“ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือน
ผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ
“จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวัง
ฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ
“พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่”
ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบ
ความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น เรียกได้ว่าก่อเกิดมาจากการคิดเพ้อฝันไปเสียหลายส่วน
ยามเฉินฮ่าวเทียนได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค เสี่ยวเม่ยอายุได้ราวหกขวบซึ่งนับเป็นช่วงวัยที่พอจะรู้ความแล้ว จึงสามารถกล่าวได้ว่าเขาเติบโตมากับการได้ยินชื่อเสียงเรียงนามและกิตติศัพท์เลื่องลือของเฉินฮ่าวเทียนจนอายุเข้ายี่สิบสองปี
เฉินฮ่าวเทียนเป็นผู้มีความมุ่งมั่น ฝีมือการรบเก่งกาจสามารถ เชี่ยวชาญวิชาทั้งบู๊และบุ๋น ที่สำคัญนั้นยังเป็นผู้ยึดมั่นในรัก ไม่เจ้าชู้มากเล่ห์ ข้อดีมากมายเพียงนี้ราวกับเทพเซียนเลยไม่ใช่หรือ
รูปโฉมงดงาม องอาจกล้าหาญ จิตใจมั่นคงดุจหินผา ที่กล่าวมาล้วนควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญและเทิดทูนเอาไว้บนหิ้งเลยไม่ใช่หรือ
แต่แล้วเหตุใด เทพเซียนในใจของเสี่ยวเม่ยผู้นี้ถึงได้เลือกเดินย่ำลงมาบนเส้นทางสายโลกีย์เสียแล้ว คิดอยากมีรักใหม่ก็มีไปเถิด แต่ใยเลือกเดินเบี่ยงมายังเส้นทางนี้ได้เล่า!
ภาพท่านแม่ทัพในจินตนาการที่เขาตั้งเอาไว้ว่าสูงส่งเทียมฟ้าแหลกสลายลงไม่เหลือชิ้นดี
“เป็นอะไร...เข่าอ่อนเลยรึ” ฟางซินเอ่ยออกมาเสียงกลั้วหัวเราะ ท่าทางราวกับโลกถล่มของสหายผู้นี้มองดูไปก็น่าขันไม่น้อย
เรื่องความชื่นชอบที่เสี่ยวเม่ยมีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น หากเขาไม่รับรู้ก็นับว่าโง่เต็มทนแล้ว เจ้าตัวดีวัน ๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่เอ่ยยกย่องเชิดชูแม่ทัพประจิมผู้นั้นราวกับเป็นเทพเซียนลงมาจุติ
สิ่งดีสิ่งใดที่พบล้วนกล่าวว่าเหมาะสมกับเฉินฮ่าวเทียนทั้งสิ้น
แม้จะนึกเวทนาอยู่บ้างที่ภาพฝันของสหายต้องพังลง แต่ฟางซินก็อารมณ์ดีไม่น้อยเลย เพราะอย่างน้อยวันนี้ได้มีคนตาสว่างเสียที รับรู้ขึ้นมาบ้างว่าดวงจันทร์ที่อีกฝ่ายเทิดทูนหาใช่เทวดาจากชั้นฟ้าที่ไหน แต่เป็นมนุษย์เดินดินผู้หนึ่งเหมือนกันนั้นแล
“ละ...แล้วเขาจองตัวผู้ใด...พี่หมิงเฟยหรือ” เสี่ยวเม่ยเอ่ยถามเสียงสั่นหลังจากรวบรวมสติอยู่พักใหญ่ หมิงเฟยที่เอ่ยถึงนั้น คือนายโลมชื่อดังอีกผู้หนึ่งของหอนายโลมแห่งนี้
“ยังไม่รู้เลย...ข้าก็มารอฟังอยู่นี่ล่ะ...เห็นว่าเขียนเงื่อนไขมาวุ่นวายเหลือเกิน” ฟางซินตอบกลับ ความจริงเขาก็กำลังรอการประกาศจากท่านแม่อยู่เช่นเดียวกัน ใจอยากจะรู้นักว่าพี่น้องคนใดในหอกันหนอจะถูกเลือกให้ได้ปรนนิบัติรับใช้แม่ทัพประจิมในคืนจันทร์เพ็ญที่กำลังมาเยือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องพักของฟางซินถูกเลื่อนเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีนางหนึ่ง
“อ้าวอาเม่ย...วันนี้ไม่ได้ไปตั้งแผงหรอกรึ” แม่เล้าลี่จินเอ่ยทักทายหลังจากที่ก้าวเข้ามาในห้องและพบว่านอกจากคนที่นางมีธุระด้วยแล้ว มีใครอีกคนอยู่ด้วยเช่นกัน
“ทะ...ท่านป้า...คือว่า” เสี่ยวเม่ยละล่ำละลักตอบกลับ ในขณะที่ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามจ้องมองที่เทียบจองตัวเล่มสีน้ำเงินเข้มในมือของผู้มาเยือน
ลี่จินมองตามสายตาของเด็กหนุ่มที่นางรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะเอ่ยถาม
“อ่อ...นี่น่ะหรือ? ”
นางยกเทียบเชิญที่เพิ่งได้รับขึ้นมาโบกไปมา และก็ได้รับการพยักหน้ารัวจนจุกผมที่มัดรวมเป็นก้อนกลม ๆ บนศีรษะของเสี่ยวเม่ยโยกขยับไปมาอย่างน่ารักน่าชัง
ทว่าลี่จินไม่ได้เอ่ยตอบคำถามพ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อย นางยื่นเทียบเชิญชี้ไปที่คนที่นอนเหยียดกายบนเก้าอี้ยาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยเสียแทน
“วันเพ็ญครั้งหน้าเจ้าเตรียมรับแขกสำคัญด้วยเล่าฟางซิน”
“ข้า?” ฟางซินยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยพลัน เด็กหนุ่มร้องถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหู คนที่คราแรกยังอารมณ์ชื่นมื่นบัดนี้เริ่มยิ้มไม่ออกเสียแล้ว
“ใช่...พ่อบ้านจางจากจวนแม่ทัพประจิมกล่าวว่าต้องการคนที่รู้ความหน่อย...ข้าเอ่ยปากไปสองสามชื่อ...แต่สุดท้ายก็เลือกเจ้า” แม่เล้าเอ่ยต่อเพื่อยืนยันคำสั่งของนาง
จากการหารือกับพ่อบ้านประจำจวนแม่ทัพที่กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยาม เนื่องจากเงื่อนไขพิเศษที่ทางแม่ทัพประจิมร้องขอ ในที่สุดก็เห็นควรว่าฟางซินคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับรองแขกสูงศักดิ์ท่านนี้
คำกล่าวของแม่เล้าประจำหอว่านเหอนำพาความเงียบให้เข้ามากัดกินไปทั่วบริเวณ ลี่จินที่เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติจึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ใยทำหน้าเช่นนั้น...ไม่ดีใจรึ”
“อะ...อาเม่ย...” ฟางซินไม่ได้ตอบคำถาม เจ้าตัวรีบทรุดตัวลงมานั่งกับพื้นเคียงข้างพ่อค้าขายหมั่นโถวที่ตอนนี้ทำสีหน้าเหม่อลอยราวกับว่าสติได้หลุดกระเด็นไปไกลเสียแล้ว
“ข้าไม่เป็นอันใด...ไม่เป็นอันใด” เสี่ยวเม่ยเอ่ยซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น ก่อนที่นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่มักจะฉายแววสดใส บัดนี้คลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำตา เด็กหนุ่มท่าทางใสซื่อจริงใจร่ำไห้ออกมาเงียบ ๆ เกิดเป็นภาพชวนเวทนาให้สงสารจับใจคนที่มองดูทั้งสอง
“อาเม่ย...ใยร้องไห้เล่า!?” ลี่จินเห็นเด็กน้อยของนางหลั่งน้ำตาก็ทำสิ่งใดไม่ถูก รีบรุดมานั่งเคียงขนาบข้างอีกฝั่ง มืออวบลูบหลังปลอบโยนคนที่เริ่มสะอื้นจนตัวสั่นด้วยความเป็นกังวล
นางส่งสายตาถามความกับฟางซินที่ร้อนรนไม่ต่าง นายโลมคนงามขยับตัวเข้าใกล้ก่อนกระซิบบอกสาเหตุที่ทำให้อาเม่ยคนดีของนางร่ำไห้
“อะไรนะ! เจ้าหลงรั- อืม!!”
“เบาเสียงหน่อยท่านแม่!”
พอรู้ความเจ้าของหอนายโลมเลื่องชื่อมีอันต้องอุทานออกมาเสียงดัง ดีที่ฟางซินมือไว เขารีบยกมือขึ้นปิดปากลี่จินเอาไว้ เพราะเกรงว่าเสียงของอีกฝ่ายจะเล็ดลอดออกไปนอกห้องพัก
***
เสี่ยวเม่ยก็พอจะทราบอยู่หรอกว่าเฉินฮ่าวเทียนไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นหยาบกระด้างได้เพียงนี้“ชักช้าอยู่ไย? ”แล้วดูเอาเถิด คนที่กล้าพูดคำว่า เสพสมออกมาได้อย่างเต็มปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเช่นนั้น บัดนี้ยังมีหน้ามาเอียงคอถามด้วยความสงสัย โดยไม่มีทีท่าว่าจะละอายแก่ใจเลยสักนิด‘ไม่มีกระไรขอรับ’ นายคณิกาตัวปลอมได้แต่จนคำพูดอาจเป็นเพราะเสี่ยวเม่ยไม่มีประสบการณ์ในเรื่องราวเช่นนี้ คนที่คิดว่าตนฝึกฝนมาดี บัดนี้เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเสี่ยวเม่ยก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่นพ่อค้าหมั่นโถวยืนนิ่งอยู่กับที่ ครั้นจะก้าวเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้า พอจะถอยหลังก็ยังนึกหวั่น จึงเกิดเป็นอาการยึกยักไปมา จนทำเอาแขกพิเศษผู้ทอดสายตามองอยู่นานนึกรำคาญใจคิดเล่นตัวอันใด…ชักช้าเสียเวลา เฉินฮ่าวเทียนครุ่นคิดเช่นนั้นเดิมความคิดในการมาเยือนหอคณิกาเป็นการประชดประชันเพียงชั่วครู่ เข
เวลาล่วงเลยเข้าใกล้ยามจื่อ [1] ผู้ที่อยู่ภายในห้องรับรองต่างเร่งรีบตรวจความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย เสี่ยวเม่ยถูกจับนั่งลงที่บริเวณตั้งไม้ตัวยาว มือเล็กประสานเข้าหากันอย่างสำรวมลี่จินมองความนิ่งสงบของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นางยังคิดเอาไว้อยู่เลยว่า ถ้าเห็นอาเม่ยคนดีของนางมีท่าทางตื่นตระหนกแม้เพียงสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็จะยกเลิกแผนการนี้และให้ฟางซินอยู่รับรองแทนแต่ทว่า…พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความตั้งมั่นแรงกล้า เห็นคนมีใจมาขนาดนี้แล้ว ลี่จินก็ไม่คิดขัดขวางใดอีก นางได้แต่อธิษฐานขอสวรรค์โปรดช่วยประทานพรจนเมื่อเสียงตีกลองบอกเวลา [2] ดังแว่ว แม่เล้าประจำหอคณิกาจึงเดินเข้าไปกำชับบอกคนที่นั่งนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย“อาเม่ย...ค่ำคืนแรกอาจไม่ได้มีความสุขดังฝัน...แต่ในเมื่อเลือกแล้ว...ต่อให้ท่านแม่ทัพไม่ถนอมก็ต้องห้ามปร
การฝึกฝนดำเนินต่อไปอีกสามวันสามคืน พ่อค้าหมั่นโถวตัวน้อยถูกเคี่ยวเข็ญอย่างเข้มงวด เรื่องใดที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งใดที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ดินแดนคาวโลกีย์ที่ตนไม่เคยนึกเหยียบย่าง บัดนี้เสี่ยวเม่ยเรียกได้ว่าถูกลากดึงให้ดำดิ่งสู่วิถีนายคณิกาอย่างเต็มตัวซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรที่เสี่ยวเม่ยถูกพร่ำสอนหาใช่ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องรู้ กับคนที่มีเวลาน้อยนิดจะให้ร่ำเรียนทั้งศาสตร์เพื่อให้ความบันเทิง และศิลปะในการเริงรักนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพื่อเตรียมคนไม่รู้ความให้พร้อมสำหรับการลงสนามจริง เนื้อหาบทเรียนส่วนใหญ่ที่เสี่ยวเม่ยต้องฝึกฝนล้วนรวบรัดตัดตอนและมุ่งเป้าไปที่การเผด็จศึกบนเตียงนอนเสียเป็นส่วนใหญ่จนในที่สุด…ก็มาถึงวันตามเทียบจองตัว จันทร์เพ็ญกระจ่างเปล่งประกายเด่นกลางนภา แสงนวลสาดสองลงมา ณ ชั้นบนสุดของหอว่านเหอ ห้องรับรองที่เคยเนืองแน่นในวันนี้กลับว่างเปล่า เหลือไว้เพียงห้องริมสุดที่อยู่ริมระเบียง ซึ่งค่ำคืนนี้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อรอรับรองแขกพิเศษท่านหนึ่งเสี่ยวเม่ยถูกกักตัวอยู่
และคำกล่าวของฟางซินก็หาใช่คำขู่ไม่ เพราะมันคือความจริงทุกประการ“ลึกกว่านี้...อย่าสำลักออกมา” เสียงสั่งสอนดังขึ้นไม่ขาดมาได้หลายชั่วยามแล้วเสี่ยวเม่ยเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย ใบหน้างดงามของนายโลมอันดับหนึ่งมีล่องลอยของความเหนื่อยล้า มือเล็กที่มีกลิ่นยาสูบบางเบาเอื้อมมาบีบที่คางของพ่อค้าหมั่นโถวผู้ที่ตอนนี้กำลังขะมักเขม้นเรียนรู้วิชา“อ๊อก!” แรงบีบของนายโลมคนงามมากพอที่จะทำให้คนที่ปากไม่ว่างสำลักออกมาอึกใหญ่ ความใหญ่โตที่เดิมค้างอยู่ที่ลำคอเลื่อนออก แต่ก่อนที่จะหลุดจากริมฝีปากอิ่มเสี่ยวเม่ยผู้ถูกบังคับให้ใช้โพรงปากครอบอมความแข็งขืนของ ‘สิ่งนั้น’ มาได้หลายชั่วยาม ก็รีบใช้ฟันงับกัดวัตถุแปลกปลอมเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดหลุดไป“อย่ากัด!เจ้าอยากโดนตีตายหรือ” คนสั่งสอนเอ่ยเสียงเข้มแล้วจ้วงดันท่อนแข็งให้มุดลึกเข้าไปในโพรงลำคอ แรงกระทุ้งที่เกิดคิดอย่างฉับพลันสร้างความระคายเคืองให้ก็เกิดขึ้นต
“ไม่ได้/ไม่ได้!” ไม่ต้องคิดให้มากความสองเสียงประสานตวาดดังลั่น แม่เล้าลี่จินเข่าอ่อนแทบลมจับ อาเม่ยตัวน้อยของนางนึกอยากพลีกายให้ผู้อื่นเสียแล้ว ด้านฟางซินยิงแล้วใหญ่ เขายกมือขึ้นจิกทึ้งเส้นผมตนเองไปมาราวกับจะเป็นบ้าตายเสียเดี๋ยวนี้“ท่านป้า...ฟางซิน...เหตุใดเล่า” เสี่ยวเม่ยยังคงร้องถาม พ่อค้าหมั่นโถวหันซ้ายทีขวาทีมองดูปฏิกิริยาของคนข้างกายทั้งสอง“ยังจะถาม...เจ้าเป็นพ่อค้าขายหมั่นโถว!” ฟางซินว่า เขานึกอยากเปิดกะโหลกของอีกฝ่ายดูนักว่าภายในนอกจากแป้งสาลีแล้วมีสิ่งอื่นหรือไม่ ด้านลี่จินนางยังคงนั่งดมยาหอมเพื่อสงบจิตสงบใจ ปล่อยเด็กหนุ่มสองคนโต้เถียงกันไปก่อน“ข้าทำได้” เจ้าตัวดียังไม่ยอมแพ้ ยกมือตบอกแสดงท่าทางมั่นอกมั่นใจ ฟางซินยกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าสหายอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน“ยั่วยวนบุรุษเจ้าทำได้หรือ? ”“....” คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเม่ยตอบไม่ถูกคำว่ายั่วยวนคืออย่างไร ใช่กายโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ แล้วทอดสายตามองชายที่หมายปองหรือไม่?
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี...ข้าคืนเทียบเชิญกับเงินมัดจำดีหรือไม่” ลี่จินกระซิบขึ้นด้วยความเป็นกังวล ในใจแม้จะหวั่นเกรงเรื่องสัญญาที่รับปากกับจวนแม่ทัพไปแล้วไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับน้ำตาของเสี่ยวเม่ยที่กำลังหลั่งริน นางเลือกที่จะยกเลิกเทียบเชิญเสียดีกว่าเพราะสำหรับลี่จินและฟางซินแล้ว พ่อค้าขายหมั่นโถวตัวน้อยนับเป็นผู้มีพระคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อนลี่จินและฟางซินเดินทางร่อนเร่มาถึงแคว้นเฉินเพื่อหนีภัยสงคราม ลี่จินใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีติดตัวเปิดเหลาสุรา ฟางซินเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ติดตามมา ลี่จินจึงให้เขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อแลกกับให้อาหารและที่ซุกหัวนอนแต่ในช่วงเวลาที่ผู้คนเผชิญความแร้นแค้น จะมีใครบ้างยอมเสียเบี้ยเงินซื้อสุราและกับแกล้ม เงินทุนก้อนสุดท้ายไม่อาจงอกเงย ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละวันยังคงมากขึ้น ลี่จินโอบกอดความผิดหวังและความหิวโหยเอาไว้อย่างกล้ำกลืนเย็นวันหนึ่งเสี่ยวเม่ยในวัยแปดขวบปีปรากฏตัวขึ้นที่หน้าเหลาสุราอันเงียบเหงา เขาเดินจูงมือฟางซินที่กอดหมั่นโถวลูกหนึ่งเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมาส่งพอลี่จินสอบถามก็ได้ความว่า เสี่ยวเม่ยพบฟางซินแอบนั่งแทะหมั่นโถวที่มีคนทำตกพื้นเอาไ
“ข้าว่าแล้วเจ้าต้องมา” นี่คือคำทักทายแรกของผู้เป็นเจ้าของห้องทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือนผู้กล่าวทักมีนามว่า ฟางซิน เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดวงตาดอกท้อฉายแววเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่มันกลับยิ่งขับให้บรรยากาศรอบกายของเขาดูคล้ายภูตจิ้งจอกยามทอดกายอาบแดดอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า ท่าทางเย้ายวนใจแม้แต่ยามนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านเช่นนี้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งนายโลมอันดับหนึ่งแห่งหอว่านเหอ“จริงหรือไม่?” เสี่ยวเม่ยวิ่งรุดเข้าไปทรุดตัวนั่งลงที่พื้น มือเกาะขอบตั่งเตียงของอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแววคาดหวังฟางซินเหลือบมองเจ้าคนที่กระตือรือร้นไม่ต่างจากยามลูกกระรอกถือเมล็ดทานตะวันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาไม่พยักหน้า เพียงแต่เอ่ยตอบกลับมาลอย ๆ“พ่อบ้านจางเพิ่งกลับไปเมื่อครู่”ซึ่งคำเอ่ยนั้นก็แทนเครื่องยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเล่าลือในตลาดที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง เสี่ยวเม่ยรู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ มือที่เกาะขอบเตียงตกลงพื้นราวไร้กระดูก ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงตามอารมณ์ที่ดำดิ่งสู่ความผิดหวังไม่รู้จบความชื่นชมในใจของเสี่ยวเม่ยที่มีต่อเฉินฮ่าวเทียนนั้น
จะเห็นได้ว่าชีวิตหน้าที่การงานของแม่ทัพประจิมผู้นี้รุ่งเรืองเพียงใด แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องการสู้รบจับศึก คือเรื่องรักใคร่ในมุ้งของอีกฝ่ายมากกว่าชีวิตของเฉินฮ่าวเทียนนอกจากมารดาวิปลาสของตนแล้ว เขาเกี่ยวข้องกับสตรีอยู่นางหนึ่งคุณหนูใหญ่เหลียนจินหลินจากจวนเจ้ากรมโยธา สตรีเพียงนางเดียวที่เฉินฮ่าวเทียนไปมาหาสู่ตลอดหลายปีการคบหาของคนทั้งคู่เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองหลวง ความสัมพันธ์จากเพื่อนเล่นต่างอายุในวัยเยาว์ สู่การเป็นคนสำคัญในใจของกันและกันเมื่อเติบใหญ่ในตอนที่เฉินฮ่าวเทียนยังเป็นเพียงแม่ทัพน้อยและกำลังเร่งสร้างชื่อเสียงจากการออกทำศึก ฝ่ายคุณหนูเหลียนก็รั้งรอไม่ยอมออกเรือนจนอายุพ้นวัยปักปิ่นไปไกล คุณหนูบ้านอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันแต่งงานมีลูกไปแล้วสองสามคน เหลียนจินหลินยังยึดมั่นครองเรือนเพื่อรอคนกลับมาจากชายแดนภายหลังได้รับอวยยศเป็นแม่ทัพประจิม ผู้คนต่างมั่นใจว่าอีกไม่นานคงได้มีข่าวการวิวาห์ของคนทั้งคู่เป็นแน่ และในที่สุดราชโองการมอบสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิก็ถูกประกาศทั้งที่ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่ไหนได้ชื่อบ่าวสาวกลับไม่เป็นไปตามที่ผู้คนคาดคิด เจ้าสาวยังคงเป็
หากจะเอ่ยถึงต้นตอความสัมพันธ์ลวงหลอกที่เกิดขึ้นของเสี่ยวเม่ยและเฉินฮ่าวเทียนแล้ว ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อนรัชศกลู่เฉิงปีที่สามสิบหก แคว้นเฉินบนแผ่นดินต้าเว่ยในช่วงที่ฤดูหนาวเพิ่งพ้นผ่านนั้น ได้มีข่าวสะเทือนเลือนลั่นข่าวหนึ่งถูกประกาศซึ่งข่าวที่ว่านั้นก็คืองานสมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ มอบให้แก่ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเฉินและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมโยธาเดิมการที่สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็หาใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทว่าเหตุที่ทำให้งานสมรสพระราชทานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อซุบซิบในวงน้ำชา ก็เป็นเพราะเบื้องหลังฉากหน้างานมงคลสมรสของคู่ยวนยางที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ยังมีข่าวลือเรื่องชิงรักหักสวาทของเหล่าชนชั้นสูง ให้ชาวบ้านร้านตลาดได้จับกลุ่มคุยกันได้อย่างออกรสเพราะมีใครบ้างในเขตเมืองหลวงและแคว้นเฉินจะไม่ทราบ ว่าตัวว่าที่คู่บ่าวสาวนั้นหาได้ชอบพอกันไม่ท่านอ๋องน้อย เฉินหนิงเทียน คือบุตรชายคนโตของเฉินชินอ๋องและพระชายาเอก เฉินหนิงเทียน เป็นท่านชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์เป็นเอกและฐานันดรสูงศักดิ์ สตรีทั่วแคว้นต่าง