Share

02

last update Last Updated: 2025-05-09 12:28:58

หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อน

รัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศ

ซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธา

เดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรส

เพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่

ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่างหมายใจคิดฝันอยากเป็นพระชายาของเขาทั้งนั้น

ทว่าเจ้าตัวเป็นคนรักสงบอย่างมาก เขามุ่งศึกษาพระธรรมมาตั้งแต่รู้ความ แม้แต่คราได้รับอวยยศเป็นท่านอ๋องน้อยแล้ว เจ้าตัวก็ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาคำสอนในหอตำรา มากกว่าออกไปเที่ยวเล่นเช่นบรรดาท่านชายคนอื่น บรรยากาศรอบตัวของท่านอ๋องน้อยยามปรากฏกาย ทุกย่างก้าวดูไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์เสด็จลงมาโปรดจากสวรรค์ก็ไม่ปาน

ส่วนฝ่ายว่าที่เจ้าสาวนั้น กล่าวว่าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลียน เหลียนจินหลิน แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธา เหลียนจินหลินคือคุณหนูคนงามที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในห้าโฉมสะคราญบนแผ่นดินต้าเว่ย กิริยามารยาทอ่อนหวาน เฉลียวฉลาดทันคน เชี่ยวชาญทั้งศาสตร์และศิลป์ นับเป็นยอดพธูแห่งยุค

ท่านอ๋องน้อยและคุณหนูเหลียนต่างเห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่เล็ก จะกล่าวได้ว่าเติบโตเป็นเพื่อนเล่นต่างวัยด้วยกันมาเลยก็ว่าได้ สองตระกูลสนิทสนมกลมเกลียว มองดูแล้วไม่น่ามีปัญหาที่ใดให้ต้องถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นขี้ปากชาวบ้าน หากไม่ใช่เพราะว่าเรื่องระหว่างทั้งคู่นั้นหาได้มีตัวละครเพียงสอง

เฉินชินอ๋องมีโอรสอยู่ทั้งสิ้นสองคน บุตรคนโตนาม เฉินหนิงเทียน กำเนิดจากพระชายาเอก ส่วนบุตรคนรองนาม เฉินฮ่าวเทียน กำเนิดจากอดีตพระชายารองผู้เป็นเพียงสามัญชน

เหตุที่ต้องกล่าวว่าเป็น อดีต นั้นเพราะบัดนี้พระชายารองได้หย่าขาดกับเฉินชินอ๋องและถูกกักตัวอยู่ท้ายจวนอ๋องมานานหลายปีแล้ว

คนเล่าลือกันทั่วแคว้นว่า หลงลู่เซียนกลายเป็นสตรีวิปลาส วัน ๆ ไม่ทำสิ่งใด เอาแต่ร่ำไห้และเฝ้ากอดประคบประหงมตุ๊กตายัดนุ่นตัวหนึ่ง

เดิมเฉินชินอ๋องแม้ไม่ได้มีใจรักชอบนางแต่อย่างใด แต่ก็พยายามหาหมอมารักษา เพราะอย่างไรนางก็นับเป็นมารดาของบุตรชายคนรอง ทว่าไม่ว่าจะหมอคนหรือหมอผีก็ไม่สามารถเรียกคืนสติของอดีตพระชายารองได้

จนวันหนึ่งหลงลู่เซียนคลุ้มคลั่งทำร้ายร่างกายหวางเฟยโดยหมายแก่ชีวิต เฉินชินอ๋องไม่อาจเอาหูไปนาตาไปไร่ได้อีก จึงได้ประกาศหย่าขาดกับนาง และสั่งกักบริเวณหลงลู่เซียนเอาไว้ที่ท้ายเรือนไม่ให้ออกไปไหนได้แม้เพียงครึ่งก้าว

ครานั้นคนทั่วแคว้นหยิบยกชื่อของหลงลู่เซียนมานินทากันเสียสนุกปาก ด้วยเพราะเดิมนางเป็นเพียงสาวใช้ในจวน แต่มักใหญ่ใฝ่สูงวางอุบายต่ำช้าปีนขึ้นเตียงเฉินชินอ๋องจนถูกไล่ออกจากจวน เจ็ดเดือนต่อมานางกลับมาพร้อมกับเด็กทารกเพศชาย

แรกเริ่มเฉินชินอ๋องไม่คิดรับนางเป็นภรรยา แต่หลงลู่เซียนข่มขู่ว่าจะไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตายพร้อมบุตรชาย เฉินชินอ๋องเวทนาชีวิตบริสุทธิ์ของเด็กน้อยจึงยอมรับนางเข้าจวนมอบตำแหน่งพระชายารองให้ เพราะเห็นแก่สายเลือดตน

วีรกรรมคนแม่ทำให้โดนด่าว่าสาดเสียเทเสียเพียงใด บุตรชายผู้เกิดจากท้องของสตรีวิปลาสหรือจะได้รับข้อยกเว้น แม้เฉินชินอ๋องจะไม่รังเกียจบุตรชาย แต่ก็ใช่ว่าผู้คนทั่วไปจะเอ็นดูเขา

เฉินฮ่าวเทียน ในวัยแปดหนาวถูกดูถูกเหยียดหยามจากผู้คนสารพัด สถานการณ์บีบบังคับเปลี่ยนท่านชายที่เคยได้หัวเราะร่ายามวิ่งเล่นไล่จับกับพี่ชายต่างมารดา ให้กลายเป็นคนนิ่งเงียบเย็นชาไร้รอยยิ้ม

เฉินชินอ๋องเห็นใจบุตรชายคนรอง จึงตัดสินใจส่งเขาให้ออกห่างจากมารดาเพื่อไปศึกษาวิชา ณ เมืองหลวง

แต่ที่ไหนได้...

สองปีในตำหนักประจิมเป็นเหมือนนรกสำหรับเฉินฮ่าวเทียน…

ท่านชายตัวน้อยโดนพระญาติคนอื่นข่มเหงรังแกไม่เว้นวัน อยู่แคว้นเฉินร้ายดีอย่างไรเด็กหนุ่มก็มีศักดิ์เป็นลูกเจ้าเมือง ชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถทำอันใดเขาได้นอกจากเอ่ยพ่นคำพูดน่าชังให้เด็กชายได้เจ็บใจ

แต่ที่เมืองหลวงกลับต่างกัน เหนือเฉินชินอ๋องผู้เป็นบิดา ยังมีองค์จักรพรรดิผู้ครองแผ่นดินต้าเว่ยอยู่ และเบื้องหลังองค์จักรพรรดินั้น มีวังหลังอันเป็นศูนย์รวมเหล่าอสรพิษ

สนมมากหน้าหลายตาผลัดกันแวะเวียนมา ‘เยี่ยมเยียน’ เฉินฮ่าวเทียนทุกสัปดาห์ แต่ละครั้งที่มาก็ทำให้ท่านชายผู้นี้เจ็บตัวได้แผลเสมอ

จนกระทั่งวันหนึ่งท่านชายผู้เคยยอมก้มหัวไม่ยอมจำนนอีก เฉินฮ่าวเทียนมีเรื่องต่อยตีกับองค์ชายสามชนิดหัวร้างข้างแตก ร้อนไปถึงสนมซูเฟยผู้เป็นมารดา ต้องมาร้องห่มร้องไห้คุกเข่าหน้าตำหนักขององค์จักรพรรดิเรียกร้องความเป็นธรรมให้โอรสของตน

สุดท้ายท้ายองค์จักรพรรดิจนใจ จึงลงโทษสั่งโบยเด็กชายวัยสิบขวบปีไปสามสิบครั้ง แล้วส่งตัวกลับแคว้นเฉิน

ทว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ยอมเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน ก้มหัวขอฝากตัวเข้ากองทัพแทน เด็กชายที่แม้เจ็บระบมไปทั้งร่างแต่ก็ไม่ยอมให้หมอรักษา เขาคุกเข่าหน้าตำหนักอยู่สามวันสามคืน จนในที่สุดแม่ทัพประจิมในเวลานั้นจึงออกหน้ารับเขาเข้ากองธงที่ตนมีอำนาจปกครอง เพื่อให้ฝึกฝนวิชาทางการทหาร

การตัดสินใจก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนางฝ่ายบู๊ [2] นับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรุ่งโรจน์ของท่านชายเฉินฮ่าวเทียน เขาใช้ชีวิตในกองทัพแต่เล็กจนเติบใหญ่ เมื่อถึงวัยสวมกวานก็ร่วมทัพออกศึกสร้างความดีความชอบ จากนายทหารไร้ยศ ขึ้นเป็นนายกองที่อายุน้อยที่สุด

วันคืนที่พ้นผ่านล้วนอยู่บนหลังม้าและการกวัดแกว่งดาบเพื่อทำศึก

จนเมื่ออายุได้สิบหกปี เฉินฮ่าวเทียนสร้างวีรกรรมแฝงตัวบุกเข้าไปชิงตัวรองแม่ทัพประจิมในแดนศัตรูกลับมาได้เป็นผลสำเร็จ ยศนายกองขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาค

ในช่วงเวลานั้นแคว้นเฉินอยู่ท่ามกลางภัยสงครามและการรุกรานจากแผ่นดินทางเหนือ ทหารหลายหมื่นนายถูกเกณฑ์ไปช่วยรบ พวกชนเผ่านอกเขตชายแดนสบโอกาสยามเมืองหน้าด่านขาดกำลังทหารคุ้มครอง รวมตัวบุกปล้นสะดมชาวบ้านสร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่ง

ทัพใหญ่ทางเหนือยังคงติดพัน ด่านเขตนอกยังมาถูกโจมตีทีเผลอ

ในเวลานั้นเองเฉินฮ่าวเทียนขันอาสานำกองทหารในปกครองของตนห้าร้อยนายบุกกำราบพวกชนเผ่าที่เหิมเกริมตลอดเขตชายแดนจากทิศเหนือไปจนสุดเขตทิศตะวันตก

ชื่อเสียงลือชาของเด็กหนุ่มผู้กวัดแกว่งดาบบนหลังม้า บุกตะลุยเด็ดหัวผู้รุกรานจนได้สมญานามเทพสงครามกลับชาติมาเกิด การศึกดำเนินไปหลายปีในที่สุดทัพใหญ่ที่แดนเหนือก็คว้าชัย เช่นเดียวกับที่เขตชายแดนไร้ผู้ใดรุกรานได้อีก

ความดีความชอบที่เฉินฮ่าวเทียนทำ ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วแดน และตอนนั้นเองที่แม่ทัพประจิมผู้บาดเจ็บสาหัสจนแขนพิการจากการทำศึก ได้ถวายฎีกาขอพระราชทานแต่งตั้งเฉินฮ่าวเทียนเป็นแม่ทัพน้อยเพื่อสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพประจิมต่อจากตน

แน่นอนว่าการที่เด็กหนุ่มรุ่นลูกถูกเสนอชื่อขึ้นมารับตำแหน่งทัดเทียมหรือเกินหน้าย่อมมีคนไม่พอใจ แต่แม่ทัพประจิมก็ยังตั้งมั่นว่าจะส่งต่อธงกองทัพของตนให้ท่านชายผู้นี้ให้จงได้

เฉินฮ่าวเทียนเผชิญหน้ากับแรงกดดัน เฝ้าพิสูจน์ตนเอง บุกเหนือล่องใต้นำทัพจับศึกอยู่อีกห้าปี จนในที่สุดท่านชายรองจากจวนเฉินชินอ๋องก็ได้รับการอวยยศขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพประจิมเมื่อถึงวัยสามสิบเอ็ด

***

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   10

    เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   09

    เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   08

    การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   07

    และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   06

    “ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   05

    “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   04

    “ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือนผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ“จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวังฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ“พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่”ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   03

    จะเห็นได้ว่าชีวิตหน้าที่การงานของแม่ทัพประจิมผู้นี้รุ่งเรืองเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องการสู้รบจับศึก คือเรื่องรักใคร่ในมุ้งของอีกฝ่ายมากกว่าชีวิตของเฉินฮ่าวเทียนนอกจากมารดาวิปลาสของตนแล้ว เขาเกี่ยวข้องกับสตรีอยู่นางหนึ่งคุณหนูใหญ่เหลียนจินหลินจากจวนเจ้ากรมโยธา สตรีเพียงนางเดียวที่เฉินฮ่าวเทียนไปมาหาสู่ตลอดหลายปีการคบหาของคนทั้งคู่เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองหลวง ความสัมพันธ์จากเพื่อนเล่นต่างอายุในวัยเยาว์ สู่การเป็นคนสำคัญในใจของกันและกันเมื่อเติบใหญ่ในตอนที่เฉินฮ่าวเทียนยังเป็นเพียงแม่ทัพน้อยและกำลังเร่งสร้างชื่อเสียงจากการออกทำศึก ฝ่ายคุณหนูเหลียนก็รั้งรอไม่ยอมออกเรือนจนอายุพ้นวัยปักปิ่นไปไกล คุณหนูบ้านอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันแต่งงานมีลูกไปแล้วสองสามคน เหลียนจินหลินยังยึดมั่นครองเรือนเพื่อรอคนกลับมาจากชายแดนภายหลังได้รับอวยยศเป็นแม่ทัพประจิม ผู้คนต่างมั่นใจว่าอีกไม่นานคงได้มีข่าวการวิวาห์ของคนทั้งคู่เป็นแน่ และในที่สุดราชโองการมอบสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิก็ถูกประกาศทั้งที่ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่ไหนได้ชื่อบ่าวสาวกลับไม่เป็นไปตามที่ผู้คนคาดคิด เจ้าสาวยังคงเป็

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   02

    หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อนรัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธาเดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรสเพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่าง

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status