แชร์

10

ผู้เขียน: ณ ขณะฝัน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-09 16:06:03

เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้

“ชักช้าอยู่ไย? ”

แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด

‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูด

อาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่น

พ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจ

คิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้น

เดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เขาโกรธ เขาผิดหวัง เขาเสียใจ และเฉินฮ่าวเทียนก็เชื่อว่าตนมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะรู้สึกเช่นนั้น

ตนรู้จักกับคุณหนูใหญ่เหลียนมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่เริ่มคบหาดูใจฉันคนรักได้เข้าปีที่แปด ทั้งชีวิตของเขานอกจากเรื่องการศึกก็มีเรื่องของนางในใจเท่านั้นให้คิดคะนึงถึง แต่โชคชะตากลับเล่นตลก คนที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการมุ่งสร้างผลงานกลับถูกยกไปเป็นเจ้าสาวของผู้อื่นเสียแล้ว

และฝ่ายเจ้าบ่าวก็ไม่ใช่คนไกล พี่ชายต่างมารดาของเขานั่นเอง

ท่านอ๋องน้อยไม่ใช่คนเลวทราม เพียงแต่เขาเป็นคนที่…ค่อนข้างอธิบายยากไปเสียหน่อย วันที่ทราบข่าวราชโองการ พี่ชายควบม้าออกจากประตูเมืองพุ่งมาหาเขาที่ค่ายทหารเป็นคนแรก แค่มองจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้ยินยอม แต่ให้ทำอย่างไร คำสั่งของโอรสสวรรค์ถือเป็นสิทธิ์ขาดไม่อาจฝ่าฝืน

เฉินฮ่าวเทียนจำต้องก้มหน้ารับกรรม แม้ว่าใจจะไม่อาจปล่อยวาง

หลังจากราชโองการออกมา เขาได้มีโอกาสสนทนากับอดีตคนรักที่กลายเป็นว่าที่พี่สะใภ้อยู่หนหนึ่ง

นางยังคงกล่าวว่ายังรักและเทิดทูนเขาเช่นเดิม

นางยังคงกล่าวว่าเขาคือพี่ชายที่ดีต่อนางที่สุด

นางยังคงกล่าวว่าช่วงเวลาแปดปีที่ผ่านมาของเรา นางไม่เคยเสียดาย

และนางก็ยังคงกล่าวทวงถามถึงคำสัญญาที่เขาเคยมอบให้กับนาง

เฉินฮ่าวเทียนเคยลั่นคำสาบานไว้ ว่าชาติภพนี้จนกว่าจะสิ้นลม เขาจะไม่มอบใจให้กับสตรีอื่นใดนอกจากนางอีกเป็นอันขาด จะรักเพียงนาง โอบกอดเพียงนาง ยกให้นางเป็นสตรีในดวงใจเพียงหนึ่งเดียว

มานึกถึงคำสาบานนั้นก็รู้สึกว่าช่างกลายเป็นตลกร้าย สตรีผู้ทวงถามคำสาบานของเขา คือคนที่อีกไม่กี่ราตรีข้างหน้าจะขึ้นเกี้ยววิวาห์แต่งงานเป็นพระชายาจวนอ๋อง ในขณะที่เขาต้องถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังในฐานะคนรักเก่า ที่ถูกคำสาบานที่เคยเอ่ยปากกับนางพันธนาการเอาไว้ไม่ให้หลุดพ้น

ในยามนั้นเฉินฮ่าวเทียนทั้งโกรธและทั้งเย้ยหยันในโชคชะตา แต่ถึงกระนั้นแม่ทัพประจิมก็เป็นผู้ยึดมั่นในคำพูดที่สุด เมื่อเขากล่าวไปแล้ว เฉินฮ่าวเทียนก็ไม่คิดคืนคำ

เขาจำได้ว่าก่อนที่จะแยกจากกันนั้น เขายกยิ้มบางเบาและตอบกลับอดีตคนรักไปว่า

‘ข้าย่อมจดจำได้ว่าเคยกล่าวเช่นใดไว้…เหลียนกู่เหนียง [1] โปรดวางใจ…ข้าเฉินฮ่าวเทียนเอ่ยสิ่งใดไว้ย่อมไม่คืนคำ’

และเย็นวันนั้น เฉินฮ่าวเทียนก็ออกเทียบจองตัวส่งไปยังหอคณิกาชายแห่งหนึ่งโดยทันที

นางบอกไม่ให้ข้าสัมผัสสตรีใดอีก

เช่นนั้นก็ย่อมได้…จากนี้ไปเขาเลือกสัมผัสบุรุษก็แล้วกัน

ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว บ้านตระกูลเหลียนปิดจวนและไม่มีการส่งจดหมายมาที่จวนแม่ทัพอีกเลย

นี่สิ…จึงเรียกว่าสิ้นสุดความสัมพันธ์โดยแท้จริง

และนั่นคือที่มาของการออกเทียบจองตัวด้วยความคิดชั่ววูบของแม่ทัพประจิม แต่พอมาถึงวันนัดหมาย ในอกก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง

เฉินฮ่าวเทียนเติบโตในค่ายทหาร ความสัมพันธ์ของบุรุษที่สนิทสนมกันเขาย่อมเคยเห็นมาจนชินตา เพียงแต่การรู้เห็นก็หาใช่ว่าตนเคยทดลองเสียเมื่อไหร่

แม่ทัพประจิมครองตัวอย่างยึดมั่นในรักมาเสมอ เขาคือเทพสงครามกระหายเลือดในสนามรบ แต่เป็นท่านชายน้อยผู้รักษาพรหมจรรย์ในเรือน

บัดนี้ต้องมาเปิดบริสุทธิ์ ขั้นตอนใด ๆ ก็รู้มาจากแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เคยทำเองที่ไหน ก็หวังให้ผู้รู้วิชาและคุ้นเคยดีอย่างนายโลมอันดับหนึ่งของหอโคมเขียวแห่งนี้ชี้แนะ

แต่ที่ไหนได้ หลังจากเขาเอ่ยปากไป ร่างเพรียวในชุดสีม่วงอ่อนตรงหน้าก็นิ่งค้างไปเลย

หรือว่าเป็นฝ่ายแขกต้องลงมือก่อนกันหนอ…เฉินฮ่าวเทียนคาดเดาเช่นนั้น ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าใกล้คนที่ตัวเตี้ยกว่าเขาไม่มากนัก มือหนาหยาบกร้านเนื่องจากการกรำศึกยื่นออกไป จับที่อกเสื้อที่อีกฝ่ายสวมใส่แล้วกระชากดึง

ด้านคนที่อยู่ ๆ ก็โดนดึงทึ้งเสื้อผ้าสะดุ้งสุดตัว เสี่ยวเม่ยยื้อตัวเอาไว้พยายามถอยหลังหนี แต่มือทั้งสองข้างที่จับยึดอาภรณ์ของเขาเอาไว้แน่นไม่ต้องจากคีบเหล็ก

“เป็นอันใด? ” แม่ทัพประจิมเอ่ยถามในขณะที่พวกเขาอยู่ในระยะประชิด เสี่ยวเม่ยก็ไม่รู้จะตอบกลับอีกคนอย่างไร ในสมองน้อย ๆ ของพ่อค้าหมั่นโถวบัดนี้มีเงื่อนไขข้อที่สี่วิ่งวนเวียนไปมาไม่หยุด

ห้ามขัดขืน…นี่คือกฏที่ถูกตั้งเอาไว้ในคืนนี้

จะตื่นเต้นไปไย…ท่านแม่ทัพเป็นผู้ซื้อบริการ ย่อมมีสิทธิ์ในการทำสิ่งใดกับเรือนร่างนี้ก็ได้ ตราบใดที่ไม่ทำให้เลือดตกยางออก

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสี่ยวเม่ยจึงลดมือของตนลง เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนปล่อยให้มือหยาบของเฉินฮ่าวเทียนขยับปลดเปลื้องอาภรณ์ชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างตามอำเภอใจ แม้แต่ยามที่ถูกกดตัวลงจนเข่ากระแทกพื้นไม้เสียงดัง คนสวมบทเป็นนายคณิกาก็ไม่ปริปากสักนิด

โชคดีนักที่ผ้าคาดปิดบังแววตาที่สั่นไหวของเขาเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้ เสี่ยวเม่ยจึงยังสามารถยกยิ้มหวานหยดบนริมฝีปาก แม้ว่าในใจจะข่มปร่าไปด้วยความเศร้าเสียใจก็ตาม

เสี่ยวเม่ยไม่จำเป็นต้องมองเห็น เขาก็รับรู้ได้ว่าเฉินฮ่าวเทียนต้องการสิ่งใด เดาจากเสียงเสียดสีของเนื้อผ้าที่แว่วมาในระยะประชิด คาดว่านายท่านผู้นี้คงกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกเป็นแน่

มือเล็กเอื้อมลูบคลำร่างกายกำยำของลูกค้าของตน เขาพยายามไม่แตะจับแบบสะเปะสะปะ ทำเพียงลากปลายนิ้วผ่านหน้าแข้งขึ้นไปยังโขนต้นขา หวังเพื่อมองควานหาเงื่อนที่ผูกมัดขอบกางเกงของอีกฝ่ายเอาไว้

“ข้าแกะให้เอง”

อาจเพราะเห็นว่าดวงตาของเขาถูกคาดปิด เฉินฮ่าวเทียนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง เงื่อนที่ผูก ถูกแกะคลาย และชั่วอึดใจต่อมาเสี่ยวเม่ยได้ยินเสียงเนื้อผ้านามร่วงลงไปกองกับพื้น

นิ้วเล็กเริ่มขยับอีกครั้ง แต่ความนี้เจตนาไม่ใช่การมองหน้าเงื่อนกางเกงอีกต่อไปแล้ว

ความร้อนจากเนื้อกายมนุษย์แผ่ซ่านอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา ไรขนอ่อนเสียดสีผิวสัมผัสทุกครั้งที่เกิดการขยับลากไล้ จนเมื่อเลื่อนไปถึงที่หมาย ณ บริเวณเครื่องเพศขนาดใหญ่โตเกินกว่าที่นึกจินตนาการ เสี่ยวเม่ยลอบสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อปลอบขวัญกำลังใจ

ถึงแม้ใจจะนึกตื่นตระหนกอย่างมาก ทว่าอากัปกิริยาที่แสดงออกมานั้นยังคงความสงบนิ่ง ราวกับว่าตนคือผู้โชกโชนประสบการณ์

มือเรียวรูดจับแกนกายของแม่ทัพประจิมเอาไว้ไม่นานนัก ริมฝีปากอิ่มที่แต่งแต้มสีชาดก็อ้าเปิดออก ก่อนกลืนรับความใหญ่โตที่อ่อนนุ่มเข้าไปจนสุดลำคอ ลิ้นร้อนขยับทำหน้าที่ตามที่ได้เล่าเรียนฝึกฝนมาจนกล้ามค้าง ศีรษะโยกขยับไหวเข้าออกเป็นจังหวะจะโคน สลับกับการออกแรงดูดรัดเบา ๆ

การปรนเปรอดำเนินไปได้ชั่วครู่ใหญ่ เสี่ยวเม่ยนึกดีใจเมื่อพบว่าปฏิกิริยาตอบรับของแท่งเนื้อในปากเป็นไปในทางที่ดี โดยรับรู้ได้จากความคับแน่นที่เพิ่มมากขึ้นอันเกิดจากการขยายเพราะการตื่นตัว

ผลจากการฝึกดูดลึงค์ไม้จนปากถลอก นับว่าไม่เสียเปล่าแล้วจริง ๆ


เชิงอรรถ

^ กูเหนียง หมายถึง แม่นาง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   10

    เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   09

    เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   08

    การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   07

    และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   06

    “ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?

  • ก้อนหมั่นโถวของท่านแม่ทัพ   05

    “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status