เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวม
ลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทน
แต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพร
จนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย
“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปริปากโดยเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่”
ลี่จินไม่อยากจะทำลายมโนภาพแสนสุขที่พ่อค้าหมั่นโถวนั้นสร้างไว้ แต่อีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้านี้ เด็กหนุ่มผู้ไม่ประสีประสาจะได้ก้าวลงสนามจริงแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ควรที่จะต้องบอกกล่าวกับเขาให้เตรียมใจไว้เสียหน่อย
ค่ำคืนแรกในนิยายประโลมโลกมักหวานซึ้งชวนฝัน แต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะได้สัมผัสความรู้สึกเฉกเช่นที่เล่าบรรยายในตำรา
ฝ่ายคนฟังที่นั่งนิ่งมาได้ชั่วครู่หนึ่งก็ยกยิ้มบาง เสี่ยวเม่ยทราบดีถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อกุมไปที่ฝ่ามือของคนทั้งสอง ผู้ที่ยอมทำตามคำขอแสนเอาแต่ใจของเขาอย่างดีมาตลอด
“ฟางซิน...ท่านป้า...อาเม่ยขอขอบคุณพวกท่าน”
พ่อค้าหมั่นโถวไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนให้พวกเขา มีแต่คำว่าขอบคุณอย่างจริงใจเท่านั้นที่เวลานี้สามารถมอบให้ได้
ลี่จินรับฟังแล้วก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอขึ้นมาเสียอย่างนั้น บรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้องรับรองของหอคณิกา เริ่มดูไม่ต่างจากคืนก่อนส่งตัวเจ้าสาวที่จะแต่งออกจากบ้านไปก็ไม่ปาน
“พอ ๆ เลิกรั้งรอกันเถิด...เกิดใครมาเห็นเข้าจะมากความ...เข้าย่ามอิ๋นพวกข้าจะกลับมา...นอนรออยู่แต่ในห้องอย่าออกไปไหนเข้าใจหรือไม่” เป็นฟางซินที่ยืนเงียบอยู่นานเป็นผู้เอ่ยตัดบท เวลาใกล้กระชั้นเข้ามา ขืนยังรั้งรอกันต่อไปเช่นนี้ คงได้มีอันโดนจับได้กันหมด นายคณิกาอันดับหนึ่งบีบมือตอบสหาย แล้วกำชับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปล่อยมือ
“ดูแลตัวเองให้ดี”
“ทราบแล้ว…พบกันอีกครายามอิ๋นนะฟางซิน”
คนทั้งสองแลกเปลี่ยนถ้อยคำเพียงเท่านั้น ก่อนที่เสี่ยวเม่ยจะได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านป้าลี่จินและฟางซิน ค่อย ๆ ถอยห่าง จนกระทั่งอันตรธานหายไปในที่สุด
ผู้ร่วมขบวนการได้จากไปแล้ว ทิ้งให้พ่อค้าหมั่นโถวที่แสร้งทำตัวสงบนิ่งแต่ความจริงตื่นตระหนกจนสมองอื้ออึงเอาไว้เพียงลำพัง
เสี่ยวเม่ยยังคงนั่งอยู่ที่จุดเดิม มือเล็กที่กุมประสานชื้นเหงื่อด้วยความตื่นเต้น กลิ่นกำยานบางเบาที่ถูกจุดทำให้เขาประหม่าจนแทบคลั่ง เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมายเสียงดนตรีจากภายนอกค่อย ๆ เงียบลงจนทำให้เสี่ยวเม่ยเสียขวัญขึ้นมา
ยิ่งยามแว่วยินจังหวะฝีเท้าหนักแน่นดวงใจที่พยายามกดข่มความว้าวุ่นคล้ายสามารถล่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ท่านแม่ทัพช่างเป็นคนตรงต่อเวลา เทียบจองแจ้งมาว่าจะมาเยือนยามจื่อ ก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ
เสี่ยวเม่ยพยายามปรับลมหายใจของตนสูดเข้าสูดออกอย่างเป็นจังหวะ นั่งนับหมั่นโถวก้อนที่หนึ่ง หมั่นโถวก้อนที่สอง หมั่นโถวก้อนที่สาม และเพิ่มจำนวนไปเรื่อย ๆ หวังเพื่อรักษาสติของจนเอาไว้ไม่ให้เตลิดไปไกล
จนเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมกับการมาเยือนของใครบางคน เสี่ยวเม่ยค้นพบว่าเหล่าหมั่นโถวที่นับไปราวห้าสิบกว่าลูกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย เพราะตอนนี้ตนเองรู้สึกตื่นตระหนกจนแทบจะสิ้นสติเสียให้ได้
นายคณิกาตัวปลอมได้แต่พยายามจิกนิ้วทั้งสิบของตนลงบนฝ่ามืออย่างแรง เพื่อย้ำเตือนจิตสำนึกเอาไว้เสมอไม่ให้เผลอแสดงกิริยาผิดสังเกตออกไปให้บุรุษตรงหน้ารับรู้
เสียงปิดประตูดังขึ้นได้อึดใจหนึ่งแล้ว แต่แขกพิเศษท่านนี้ก็ยังไม่เอ่ยคำใดออกมาแม้ครึ่งคำ เขาคาดว่าอีกฝ่ายคงปฏิบัติตามกฏที่ตั้งเอาไว้ว่าจะไม่เอ่ยวาจา ร่างเพรียวในอาภรณ์กรุยกรายสีอ่อนจึงเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน
เสี่ยวเม่ยย่อตัวทำความเคารพแขกพิเศษเบื้องหน้าด้วยกริยาชดช้อยตามที่ถูกฝึกสอนมา แม้ไม่อาจทำได้นอบน้อมอ่อนหวานอย่างเช่นที่ฟางซินทำ แต่เขาก็มั่นใจว่ามันคงไม่ได้แข็งทื่อจนน่าขัน
การก้มหน้าขยับตัวทำให้เส้นผมสีขนกาที่ปล่อยสยายพลิ้วไหวไปมา ผ้าอาภรณ์เนื้อบางเสียดสีจนเกิดเสียงสวบสาบบางเบา
เสี่ยวเม่ยย่อตัวค้างเอาไว้อย่างเฝ้ารอปฏิกิริยาตอบรับจากคนเบื้องหน้าแต่ทว่าย่อตัวค้างจนแข้งขาสั่น อีกฝ่ายก็ไม่ตอบรับแล้วบอกให้เขาลุกขึ้นเสียที
ใจคอจะไม่เอ่ยอันใดออกมาจริง ๆ น่ะหรือ...เสี่ยวเม่ยคิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ แค่แรงใจที่เดิมพยายามฮึกเหิมฝ่อจนไม่เหลือไม่พอ ตอนนี้แรงขาก็จะไม่มีเช่นกัน
และในที่สุดคนที่ย่อตัวจนเส้นจะยึดจึงขยับมือเพื่อสอบถามอีกฝ่ายแทนการเปล่งเสียงจากลำคอ
‘ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่? ’
“รู้จักสัญลักษณ์มือด้วยหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา ประโยคนั้นเจือไปด้วยความประหลาดใจจนรับรู้ได้ เสี่ยวเม่ยที่เพิ่งเคยได้ยินเสียงของบุรุษในดวงใจในระยะไม่กินสองช่วงแขนแทบอยากวิ่งออกไปนอกระเบียงแล้วตะโกนร้อง
เจ้าข้าเอ้ย!เสียงท่านแม่ทัพไพเราะเหลือเกิน!!
ทว่าถึงในใจจะเริงร่าเพียงไหน ร่างเพรียวก็ยังคงรักษากริยา พร้อมขยับมือตอบกลับด้วยท่าทางสำรวมอย่างมาก
‘ขอรับ’
“ลุกขึ้นได้” เฉินฮ่าวเทียนเอ่ยตอบ น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ออกจะนิ่งเรียบเย็นชาเสียมากกว่า
ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างของพ่อค้าหมั่นโถวถูกคาดปิดเอาไว้ด้วยผ้าแพรเนื้อบางสีคราม จนทำให้ทัศนียภาพที่มองเห็นพร่ามัวไปหมด ทว่า...น่าประหลาดที่เสี่ยวเม่ยกลับสามารถมโนภาพขึ้นมาได้โดยทันที ว่าแม่ทัพประจิมกำลังแสดงสีหน้าและแววตาเช่นไร
เฉินฮ่าวเทียนคงกำลังทำสีหน้านิ่งเรียบเย็นชา ดวงตาคมของเขาย่อมทอดแววตาที่เต็มไปด้วยความกดดันจนชวนให้หวั่นเกรงอยู่เป็นแน่
แต่ถึงแม่ทัพประจิมจะทำหน้าตาดุดันราวยักษ์มารเพียงไหน ด้านคนฟังที่ปิดตาเอาไว้กลับยกยิ้มจนแก้มขึ้นเป็นลูก มือเรียวขยับไปมาเพื่อตอบรับกลับไป
‘ขอบคุณขอรับ’
การทักทายเกิดขึ้นอย่างพอเป็นพิธี เสี่ยวเม่ยเริ่มขยับตัวเพื่อหวังจะสร้างบรรยากาศดี ๆ ในการรับรองแขกคนสำคัญ เขาฝึกฝนเดินไปเดินมาในห้องนี้มาทั้งวัน ย่อมพอที่จะจำตำแหน่งของสิ่งของได้แล้ว เป้าหมายของเสี่ยวเม่ยคือกระปุกใบชาที่เตรียมไว้ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ไม่มาก
‘เชิญนั่งก่อนขอรับ...ข้าจะรินชาให้’ มือเล็กขยับบอกแขกพิเศษตรงหน้า ก่อนไล้นิ้วไปตามกระปุกชาบนชั้น
หอคณิกาที่ดีย่อมต้องมีใบชาชั้นยอดคอยเตรียมรับรองแขก เสี่ยวเม่ยเป็นคนประสาทสัมผัสดีมาก เขาแยกแยะกลิ่นและรสชาติต่าง ๆ ได้แม่นยำเสมอ ด้วยความสามารถเช่นนี้ จึงทำให้เด็กหนุ่มสามารถเลือกหยิบชาพันธุ์ดีที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งประปนไปกับใบชาชนิดอื่นได้อย่างแม่นยำ
“ไม่ต้องมากพิธี...เปลื้องผ้าแล้วไปที่เตียงเถิด”
ตุบ…แต่ยังไม่ทันใดแสดงฝีมือการชงชาที่ถูกฝึกสอนเกือบห้าชั่วยามให้อีกคนได้ประทับใจเสียหน่อย แม่ทัพประจิมกลับกล่าวรวบรัดตัดตอน ทำเอาคนฟังมือไม้อ่อนปล่อยกระปุกชาหล่นลงพื้นอย่างตื่นตะลึง
“ตกใจอันใด” เฉินฮ่าวเทียนเอ่ยถาม เพราะน้ำเสียงเขานิ่งเรียบเกินไปราวกับกำลังสอบถามเรื่องดินฟ้าอากาศ เสี่ยวเม่ยนึกอยากจะถอดผ้าคาดตาแล้วมองดูใบหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ เหลือเกิน
อยากรู้นักว่านายท่านผู้นี้ รีบร้อนอันใด มาถึงไม่พูดไม่จา ก็จะสั่งให้ไปนอนอ้าขาบนเตียงเสียแล้ว
‘เปล่าขอรับ...เพียงไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะรีบร้อน’ คนที่ตกใจจนมึนงงขยับมือเพื่อตอบคำถาม ในใจของนายคณิกาตัวปลอมรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างมาก ลำดับแผนการที่วางไว้พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี
ตามที่ได้รับการสอนสั่ง ขั้นตอนเริ่มแรกของค่ำคืนวสันต์มักเริ่มต้นด้วยการจิบชาและสนทนากันก่อนเพื่อสร้างบรรยากาศที่แสนดี ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนจากน้ำชาเป็นสุรา และเมื่อมึนเมาจนได้ที่ ขั้นตอนปรนเปรอและการเปลื้องผ้าจึงค่อยเริ่มตน
แต่ท่านแม่ทัพผู้นี้ตัดลำดับพิธีการออกไปเสียหมด ข้ามขั้นการสนทนาพาที ไปที่การเริงรักกันเลยเสียแทน
“รีบร้อน? ไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่มาใช้บริการหอโคมเขียวก็ทำเช่นนั้นหรือ” เฉินฮ่าวเทียนเอ่ยออกมาเสียงเรียบในขณะที่ขยับเข้าใกล้ร่างเพรียวของคนที่ยังคงยืนนิ่งค้าง ก่อนจะก้มหน้าโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างใบหูของนายคณิกาผู้ที่จะผ่านค่ำคืนนี้ไปพร้อมกับเขาว่า
“ต่างมาเพื่อเสพสม...หาได้มาพูดคุย”
เชิงอรรถ
^ ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.
^ ชาวจีนเดิมใช้การเคาะระฆังในการบอกเวลาในตอนกลางวัน และตีกลองเพื่อบอกเวลาในตอนค่ำ
Talk : มาปุ๊บก็ปากแจ๋วเลยนะ...
เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข
เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร
การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่
และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต
“ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ