การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัว
ซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่
จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่ง
เสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่ในห้องนี้มาได้หลายชั่วยามแล้ว พ่อค้าหมั่นโถวถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องเสียชุดใหญ่จนแทบจำตนเองไม่ได้เมื่อยามส่องกระจก เส้นผมสีหมึกดำเงางามที่มักถูกรวมเก็บมัดจุกเอาไว้เป็นก้อนบัดนี้ถูกปล่อยสยายจนถึงกลางหลัง ใบหน้ามนถูกผลัดด้วยเครื่องประทินโฉมสีอ่อน ริมฝีปากอิ่มแต้มชาดขึ้นสีระเรื่อ ดวงตาเมล็ดซิ่ง [1] ใสซื่อถูกปิดคาดด้วยผ้าแพรเนื้อบางสีครามปักลวดลายเมฆา ทั้งนี้ก็เป็นเพราะหนึ่งใน ‘เงื่อนไข’ พิเศษที่ทางลูกค้าระบุมาว่าต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ร่างกายสูงเพรียวบัดนี้อยู่ในชุดหรูหรากรุยกรายสีม่วงอ่อนที่ตัดเย็บจากผ้าเนื้อดี ลวดลายเหลียนฮวาที่ปักอย่างประณีตบรรจงบริเวณชายผ้า ขับเน้นให้บผู้สวมใส่มีภาพลักษณ์สะอาดบริสุทธิ์
“อาเม่ยของป้างามนัก” แม่เล้าลี่จินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชม เด็กน้อยของนางวันนี้งามนัก เดิมเสี่ยวเม่ยก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนขี้ริ้ว เพียงแต่เขาทำงานค้าขายอาหาร การที่จะต้องรักษาความสะอาดไม่ให้มีสิ่งใดปนเปื้อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เส้นผมนุ่มมือถูกรวบเก็บ ใบหน้าไร้การแต่งแต้ม เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นเพียงเสื้อผ้าทั่วไปที่เน้นเรื่องความคล่องตัว ภาพลักษณ์ที่ผู้คนเห็นจนชินตาจึงเป็นเพียงหนุ่มน้อยหน้ามนคนซื่อผู้หนึ่ง แตกต่างจากยามนี้ ที่อีกฝ่ายให้บรรยากาศราวคุณชายรูปงาม ไม่หลงเหลือคาบพ่อค้าหมั่นโถวจากแผงลอยย่านสถานเริงรมย์
“ไหน...ลองลุกเดินให้ป้าดูหน่อย”
พอได้ยินคำสั่ง คนที่ถูกเคี่ยวกรําอย่างหนังก็ถึงคราวได้แสดงผลของการฝึกฝน ร่างเพรียวก้าวขยับอย่างเอื่อยเฉื่อย ฝีเท้าที่มักเยื้องย่างอย่างฉับไวถูกลดจังหวะลงเสียงกึ่งหนึ่ง ทุกการก้าวเดินทำให้เนื้อผ้ากรุยกรายไปมาชวนให้เพลินตาน่ามอง
“ดี...ทีนี้รินน้ำชา”
นิ้วมือยาวที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อ เอื้อมหยิบจับกาน้ำชาโดยทันที แม้ว่าดาวตาจะถูกบดบังวิสัยทัศน์แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เสียงน้ำรินไหลดังแว่ว กลิ่นชาหอมกรุ่นลอยแตะจมูก เสี่ยวเม่ยยกยิ้มขึ้นอย่างภาคภูมิ
บัดนี้เขาสำเร็จวิชาปิดตารินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว!
“ดีมาก...จดจำเงื่อนไขที่ระบุในเทียบเชิญมาอย่างดีแล้วใช่หรือไม่” ลี่จินยังคงถามด้วยความวิตกกังวลที่มีอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยกลัวว่าจะเกิดสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา นางจึงต้องคอยย้ำเตือนสอบถามซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเรื่องใดผิดพลาด
“ขอรับ...ห้ามจ้องมอง...ห้ามเอ่ยวาจา...ห้ามใช้มารยาสาไถย และห้ามขัดขืน” เสี่ยวเม่ยเอ่ยตอบ
เงื่อนไขที่ทางจวนแม่ทัพส่งมาหนนี้มีทั้งสิ้นสี่ข้อด้วยกัน
ข้อแรกคือ ห้ามจ้องมอง ด้วยเหตุนี้เสี่ยวเม่ยจึงต้องคาดปิดผ้าทับดวงตาของตนเอาไว้ ซึ่งสำหรับเสี่ยวเม่ยที่ต้องการปกปิดตนเองอยู่แล้ว เขาจึงมองว่านี้คือเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างมาก แม้ต้องเสียเวลาไปกับการฝึกฝนความคุ้นเคย แต่หากเทียบกับการสามารถหลบเร้นตัวตนแล้ว ก็ไม่นับว่าเหลือบ่ากว่าแรงอันใด
ข้อที่สองคือ ห้ามเอ่ยวาจา เงื่อนไขข้อนี้คราแรกทำให้ทุกคนคิดหนัก เพราะหากไม่สามารถเอ่ยสนทนา แล้วจะสื่อสารกันอย่างไร แต่เสี่ยวเม่ยกลับเอ่ยปากนำเสนอความคิดดี ๆ บางอย่างขึ้นมาว่า
ในเมื่อไม่อาจใช้เสียงสื่อสาร ใช้สัญลักษณ์มือพูดคุยแทนก็คงได้กระมัง
เนื่องจากต้องทำมาค้าขาย พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาเพื่อสื่อสารกับผู้ที่ไม่อาจใช้ภาษากลางพูดคุย ความสามารถด้านภาษามือของเสี่ยวเม่ยนับว่าเชี่ยวชาญอย่างมาก ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณท่านลุงที่รับเลี้ยงเขามา ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้นี้ให้แก่เด็กกำพร้าเช่นเขา
“เป็นแขกที่วุ่นวายเหลือเกิน” ฟางซินบ่นขึ้นมาอย่างรำคาญใจ นายคณิกาตัวจริงนึกค่อนขอดลูกค้าพิเศษผู้นี้ไม่น้อย คิดจะมาเสพสุขยังมีเงื่อนไขวุ่นวายมากมายเพียงนี้ เขานึกสภาพบรรยากาศการเสพสมไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าจะมีพิธีรีตองอะไรอีกหรือเปล่า
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” เสี่ยวเม่ยเอ่ยตอบ เขามองว่าการที่ไม่อาจเปล่งเสียงก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะตัวของเสี่ยวเม่ยเองก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดคุยกับแม่ทัพประจิมเช่นไร หากต้องเปิดบทสนทนามีแต่จะพูดติดขัดตะกุกตะกักเสียเปล่าก็เท่านั้น
มาถึงข้อที่สาม ห้ามใช้มารยาสาไถย ซึ่งตอนที่อ่านเงื่อนไขข้อนี้เสี่ยวเม่ยค่อนข้างจนใจไม่น้อย การเอาตัวรอดในหอคณิกา หากไม่รู้จักใช้มารยาแล้วต้องใช้สิ่งอื่นใดกันเล่า เขาไม่แน่ใจนักว่าเฉินฮ่าวเทียนมองหอโคมเขียวเป็นสำนักสงค์หรือไม่ จึงได้กล้าตั้งเงื่อนไขที่มองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผลข้อนี้ขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นคนแจ้งความจำนงมาแล้ว เสี่ยวเม่ยก็ได้แต่เก็บเงื่อนไขข้อนี้ระลึกเอาไว้ในใจและพยายามแสดงกิริยาของตนให้สำรวมที่สุด
จนมาข้อสุดท้าย คือห้ามขัดขืน ซึ่งข้อนี้เสี่ยวเม่ยก็ไม่กล้าคาดเดาความคิดของท่านแม่ทัพ การขัดขืนที่ว่านี่คืออย่างไร หรือเฉินฮ่าวเทียนคิดว่าเขาจะเกิดกรีดร้องแล้ววิ่งนี้ออกไปราวดรุณีน้อยแรกรุ่นหรือ และที่สำคัญท่านแม่ทัพคิดทำการใดกันเล่า จึงกลัวคนต่อต้านจนต้องออกเงื่อนไขนี้ออกมา
เสี่ยวเม่ยยิ่งอ่านเงื่อนไขสี่ข้อซ้ำไปซ้ำมาก็จนปัญญาเหลือแสน แต่เอาเถอะ ไว้ถึงคราวที่ต้องนอนทอดกายอ้าขา เขาจะพยายามโอนอ่อนว่าง่ายและให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายอย่างดีที่สุดเลยก็แล้วกัน
เชิงอรรถ
^ ดวงตาเมล็ดซิ่ง : ลูกซิ่งหรือ Apricot เป็นผลไม้ที่มีเมล็ดคล้ายกับเมล็ด almond ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกนำมาหยิบยกเปรียบเทียบกับดวงตาเสมอ
เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข
เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร
การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่
และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต
“ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ
“ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือนผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ“จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวังฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ“พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่”ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น
จะเห็นได้ว่าชีวิตหน้าที่การงานของแม่ทัพประจิมผู้นี้รุ่งเรืองเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องการสู้รบจับศึก คือเรื่องรักใคร่ในมุ้งของอีกฝ่ายมากกว่าชีวิตของเฉินฮ่าวเทียนนอกจากมารดาวิปลาสของตนแล้ว เขาเกี่ยวข้องกับสตรีอยู่นางหนึ่งคุณหนูใหญ่เหลียนจินหลินจากจวนเจ้ากรมโยธา สตรีเพียงนางเดียวที่เฉินฮ่าวเทียนไปมาหาสู่ตลอดหลายปีการคบหาของคนทั้งคู่เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองหลวง ความสัมพันธ์จากเพื่อนเล่นต่างอายุในวัยเยาว์ สู่การเป็นคนสำคัญในใจของกันและกันเมื่อเติบใหญ่ในตอนที่เฉินฮ่าวเทียนยังเป็นเพียงแม่ทัพน้อยและกำลังเร่งสร้างชื่อเสียงจากการออกทำศึก ฝ่ายคุณหนูเหลียนก็รั้งรอไม่ยอมออกเรือนจนอายุพ้นวัยปักปิ่นไปไกล คุณหนูบ้านอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันแต่งงานมีลูกไปแล้วสองสามคน เหลียนจินหลินยังยึดมั่นครองเรือนเพื่อรอคนกลับมาจากชายแดนภายหลังได้รับอวยยศเป็นแม่ทัพประจิม ผู้คนต่างมั่นใจว่าอีกไม่นานคงได้มีข่าวการวิวาห์ของคนทั้งคู่เป็นแน่ และในที่สุดราชโองการมอบสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิก็ถูกประกาศทั้งที่ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่ไหนได้ชื่อบ่าวสาวกลับไม่เป็นไปตามที่ผู้คนคาดคิด เจ้าสาวยังคงเป็
หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อนรัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธาเดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรสเพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่าง