สิ่งที่เกิดขึ้นดูคล้ายความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษเท่าใดนัก เป็นเพียงการใช้บริการของลูกค้าขาประจำกับผู้ขายทั่วไปตามปกติ
ทว่าสิ่งหนึ่งที่แขกพิเศษผู้นั้นไม่รู้และจะไม่มีทางได้รู้เป็นอันขาด นั่นคือความจริงที่ว่า คนที่เขากกกอดแนบชิดมาตลอดหนึ่งปีหาใช่นายโลมอันดับหนึ่งของหอโคมเขียว
ครืด…
เสียงเปิดประตูห้องนอนเกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้มาเยือนคนใหม่หนึ่งคือหญิงท้วมวัยกลางคนที่มีสีหน้าจนใจ ส่วนอีกหนึ่งคือเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่กำลังทำท่าทางหงุดหงิด
“อาเม่ย...ลุกไหวหรือไม่...มา ๆ ให้ป้าประคองไปล้างตัว” เป็นฝ่ายหญิงวัยกลางคนที่เอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเดินรุดเข้าไปหมายโอบประคองร่างของคนที่นั่งนิ่งบนเตียงนอนอันยุ่งเหยิง
ใช่แล้ว...ตัวเขาไม่ใช่ ฟางซิน นายโลมเลื่องชื่อแห่งหอว่านเหอ นามที่แท้จริงของเขาคือ เสี่ยวเม่ย พ่อค้าขายหมั่นโถวจากตรอกเล็ก ๆ ในย่านสถานเริงรมย์ และหากถามหาฟางซินตัวจริงน่ะหรือ ก็คือคนที่ทำหน้าตางุ่นง่านพร้อมจะกระโดดขย้ำหัวเขาเบื้องหน้านี่อย่างไรเล่า
“ท่านแม่...ไหนบอกคราวนี้จะดุด่าสั่งสอนเขาสักคราอย่างไรเล่า...ใยโอ๋เขาอีกแล้ว” ฟางซินเอ่ยถามกับ 'ท่านแม่' ซึ่งเป็นสรรพนามเรียกขานของแม่เล้าผู้เป็นเจ้าของหอโคมเขียว
ฝ่าย 'ลี่จิน' ส่งสายตาตำหนิเจ้าตัวดีที่คิดเปิดโปงนาง จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้ตัวนางลั่นวาจาไว้เช่นนั้น แต่พอก้าวเท้าเข้ามาในห้อง แค่เห็นใบหน้าอิดโรยของคนบนเตียง แม่เล้าฝีปากกล้าก็กลืนวาจาลงคอกลับไปโดยพลัน
นางหันหน้ากลับลำมาตำหนิเด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างกายตนแทน
“เจ้าเด็กคนนี้...เห็นเพื่อนตัวช้ำเป็นจ้ำจนลายพร้อยแล้วไม่เห็นใจบ้างรึ...ยังไม่รีบช่วยข้าประคองเขาอีก”
“แล้วท่านมาขึ้นเสียงใส่ข้าทำไมเล่า!” ฟางซินกระฟัดกระเฟียดตอบกลับ ถึงน้ำเสียงฟังดูงุ่นง่าน กระนั้นร่างเล็กอรชรไม่ต่างจากสตรีก็ยังเดินเข้ามาโอบประคองร่างสูงเพรียวของคนที่เพิ่งผ่านคืนวสันต์อย่างหนักหน่วงจนไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นจากเตียง
“ขอบใจเจ้า” เสี่ยวเม่ยกล่าวออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง จริงอยู่ว่าระหว่างเริงรักเขาไม่อาจเปล่งวาจา แต่การข่มไว้ก็ทำให้ลำคอแห้งผากได้เช่นกัน
ฟางซินไม่เอ่ยตอบ เจ้าตัวกำลังโกรธ ด้านเสี่ยวเม่ยเองก็จนใจ เพราะอย่างไรเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่ดำเนินมาจนถึงบัดนี้ ล้วนเกิดจากความเอาแต่ใจของตนทั้งนั้น
เสี่ยวเม่ยกระชับเสื้อคลุมที่ยับย่นในขณะที่ปล่อยให้สหายช่วยพยุงเดินไปยังอ่างน้ำอุ่นที่เตรียมรอไว้
แข้งขาอ่อนเปลี้ยค่อย ๆ ถูกจุ่มลงไปในอ่าง อุณหภูมิของน้ำที่พอเหมาะพอดีสามารถช่วยขับไล่ความอ่อนล้าให้คลายลง กลิ่นหอมบางเบาจากมวลผกาที่ลอยเหนือน้ำเรียกรอยยิ้มบางเบาให้ปรากฏบนริมฝีปาก เสี่ยวเม่ยทอดสายตามองเงาสะท้อนของคนทั้งสองที่ยืนอยู่นอกอ่างน้ำ พวกเขายังคงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนมาเสมอ
“ท่านป้า...ฟางซิน...ลำบากพวกท่านแล้ว” เสี่ยวเม่ยเอ่ยบอกกับคนทั้งสอง ลี่จินเพียงส่ายหน้าตอบ ส่วนฟางซินที่กลืนความอัดอั้นเอาไว้เต็มท้องแม้อยากจะต่อว่าสักคำก็ทำไม่ลง
“เสี่ยวเม่ยเจ้านี่นะ...ทำสีหน้าเช่นนี้ข้าจะด่าว่าเจ้าลงได้อย่างไร” นายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอเอ่ยปาก มือเล็กก็ขัดถูร่างกายของสหายไปด้วย
ทว่ายิ่งถูยิ่งเช็ด ความหงุดหงิดใจก็ปะทุขึ้นมาอีก ร่องรอยรักที่แขกพิเศษผู้นั้นทิ้งเอาไว้ปรากฏชัดเต็มตา รอยขบรอยกัดกระจัดกระจายไปทั่วเนื้อนวล จนอดไม่ได้ที่ต้องค่อนขอดออกมาสักคำ
“คราวนี้เขาคันฟันนักหรือ...ใยทิ้งรอยกัดไปทั่วแบบนี้เล่า”
“ท่านแม่ทัพนี่ก็เหลือเกินจริงเชียว...นับวันยิ่งทำออกหน้าออกตา...ข้าล่ะท้อจะตามล้างตามเช็ด...อาเม่ย...วันเพ็ญคราวหน้าปฏิเสธไปดีหรือไม่” ฝ่ายแม่เล้าลี่จินเองก็กล่าวเสริม เพราะนับวันท่านผู้นั้นยิ่งกระทำการเอิกเกริก จากเมื่อก่อนหลบซ่อนเพื่อเข้าพบเจอ มายามนี้ถึงขั้นสวมเครื่องแบบทางการเดินเข้าทางหน้าประตูหอนายโลมไม่สนใจสายตาผู้คน
คนใหญ่คนโตเช่นนั้นมาเยือนหอนายโลมทุกเดือนจนคนทั้งแคว้นลือกันไปทั่ว แม้เป็นเรื่องดีที่ค่าตัวของเด็ก ๆ คนอื่นในเล้าต่างพากันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่การตกเป็นเป้าสายตาก็ไม่ใช่เรื่องที่ลี่จินต้องการเลยสักนิด
สิ่งที่พวกเขาสามคนกำลังกระทำอยู่ เรียกได้ว่าเข้าข่ายหลอกลวงเบื้องสูง เฉินฮ่าวเทียน หาใช่คนธรรมดาสามัญ เดิมเป็นท่านชายแห่งจวนเฉินชินอ๋อง [1] ชื่อเสียงเลื่องลือถึงความเก่งกาจสามารถตั้งแต่เยาว์วัย ยังไม่ทันพ้นวัยสวมกวานก็เข้าร่วมกองทัพออกรบสร้างความดีความชอบให้แผ่นดินต้าเว่ยมากมาย
เมื่อพ้นวัยสวมกวานได้ไม่กี่ปีก็อาสาร่วมทัพปราบชนเผ่าได้สำเร็จ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรถึงความสามารถจึงออกราชโองการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพทิศประจิมคุมกำลังทหารสองกองธง
กับคนที่ถูกขนานนามว่าเทพสงครามกลับชาติมาเกิดเช่นนี้ หากรู้ความจริงว่าถูกหลอกลวงสวมเขามีหรือจะยอมใจดีปล่อยผ่านไม่ชำระความ
เสี่ยวเม่ยเองก็เข้าใจความกังวลใจของผู้อาวุโส เขาเอื้อมมือไปกุมกับฝ่ามือนุ่มของอีกฝ่าย บีบเบา ๆ คล้ายบอกให้อีกฝ่ายคลายความว้าวุ่นใจ
“ท่านป้า...อย่าได้เก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย...เขาเองก็พอรู้ตัวว่าลงมือกับข้าหนักไปบ้าง...ถึงได้ทิ้งค่าทำขวัญเอาไว้ให้เสียมากกว่าปกติ”
“เสี่ยวเม่ยเจ้าไม่อยากเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถวแล้วหรือ...ดูพูดจาเข้า...ทำราวกับคุ้นชินเป็นเรื่องปกติ” ฟางซินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก ก็ดูเอาเถิด...สหายของเขาคนนี้ทำราวกับว่าเคยชินกับการทอดกายขายเรือนร่างแลกเงินตราเสียแล้ว
“ฟางซินอย่าโมโหเลย...ดูซิ...คิ้วขมวดกันหมดแล้ว”
“ไม่ให้ข้าโมโหได้หรือ...ข้าไม่น่ายอมใจอ่อนกับเจ้าคราแรกเลย...ครั้งนั้นบอกเพียงคืนเดียว...แล้วนี่อย่างไร...นอนพลิกผ้าห่มกันมาจนครบปีแล้ว”
เดิมเสี่ยวเม่ยเป็นเพียงพ่อค้าขายหมั่นโถวธรรมดาเท่านั้น เขามักตั้งแผงอยู่หน้าตรอกเยื้องหอว่านเหอไปไม่มาก ทว่าค่ำคืนหนึ่งหลังเทียบจองตัวจากจวนแม่ทัพถูกส่งมาที่หอนายโลมแห่งนี้ คนที่เป็นพ่อค้าก็อยู่ดีไม่ว่าดี นึกอยากกลายเป็นสินค้าขึ้นมาเสียเอง
เสี่ยวเม่ยมาคุกเข่าร้องขอกับฟางซินและแม่เล้าลี่จินว่าให้ตนสวมรอย เพื่อเข้าปรนนิบัติแขกพิเศษผู้นั้นแทน
แน่นอนว่าแรกเริ่มพวกเขาทั้งสองหายอมไม่ แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับหยิบยกบุญคุณครั้งเก่าก่อนขึ้นมาเอ่ยถึง พร้อมโขกหัวอ้อนวอนอย่างสิ้นศักดิ์ศรีทั้งน้ำตา เห็นท่าทางน่าเวทนาปานนั้นพวกเขาจึงยอมตกปากรับคำ
แต่ใครจะคาดว่าแม่ทัพผู้นั้นหาใช่แค่นึกอยากเล่นสนุกเป็นครั้งคราว มาแล้วไม่ยอมลาลับ เดือนต่อมาในคืนจันทร์เพ็ญ เทียบจองตัวถูกส่งนัดหมายมาอีกครั้ง และเรื่องหลอกลวงเช่นนี้ก็ดำเนินมาจนปัจจุบัน
“เพื่อนเจ้าโง่งมในรัก...เห็นแบบนี้แล้วก็ช่วยส่งเสริมหน่อยเถิด” เสี่ยวเม่ยเอ่ยบอกพลางแย้มยิ้มบาง ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมแต่งแต้มเผยดวงหน้ามนของเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เครื่องหน้าของเสี่ยวเม่ยหาได้หวานล้ำหรือจิ้มลิ้มพริ้มเพราเหมือนพิมพ์นิยมเช่นคณิกาชายแต่อย่างใด
ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่นั้นใสซื่อจริงใจ ใบหน้ารูปไข่ไร้หนวดไร้เครา ริมฝีปากอิ่ม จมูกเชิดรั้นมองดูแล้วให้ความรู้สึกชวนให้เอ็นดู เส้นผมสีหมึกลู่ลงไปถึงกลางหลัง แนบไปกับเรือนร่างสูงเพรียวไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางแต่อย่างใด
หากเป็นคนที่เที่ยวสถานเริงรมย์อยู่เป็นนิจย่อมมองออกแต่คราแรกแล้วว่าคนในอ่างน้ำไม่มีทางเป็นคนเดียวกับนายโลมอันดับหนึ่งผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ
ทว่าเฉินฮ่าวเทียนเป็นแม่ทัพที่ใช้ชีวิตที่ค่ายทหารเขตชายแดนมากกว่าอยู่ในเขตประตูเมือง การที่เขาจะไม่ทราบความก็พอที่จะเป็นไปได้อยู่บ้าง
แต่จะไม่ทราบแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนนั้น พวกเขาทั้งสามที่ขึ้นหลังเสือแล้วยากจะลงก็สุดคาดเดา ได้แต่ภาวนาให้คนรีบเบื่อหน่ายและเลิกส่งเทียบจองตัวมาให้ทุกเดือนเสียที
“แม่ทัพประจิมมีดีอันใด...อาเม่ยคนดีของข้าจึงต้องไปยอมกลายเป็นก้อนหมั่นโถวให้เขากัดแทะเช่นนี้” ฟางซินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ฝ่ายคนในอ่างน้ำทำท่าทางครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนที่อึดใจต่อมาจะกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ จนน่ามันเขี้ยว
“อืม...ก็ดีอยู่พอตัวทีเดียว”
“นี่แหนะเจ้าตัวดี...คายอาเม่ยของข้าออกมานะ!!”
สองสหายหยอกล้อกันไปมา เสียงหัวเราะบางเบาดังแว่วในห้องนอนชั้นบนสุดของหอคณิกาชาย ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงเมื่อสิ้นสุดยามอิ๋น (3.00-4.59)
***
เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข
เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร
การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่
และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต
“ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ
“ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือนผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ“จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวังฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ“พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่”ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น
จะเห็นได้ว่าชีวิตหน้าที่การงานของแม่ทัพประจิมผู้นี้รุ่งเรืองเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องการสู้รบจับศึก คือเรื่องรักใคร่ในมุ้งของอีกฝ่ายมากกว่าชีวิตของเฉินฮ่าวเทียนนอกจากมารดาวิปลาสของตนแล้ว เขาเกี่ยวข้องกับสตรีอยู่นางหนึ่งคุณหนูใหญ่เหลียนจินหลินจากจวนเจ้ากรมโยธา สตรีเพียงนางเดียวที่เฉินฮ่าวเทียนไปมาหาสู่ตลอดหลายปีการคบหาของคนทั้งคู่เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองหลวง ความสัมพันธ์จากเพื่อนเล่นต่างอายุในวัยเยาว์ สู่การเป็นคนสำคัญในใจของกันและกันเมื่อเติบใหญ่ในตอนที่เฉินฮ่าวเทียนยังเป็นเพียงแม่ทัพน้อยและกำลังเร่งสร้างชื่อเสียงจากการออกทำศึก ฝ่ายคุณหนูเหลียนก็รั้งรอไม่ยอมออกเรือนจนอายุพ้นวัยปักปิ่นไปไกล คุณหนูบ้านอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันแต่งงานมีลูกไปแล้วสองสามคน เหลียนจินหลินยังยึดมั่นครองเรือนเพื่อรอคนกลับมาจากชายแดนภายหลังได้รับอวยยศเป็นแม่ทัพประจิม ผู้คนต่างมั่นใจว่าอีกไม่นานคงได้มีข่าวการวิวาห์ของคนทั้งคู่เป็นแน่ และในที่สุดราชโองการมอบสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิก็ถูกประกาศทั้งที่ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่ไหนได้ชื่อบ่าวสาวกลับไม่เป็นไปตามที่ผู้คนคาดคิด เจ้าสาวยังคงเป็
หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อนรัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธาเดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรสเพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่าง