LOGIN
07:25 น.
“ฉิบหายแล้วไอ้กาน!”
เสียงร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากเรียวปากนุ่มของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดนอนตัวเก่าที่สวมใส่มาหลายปีจนคอเสื้อนั้นย้วยลงมาเผยให้เห็นหัวไหล่เนียน แววตาแตกตื่นเบิกกว้างก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอนขนาด 3 ฟุตในห้องเช่าสี่เหลี่ยมเท่ารูหนู แล้วนำพาร่างกายของตัวเองวิ่งหน้าตั้งไปยังตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่เพียงแค่ก้าวขายาว ๆ สองก้าวจากเตียงนอนก็มาถึง
ฝ่ามือใหญ่เปิดตู้เสื้อผ้าออกกว้าง สีหน้ายังคงความกังวลเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนบนผนังประตูห้องน้ำ บ่งบอกว่าเขามีเวลาอีกแค่ 35 นาทีในการแต่งตัว พร้อมกับขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจไปมหาลัยเพื่อให้ทันเข้าสอบตอน 8 โมงเช้า
“อาบน้ำตอนนี้ไม่ทันแน่มึง ซักแห้งเลยแล้วกันวะ”
คิดได้ดังนั้น เจ้าตัวจึงคว้าหมับเข้าที่เสื้อนักศึกษาตัวเก่งที่ใส่ซ้ำมาแล้วถึง 2 ปีซ้อน แน่นอนว่าสีของมันดูซีดเซียว แต่เจ้าของยังคงรักษาความสะอาดด้วยการซักมือและรีดจนเรียบอยู่สม่ำเสมอ
เสื้อนักศึกษาสีขาวแขนยาวถูกสวมใส่ลงบนตัวในเวลาอันรวดเร็ว เช่นเดียวกับกางเกงขายาวสีดำที่ถูกใส่ทับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวโปรด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะวิ่งเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน พร้อมใช้น้ำสะอาดถูหน้าไปสองสามทีเพื่อล้างคราบขี้ตาออกจากหน้าเสียหน่อย
“โทรศัพท์แม่งเก่าจนไม่ปลุกเลยเหรอวะ”
การันต์ หรือ กาน นักศึกษาทุนเรียนดีชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาสตร์ มหาลัยคิงส์เวล บ่นกับตนเองเมื่อเขาสวมชุดนักศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์รุ่นอาม่าที่วางอยู่ข้างหมอนใบเก่าขึ้นมามองไปบนหน้าจอ โทรศัพท์ปุ่มกดที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากหลวงตา สภาพของมันแม้จะไม่ได้ใกล้เคียงกับสมาร์ตโฟนของผู้คนในยุคสมัยนี้ แต่ถึงอย่างนั้นไอ้จิ๋วของเขามันยังใช้โทรออก และรับสายได้ตามปกติ เว้นเสียแต่ว่าการตั้งปลุกอาจจะต้องลุ้นเป็นลูกผีลูกคนกันในแต่ละวัน เพราะวันดีคืนดีมันปลุก แต่ในบางวันกลับไม่ปลุกเลยก็มี…เช่นวันนี้
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่เคยน้อยใจในโชคชะตากับการที่เขาต้องเติบโตมาในฐานะของเด็กกำพร้าที่ถูกนำไปทิ้งไว้หน้าประตูวัดตั้งแต่อายุได้เพียง 3 เดือนเศษ และนับตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งตอนนี้ที่อายุ 20 ปีบริบูรณ์ เขาเติบโตมาได้จากการเลี้ยงดูของหลวงตา แถมยังได้ทุนเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังของประเทศที่ผู้คนใฝ่ฝันอยากเข้าเรียนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของไทยอีกต่างหาก
นับตั้งแต่เขาสอบติดมหาลัยคิงส์เวล จากเดิมที่เคยอาศัยวัดในการหลับนอน จึงเอ่ยปากขออนุญาตกับหลวงตาออกมาเช่าหอพักที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแทน เพราะระยะทางจากวัดมาถึงมหาลัยนั้น ค่อนข้างไกลพอสมควร ซึ่งหลวงตาท่านก็เข้าใจดี แต่ขอให้เขารักษาเนื้อรักษาตัว โดยตลอดระยะเวลาที่ออกมาอยู่หอนั้น เขาไม่เคยรบกวนเงินจากหลวงตาอีกเลย อาศัยทำงานพิเศษตอนเย็นอย่างพวกล้างจาน เสิร์ฟอาหารในร้านข้าวต้มเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแทน
แววตาสุกใสมองสำรวจตัวเองอีกครั้งอยู่หน้ากระจกที่ติดมากับตู้เสื้อผ้าเพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อย เมื่อเขาหยิบถุงผ้าคู่ใจขึ้นมาสะพายไหล่ “ลืมอะไรไหมวะ” ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องพักสี่เหลี่ยมขนาด 21 ตารางเมตร ที่มุมห้องมีเตียงนอนขนาด 3 ฟุตตั้งอยู่ ตรงปลายเตียงเขาซื้อพัดลมตั้งพื้นมาใช้ดับร้อน ข้าง ๆ กันคือโต๊ะวางของขนาดไม่ใหญ่มาก ซึ่งเป็นที่วางสัมภาระและกระติกใส่น้ำแข็ง เนื่องจากเขาไม่ยอมเช่าตู้เย็นมาเพิ่ม เพราะอยากประหยัดค่าหอลงไปอีก โดยติดกันกับชั้นวางของจะเป็นห้องน้ำขนาดย่อม ๆ และประตูออกสู่ระเบียงที่มีเครื่องครัวอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น อย่างกระทะไฟฟ้า หม้อหุงข้าวที่เอาไว้สำหรับต้มมาม่ากันตายในช่วงปลายเดือนแบบนี้
“ไม่ลืมอะไร ไปได้ไอ้กาน สู้เขา”
ฝ่ามือหนายกขึ้นมาตบที่หน้าอกของตัวเองเบา ๆ เมื่อวันนี้เขามีสอบตอน 8 โมงเช้า แต่เมื่อคืนดันเผลออ่านหนังสือดึกไปหน่อย อีกทั้งนาฬิกาปลุกเจ้ากรรมยังเล่นงานแต่เช้า จึงทำให้เช้านี้มันดูวุ่นวายไปหมด เพราะเขาเหลือเวลาขี่รถไปให้ทันเข้าสอบไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
คิดได้ดังนั้นจึงรีบวิ่งออกจากห้องพัก แล้วพุ่งตรงไปยังลานจอดมอเตอร์ไซค์ โชคดีอีกอย่างของเขาคือห้องพักอยู่ชั้น 1 ทำให้ไม่ต้องเสียเวลานาน “ช่วยพ่อด้วยนะลูกวันนี้” เขามองตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์เวสป้าสีเหลืองนวลคู่ใจที่จอดอยู่ใต้ชายคาสังกะสีตามสภาพของหอพักราคาถูก เจ้าของความสูง 182 เซนติเมตร ก้าวขาขึ้นคร่อมลูกรักแล้วสตาร์ตเครื่องยนต์ในทันที ก่อนจะบิดมันออกไปจากซอยด้วยความรวดเร็ว
ถนนลาดพร้าวในช่วงเช้าที่ได้ชื่อว่ารถติดเป็นอันดับต้น ๆ ในกรุงเทพฯ แม้ว่ารถไฟฟ้าจะสร้างเสร็จแล้ว แต่รถในช่วงเช้าและเย็นยังคงเต็มท้องถนน เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้รถส่วนตัวกันอยู่มาก ยิ่งการจราจรในช่วงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่คนออกเดินทางไปทำงานนั้น ไม่ต้องจินตนาการภาพให้ยุ่งยาก เพราะรถจ่อก้นกันเป็นแถวยาวเหยียดแบบที่ว่ามองไม่เห็นหัวแถวกันเลยทีเดียว ซึ่งพวกที่ขับมอเตอร์ไซค์จะรู้กันดีว่าเลนถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อมอเตอร์ไซค์ ดังนั้น ช่องแคบ ๆ ระหว่างรถยนต์สองคันที่ขับคู่กันไป จึงเป็นช่องทางหลักของพวกเขานั่นเอง
“กูจะไปทันไหมวะเนี่ย”
กานบ่นเสียงอู้อี้อยู่ภายใต้หมวกกันน็อก พร้อมตบไฟเลี้ยวเพื่อเบี่ยงรถไปเลนขวาสุดเมื่อถึงทางโค้งไฟแดงแยกไปมหาวิทยาลัย โดยมีพี่ไลน์แมนคันข้างหน้าของเขาเลี้ยวผ่านไปได้ด้วยดี และเขากำลังจะตามหลังพี่แกไปติด ๆ ถ้าไม่เกิดเรื่องโคตรซวยขึ้นเสียก่อน
โครม เพล้ง!
“ไอ้เวร!”
เสียงสบถดังขึ้นทันทีหลังจากที่ไอ้นวลลูกชายของเขาเพิ่งจะเฉี่ยวชนเข้ากับรถสปอร์ตหรูแต่สีเหมือนขี้หมาแห้งเข้าให้ เมื่อครู่จังหวะที่เขากำลังเบี่ยงรถไปเลนขวาสุด โดยที่เปิดไฟเลี้ยวแล้ว จู่ ๆ ไอ้รถหรูคันนั้นที่ขับแช่อยู่ในเลนขวาสุดมันดันหักรถมาฝั่งซ้ายโดยไม่เปิดไฟเลี้ยวใด ๆ ทำให้ตอนนี้รถของเขาไปจูบด้านข้างรถคู่กรณีสร้างรอยแผลขีดข่วนเป็นทางยาว แถมกระจกมองข้างรถคันนั้นยังติดมือเขามาด้วย ‘โชคดีที่สกิลการทรงตัวของเขาเป็นเลิศทำให้รถไม่ล้มหรือเสียหลักให้สิบล้อเหยียบจนหัวแบะ’
“เหี้ยเอ้ย ชนรถแพงด้วย”
กานมองรถคู่กรณีที่ตอนนี้จอดนิ่งอยู่กลางถนนข้าง ๆ กัน “ทีอย่างนี้เสือกเปิดไฟกะพริบได้นะมึง” ไอ้กานผู้ขึ้นชื่อเรื่องเลือดร้อน เมื่อเห็นว่าตอนเลี้ยวเมื่อครู่ไอ้รถหรูไม่แม้แต่จะเปิดไฟเลี้ยวขอทาง ดันหักพวงมาลัยมาเลย แต่ตอนนี้กลับเปิดไฟกะพริบได้เสียอย่างนั้น มันน่าโมโหฉิบหาย “ไอ้พวกนี้มันซื้อใบขับขี่มาหรือไงวะ” บ่นไปแต่ตาก็พยายามมองความเสียหายของรถตัวเองควบคู่ไปด้วย
คู่กรณีของกานคือชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีส้มที่ไถผมด้านข้างออกจนสั้น แล้วไว้ผมตรงกลางให้ยาวจนมัดรวมไปไว้ด้านหลัง อีกฝ่ายเอี้ยวตัวออกมาจากฝั่งคนขับด้วยสีหน้าหงุดหงิด เนื่องจากเจ้าตัวเปิดประทุนขับรถโดยไม่สนใจค่าฝุ่นของกรุงเทพฯ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเลื่อนกระจกลงให้มากความ แถมยังแต่งตัวอย่างกับหลุดออกมาจากเมืองหนาวทั้งที่อุณหภูมิรอบกายตอนนี้พุ่งทะลุไปเกือบ 40 องศาแล้ว
“ขับรถภาษาอะไรของนาย ไม่เห็นหรือยังไงว่ารถจะเลี้ยว”
เสียงเข้ม ๆ ว่าออกไปราวกับคนขับรถมอเตอร์ไซค์เป็นฝ่ายผิดเข้าจนเต็มประตู
“โห! พูดอย่างนี้ก็สวยสิครับ คำถามนั้นผมต้องเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่า จู่ ๆ จะเปลี่ยนเลนถนนทำไมถึงไม่เปิดไฟเลี้ยว ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้านะครับที่จะได้ตรัสรู้ได้เองว่าคุณท่านจะเลี้ยวรถไปฝั่งไหน นี่โชคยังดีว่าผมทรงตัวได้ รถเลยไม่ล้ม ไม่งั้นพี่สิบล้อคันข้างหลังได้เหยียบสมองผมไหลออกมากองอยู่บนถนน ตัวผมคงได้ไปเฝ้ารากมะม่วงคุยกับท่านยมแล้ว”
เถียงคู่กรณีกลับออกไปยาวเหยียด เขาเกลียดนักไอ้พวกรวยแต่ไร้สมอง ชอบดูถูกคนจนแบบนี้มันต้องเจอสั่งสอนสักหน่อย
“นี่น้อง ให้มันน้อย ๆ หน่อย”
“แล้วจะเอายังไงว่ามาเลยครับ”
“กระจกนั่น” เจ้าของรถหรูชี้นิ้วมาที่กระจกมองข้างซึ่งยังคงห้อยอยู่กับรถมอเตอร์ไซค์ “ข้างละ 8 แสน” เขากดเน้นเสียงในตอนท้ายทำเอาคนฟังหน้าถอดสีเมื่อรู้ราคาของกระจกสีเหมือนขี้หมาไม่ต่างจากสีผมของเจ้าของรถ
“ปะ แปดแสนนี่ชื่อยี่ห้อกระจก ระ หรือว่าราคา”
กานถามออกไปเสียงสั่น ๆ ตอนนี้เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มผุดขึ้นตามกรอบหน้า โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า เป็นเพราะอากาศร้อน หรือเพราะตัวเองกำลังขนลุกกับราคากระจกรถที่ติดมือมากันแน่ ซึ่งคำตอบต่อมาทำเอามือเขาเย็นเฉียบทันที
“ค่ากระจกรถ เพิ่งเปลี่ยนมาเลย 8 แสน”
“กระจกรถบ้าอะไรข้างละ 8 แสน ผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าเสียหายหรอกนะ คุณอะผิดที่จู่ ๆ เลี้ยวรถมาไม่เปิดไฟเลี้ยวแบบนั้น ใครมันจะไปรู้”
“นี่ ขับรถเขาให้ใช้ลูกตามองถนน ไม่ใช่ตาตุ่มนะ”
“อ้าวเห้ย! ถ้าการตบไฟเลี้ยวมันยากมาก คุณท่านก็ลงมาตบกับกูเลยมา”
คราวนี้กานเลือดขึ้นหน้าเมื่อไอ้หัวส้มแต่งตัวไม่สนอากาศประเทศไทยมีดีแค่หล่อกับรวยแต่สมองเต็มไปด้วยขี้ทำท่าจะโยนความผิดจากอุบัติเหตุในครั้งนี้มาให้เขาคนเดียว งานนี้ไอ้กานไม่มีเงินมาสู้ แต่ฝีปากของเขามันไม่เคยแพ้ใครหรอกนะ
“พูดจาให้มันดี ๆ หน่อยน้อง”
“คุณมึงก็พูดกับผมดี ๆ บ้างสิ ตัวเองคิดจะเลี้ยวรถปุ๊บดันหักพวงมาลัยรถมาปั๊บแบบนั้น ใครมันจะไปหลบทันวะ”
“งั้นให้ประกันมาเคลียร์ ขี้เกียจจะคุยด้วย”
“เออ ขี้เกียจจะคุยด้วยเหมือนกันแหละ”
ทั้งที่ไม่รู้จักชื่อแต่ตอนนี้เขากล้ารับได้เต็มปากเต็มคำว่าเหม็นขี้หน้าคู่กรณีเหมือนขี้ สุดท้ายเช้าอันแสนสดใสของไอ้กานก็จบลงด้วยการไปสอบไม่ทันแน่นอน เขาต้องจอดไอ้นวลลูกรักตากแดดอยู่กลางถนนระหว่างรอประกันของเจ้าของรถมาเจรจาตกลงค่าเสียหาย แน่นอนว่าประกันฝั่งเขาไม่มีหรอก แถมไอ้นวลยังเป็นเวสป้ามือแปดที่ซื้อต่อมาในราคาถูกแสนถูก แค่มีเอกสารครบก็บุญหัวแล้ว ตอนนี้เลยทำได้แค่เดินมาหลบอยู่ในร่มข้างถนน พร้อมกับไอ้หัวขี้ที่เขาเพิ่งจะมีโอกาสได้สำรวจใบหน้าหล่อ ๆ ของมันใกล้ ๆ
‘คนบ้าอะไรวะ อากาศร้อนฉิบหายแต่ใส่เสื้อฮู้ดแขนยาว แถมยังขับรถเปิดประทุนรับควันและมลพิษเป็นว่าเล่น…ท่าจะไม่เต็ม’
“มึงชื่ออะไร”
เสียงถามดังออกมาจากเจ้าของรถหรู
“กาน”
“พูดกับคนอายุมากกว่าช่วยมีหางเสียงด้วยสิ”
“ชื่อกานขอรับคุณท่าน”
กานหันมาแยกเขี้ยวพร้อมตอบด้วยโทนเสียงติดหงุดหงิด แต่ก็ไม่ลืมที่จะค่อนขอดชายหนุ่มที่มองดูแล้วน่าจะแก่กว่าเขาหลายปีด้วยแววตาเดือด ๆ เพราะแทนที่เวลานี้เขาจะได้ไปเตรียมตัวก่อนเข้าห้องสอบพร้อมกับเพื่อน ๆ แต่ต้องมาติดแหง็กอยู่ข้างถนนเพื่อรอประกันอยู่กับไอ้หัวส้มนี่
“เรียนที่มหาวิทยาลัยคิงส์เวลเหรอ”
“เออ”
กานตอบเสียงห้วน ๆ ทำเอาคนฟังลมออกหู เขาชักหมั่นไส้ไอ้เด็กเปรตข้าง ๆ จนนึกอยากแกล้งเข้าให้
“กูชื่อกันธีต์ หรือจะเรียกธีต์เฉย ๆ ก็ได้”
“ครับคุณพี่ธีต์เฉย ๆ”
นั่นปะไร เขาคิดไว้ไม่มีผิดว่าเด็กนี่จะต้องกวนตีนไม่เลิก แต่พอเหลือบไปเห็นสีเนกไทของอีกฝ่ายมันกลับทำให้เขายิ้มออกมาอย่างคนนึกแผนการบางอย่างออก
“ยิ้มอะไรคุณพี่ธีต์เฉย ๆ”
กานถามเสียงขุ่นเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ ของอีกคนปรากฏขึ้นบนใบหน้ากวนส้นตีนนั่น
“เรียนนิติเหรอ”
“รู้ได้ไง”
“มหาลัยนี้เขาแยกคณะกันด้วยสีเนกไทไม่ใช่เหรอ เนกไทดำแบบนี้” ฝ่ามือหนายื่นไปจับที่เนกไทของอีกฝ่ายโดยไม่ได้เอ่ยปากขอก่อน ทำเอาคนตรงหน้าถอยออกห่างทันที “มันเด็กนิตินะสิ” กันธีต์พูดทิ้งท้าย
“ถ้าใช่แล้วมันยังไง”
“เอางี้ เดี๋ยวเรื่องรถกูให้ประกันมาจัดการ มึงไปเรียนเถอะ”
เจ้าของเรือนผมสีส้มแปร๋นว่าออกมาอย่างคนอารมณ์ดีต่างจากในตอนแรกลิบลับ จนกานต้องหรี่ตามองด้วยความไม่ไว้วางใจ ถึงอย่างนั้นเขายังคงย้ำในเรื่องค่าเสียหายอีกครั้ง
“แต่บอกก่อนนะว่ากระจกข้างละ 8 แสนไม่มีจ่ายนะเว้ย”
“เออกูรู้แล้ว เอาเบอร์มึงมา”
สมาร์ตโฟนเครื่องหรูถูกยื่นมาตรงหน้ากาน เขาจำใจรับมันมาถือไว้แล้วเพ่งมองลงไปบนหน้าจอแบบสัมผัสด้วยความงุนงง เพราะไม่เคยใช้มาก่อนในชีวิต
“กดตัวเลขยังไง”
“ถามจริง มึงใช้โทรศัพท์ไม่เป็นเหรอวะ”
“เออ ของแพงขนาดนี้เคยใช้ที่ไหนกัน”
กันธีต์มองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง แม้ว่าจะอยู่ในชุดมหาวิทยาลัยเอกชนดังที่เลื่องลือเรื่องค่าเทอมแพงหูฉี่ แต่ชุดนักศึกษาของเด็กนี่กลับดูเก่าราวกับมันถูกใช้งานมาเนิ่นนาน เห็นดังนั้นจึงเอาโทรศัพท์ของตัวเองกดเข้าหน้าปุ่มตัวเลข แล้วยื่นกลับไปให้อีกฝ่าย เพื่อให้กดเบอร์โทรให้กับเขา ซึ่งกานก็รับมันมากดตัวเลขสิบหลักลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นคืนให้
“อะ เสร็จแล้ว ไปได้ยัง”
“เดี๋ยวก่อน”
ตาคมมองเบอร์โทรบนหน้าจอนิ่ง ก่อนจะกดโทรออกเพื่อเช็กว่าอีกคนให้เบอร์มั่วแก่เขาหรือเปล่า ชั่วครู่เสียงริงโทนฟังดูโบราณก็ดังออกมาจากถุงผ้าที่อีกฝ่ายสะพายเอาไว้
“ของจริง ไม่โกหกหรอกครับ”
เจ้าของถุงผ้าล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ปุ่มกดของตัวเองขึ้นมาแล้วหันหน้าจอไปทางคู่กรณีนิ่ง
“เออ ไปเรียนไป เสียเวลาวะ”
“คิดว่าตัวเองเสียเวลาคนเดียวมั้ง…ไอ้ควายหัวขี้”
ฉายาในตอนท้ายกานพูดเสียงเบาให้ได้ยินแค่ตัวเอง ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงไปในถุงผ้าตามเดิม แล้วเดินไปขึ้นคร่อมไอ้นวลลูกรัก แต่ก็ไม่วายเอากระจกรถหรูที่ตัวเองเสยติดมือมาด้วยกลับไปวางไว้บนเบาะของคนขับ จากนั้นไอ้กานก็รีบบึ่งรถออกไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เพื่อหวังว่าเขาจะไปขออาจารย์เข้าสอบได้ทัน เพราะตอนนี้มันยังเลยเวลามาไม่มาก แม้ในใจจะอยากด่าไอ้พี่ธีต์อะไรนั่นให้มากกว่านี้ก็ตามเถอะ
ทางด้านกันธีต์เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าออกไปจนพ้นสายตาของเขาแล้ว ร่างสูงเกือบ 190 เซนติเมตรได้แต่ยืนหงุดหงิดท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว จนต้องสบถออกมาเสียงดังโดยไม่สนใจผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในละแวกนั้น
“กูเพิ่งจะเอารถไปทำสีมาใหม่ ลูกพ่อดันมาโดนเปิดซิงเข้าให้ ซวยจริงกู”
เขายืนมองรถสปอร์ตคันละเกือบ 100 ล้านที่กว่าจะนำเข้ามาถึงไทยได้นั้น ต้องใช้เวลารอนานนับปี แถมเพิ่งเอาไปทำสีส้มให้เข้ากับสีผมใหม่มาไม่ทันข้ามวัน ตอนนี้ลูกชายสุดหล่อของเขาดันมีร่องรอยบาดแผลฉกรรจ์นัก คนรักรถแบบไอ้ธีต์เห็นแล้วอยากจะร้องไห้ เขาหมายมั่นเอาไว้ว่าจะต้องเอาคืนคู่กรณีให้สาสม
“เราได้เจอกันแน่ครับไอ้น้องกาน
“ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ
“ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ
ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่
“กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่
“คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ
โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ



![สถานะลับ(รับ)สถานะรัก [เมะxเมะ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)



