้วที่ถูกตกลงบนพื้นแล้วถูกรถทับซ้ำอีกครั้ง ภาสวรยิ้ม “ถูกแล้วผึ้ง ฉันตามติดแต่ยอมอดทนตามที่เจสันแนะนำ เพราะกลัวเธอหนีไปอีกครั้งจนหาไม่เจอ รู้ไหมฉัน...หงุดหงิดแทบเป็นบ้าที่ต้องทำอย่างนั้น” เขาหงุดหงิดแทบเป็นบ้าเลยจริงๆ แต่ช่วงเวลาที่ห่างหายไม่ได้อยู่ใกล้กันก็มีส่วนดีด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้เขาล่วงรู้ความ
เธอพกความช้ำชอกรวดร้าวกับขาดรอนและน้ำตากลับบ้าน ที่เพียงย่างเท้าเหยียบลงไปบนพื้น แข้งขาก็อ่อนแรง แต่จำต้องกัดฟันพาเรือนกายอ่อนระโหยโรยแรงก้าวเดินเข้าไปภายใน เพื่อเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น รีบเดินทางออกจากบ้าน หาเช่าที่พักใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราว ก่อนภาสวรรู้ตัวและตามล่าเอาตัวกลับไปทรมานให้ตกนรกทั้งเป็นจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด หลบหนีรอดอุ้งมือมาได้ตั้งหลายวัน จนตอนนี้เคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยและจะเดินทางกลับบ้านก่อนต่อด้วยเดินทางไปหางานทำยังดินแดนที่ได้ขึ้นชื่อว่าไข่มุกแห่งอันดามัน ซึ่งเธอได้โทรติดต่อสอบถามบ้างแล้ว แต่ใครจะคาดคิดเล่าภาสวรดักรอเหมือนกับรู้ล่วงหน้าอย่างนั้นแหละ แม้หวาดหวั่นกริ่งเกรงจากรัศมีสายตาของคนตัวใหญ่ จนใบหน้าขาวนวลผุดผ่องค่อนไปทางซีดเผือด ทว่าสายน้ำผึ้งก็ยังเชิดขึ้นสูง ไม่ยอมมองพ่อหมีควายตัวโคร่งที่ยืนสอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าเข้มกรุ้มกริ่ม สายตาคู่นั้นฉายแวววามวาวที่เธอคุ้นเคย และรีบสาวเท้าเป็นวิ่งเดินเลี่ยงไปที่ลิฟต์ซึ่งเปิดพอ“อะไรกันสายน้ำผึ้ง เจอหน้าผัวเก่าทั้งที นอกจากไม่ถามไถ่ไม่เจอกันหลายวัน คิดถึงกันบ้างไหม แล้วเป็นไงบ้างสบายดีหรือเปล่า ยังคิดห
“ถ้าพี่สรไม่รังเกียจ...หนูเอมจะยอมปวารณาตัวเป็นทาส...รัก” แม้เป็นเสียงกระซิบ แต่ก็ดังเข้าไปถึงหัวใจเจสันจนเขาต้องจดจำคำนี้ไม่มีวันลืม “ทาสเสน่หา...ทาสรักของพี่สรตลอดไปค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นเราต้องรีบบอกแม่หนูเอม แล้วไปจดทะเบียนกันนะ” เขาอยากมั่นใจ แค่สายใจสายสัมพันธ์สวาทผูกรัดเธอไว้ไม่พอ ยังต้องใช้ฐานะทางกฎหมายและสังคมมัดเธอไว้อีกชั้น ผู้หญิงดีๆ มีความอดทน ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งได้พบลาภก้อนใหญ่ มีค่าดังราวกับเพชรในโคลนตม อย่างนี้มีหรือที่เขาจะปล่อยทิ้งไปได้นะ เป็นอย่างนั้นนะ...โง่บรมแล้วล่ะ “แล้วพี่สรจะบอกรักหนูเอมทุกๆ วันใช่ไหมคะ” ก็แหม...คำรักหวานๆ เธออยากฟังซ้ำหลายๆ ครั้งนี่น่า“ไม่ล่ะ คำนี้ถ้าพูดทุกวัน เดี๋ยวจะไม่มีความหมาย คล้ายไม่จริงใจมากกว่า ไว้ใช้ในโอกาสสำคัญๆ ดีกว่านะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ” เขารีบบอกดักคอไว้ก่อน เพราะไม่อยากเห็นหน้าเศร้าๆ จากคนตัวเล็ก “ความรักไม่จำเป็นต้องเอ่ยพูด แต่แสดงออกทางความรู้สึก...ที่หนูเอมลืมไปเลย ฉันเอ่ยบอกรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” “ค่ะ...หนูเอมจะรอดู” เฌอเอมทาบมือบนท่อนแขนกำยำ เอนกายอิงอกกว้าง อบอุ่นวาบไปทั้งร่างกายและหัวใจ หลังจากบอกมารดาเป็นที่เรียบร้







