LOGINบทที่ 9 กลอนหนึ่งบท เปลี่ยนใจหนึ่งดวง
ลมค่ำพัดกรูเบา ๆ ผ่านระแนงหน้าต่างของตำหนักเฉียนหลง แม้ในยามนี้เมืองหลวงจะหลับใหลแล้ว
แต่ภายในห้องทรงพระอักษรกลับยังมีแสงเทียนที่มิยอมดับ
ฮ่องเต้นั่งพิงโต๊ะ หัตถ์ข้างหนึ่งถือกระดาษบางเบาที่ขุนนางคนสนิทเพิ่งนำมาทูล อีกข้างหนึ่งวางอยู่เหนืออักษรประโยคสุดท้าย …คล้ายลังเลจะอ่านซ้ำอีกครั้ง หรือไม่อยากอ่านซ้ำเลยแม้เพียงคำเดียว
“รักของชายต่อหญิง มักผันแปรยากไว้ใจแต่รักที่กลั่นจากสายเลือด…ไม่เคยหนีหาย”
ดวงเนตรคู่นั้นทอดนิ่งบนกระดาษ
แต่เงาของเปลวเทียนสั่นไหวในม่านตา กลบเงาความแน่วแน่ในใจที่เคยมี
แม้เป็นถึงโอรสสวรรค์
แต่ยามนี้กลับรู้สึก…เหมือนเด็กชายผู้หลงทางอยู่กลางคืนหนาว
“มิได้ขอให้อภัย
มิได้ขอสิทธิ์ใด ๆ
ขอเพียงเจ้า…จำได้ว่า
แม่เคยมีชีวิตอยู่ เพื่อรักเจ้า”
พระหัตถ์บีบกระดาษแน่นเพียงนิดก่อนคลาย
ริมพระโอษฐ์ขบแน่นเงียบ ๆ ราวสะกดเสียงในอกมิให้เล็ดรอด
พระเนตรหลุบต่ำแต่ไม่ปิดสนิท เหมือนกำลังพยายามขังบางอย่างไว้ข้างใน
“แม่…”
คำหนึ่งเดียวลอดออกมาจากลำคอ…เบาจนแทบกลืนหายไปในเสียงลม
ไม่มีราชโองการ
ไม่มีรับสั่ง
ไม่มีแม้แต่เสียงถอนหายใจ
มีเพียง หัวใจที่เริ่มสั่นไหว
และบทกลอนหนึ่งแผ่น…ที่ยังวางอยู่บนโต๊ะ ราวกับจะกลายเป็นบทพิพากษาความรู้สึกของพระองค์เองในไม่ช้า
หลังจากทรงอ่านบทกลอนจนจบ ฮ่องเต้ยังคงนั่งนิ่งเนิ่นนานราวโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนไหว
แม้จะไม่มีคำใดหลุดจากพระโอษฐ์แต่เพียงแววพระเนตรที่ทอดลงกระดาษบางเบาก็เพียงพอจะบอกว่า…พระทัยนั้นกำลังต่อสู้กับความทรงจำที่ไม่เคยได้เยียวยา
พระหัตถ์หนาหนุ่มยกแผ่นกระดาษขึ้นไม่ใช่เพื่อฉีกทิ้ง ไม่ใช่เพื่อเผาเงียบ ๆ เหมือนคำสั่งใจแข็ง
แต่เพื่อ…วางมันไว้ช้า ๆตรงข้างพระแท่นบรรทม ใกล้หมอนที่พระองค์เอนพระเศียรลงทุกค่ำคืน…เป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่เด็กชายในอดีตเคยซุกตัวในอ้อมอกมารดา
ภายในห้องตกสู่ความเงียบมีเพียงแสงตะเกียงที่ไหวระริกตามลมและกลอนจากใจแม่…ที่ยังไม่อาจห่างกาย
แสงตะเกียงในตำหนักหยกมณีส่องวาบเบา ๆ ยามสายลมยามราตรีลอดผ่านบานหน้าต่าง ไท่หวงไท่โฮว่ก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้โดยไร้เสียง
แม้นรู้ว่าไม่ควรบุ่มบ่าม แต่ยามนี้…นางไม่อาจอยู่นิ่งได้อีกต่อไป เพราะใจของเด็กหนุ่มที่นางเลี้ยงดูมาแต่เยาว์ กำลังถูกสั่นคลอนด้วยเงาในอดีต
บนโต๊ะข้างเตียงจวนเจียนจะเก็บเรียบร้อยกลับมี แผ่นกระดาษเพียงหนึ่ง ที่วางทิ้งไว้คล้ายเผลอลืม
มุมกระดาษยังอุ่นราวเพิ่งสัมผัสจากปลายนิ้ว ไท่หวงไท่โฮว่หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้น แสงตะเกียงไหววูบตามแรงสะท้อนจากดวงเนตรนาง
ยิ่งอ่าน…สีพระพักตร์ก็ยิ่งเปลี่ยนจากเฉยเมยเป็นแข็งกระด้าง และท้ายที่สุด…ดวงตาแหลมคมกลับสั่นไหววูบหนึ่งอย่างไม่อาจหักห้าม
“แม่มิหวังฟ้าสูงจะเหลียวแล…ขอเพียงเจ้า…จำได้ว่า แม่เคยมีชีวิตอยู่ เพื่อรักเจ้า…แม้จะไร้ชื่อเรียกก็ตาม”
ไท่หวงไท่โฮว่กำกระดาษแน่น ริมฝีปากขบเม้มจนแทบเลือดซิบ
“น้ำคำเพียงไม่กี่บรรทัด…นางกล้าทำให้เจ้ารู้สึกผิดกับผู้ที่เลี้ยงเจ้ามาแทนงั้นหรือ”
ดวงเนตรเยียบเย็นที่เคยทอดมองทั่ววังหลังบัดนี้มืดมัวเพราะกลัวสิ่งเดียว กลัวเสียใจของหลานชายไป กลัวว่าความรักที่เคยมั่นคง จะถูกย้อนรอยด้วยสายเลือดและอ้อมแขนที่นางเองไม่เคยมี
“ข้ายอมเลี้ยงเจ้าท่ามกลางศัตรูนับร้อยแต่ข้าจะไม่ยอมให้นางแย่งเจ้าไปด้วยคำหวานเพียงไม่กี่คำเด็ดขาด”
ไท่หวงไท่โฮว่วางกระดาษนั้นกลับไปที่เดิม แต่เปลวเทียนกลับสะท้อนเงาร่างนางเบี้ยวบิด ไม่ต่างจากใจของผู้เป็นย่า
ที่รู้ตัวดีว่า…กำลังจะแพ้
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นนอกม่าน
ไท่หวงไท่โฮว่เดินเข้ามาอย่างเงียบงันสายพระเนตรเยียบเย็นทอดผ่านโต๊ะข้างแท่นบรรทมและหยุดนิ่งเมื่อเห็นกระดาษแผ่นนั้นยังอยู่
ยังไม่มีคำใดเปลี่ยน
ยังไม่มีคราบน้ำ
แต่การที่มันยังอยู่…กลับบาดลึกในใจนางยิ่งกว่ามีใครเขียนคำกล่าวโทษ ไท่หวงไท่โฮว่มองกระดาษนั้นเนิ่นนาน
ริมฝีปากขบแน่น ดวงเนตรขุ่นเคืองราวกับเพียงแผ่นกระดาษเก่าจะพรากบุตรชายไปจากนาง
“เจ้าวางมันไว้ตรงนี้…ใกล้ตัวเสียยิ่งกว่คำรับสั่งจากขุนนางใหญ่”
พระหัตถ์นางยื่นไปช้า ๆราวจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกไปแต่เมื่อปลายนิ้วแตะถึงก็หยุดชะงัก
เพราะนั่นคือกลอนที่เขียนถึงหลานชายของนาง หลานชายที่แม้ไร้สายเลือดเดียวกัร แต่ก็เติบโตในอ้อมอกไท่หวงไท่โฮว่มาเนิ่นนาน
“นางเขียนด้วยหัวใจ…ข้าเลี้ยงเจ้าด้วยชีวิต”
ไท่หวงไท่โฮว่ถอนหายใจเบา ๆก่อนจะปล่อยกระดาษลงอย่างเดิม
นางเดินจากไป…โดยไม่แตะต้องมันอีกแต่ในใจไฟแห่งความไม่ยอมแพ้เพิ่งลุกโชน เพราะไท่หวงไท่โฮว่รู้ดีว่า การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องอำนาจ…แต่เป็นศึกของหัวใจย่า กับแม่ ที่ไม่ลงรอยกัน
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ







