ดาวถามว่าเป็นอะไร เมื่อเห็นว่า จู่ ๆ เพื่อนหนุ่มทำตัวแข็ง รอนตอบว่า
“ดาว มีหนุ่มสองเดินตรงมาหาพวกเราแน่ะ มองเป๋งมาทางนี้เลย เราไม่รู้จักดังนั้นน่าจะเป็นคนรู้จักของดาวมากกว่า”
“อ๊ะ”
“แต่อย่าเพิ่งหันไปนะ”
“หน้าตายังไงน่ะ”
“ก็หล่อดีทีเดียว ตัวสูงใหญ่ อ้อ แล้วก็เป็นคู่แฝดกันด้วย”
ดวงตาของหนุ่มโอเมก้าเบิ่งกว้าง ชาวาบตั้งแต่ศีรษะจดเท้าทีเดียว
ดาวก้มดูวันที่ในมือถือ วันนี้คือวันที่ 21 วันเลขคี่
แต่ก่อนจะได้ทำอะไร ก็มีรถตู้อัลพาร์ดคันงามขับปราดมาจอดเทียบฟุตบาทห่างออกไปจากจุดที่ดาวยืนคุยกับรอน
สองหนุ่มหันไปดู แล้วกระจกรถก็ค่อย ๆ เลื่อนลง แล้วใบหน้าเล็กที่เห็นจากที่ไกล ๆ แต่ดาวจำได้ว่าคือเดชก็โบกมือแล้วยิ้มให้
ดาวทำหน้าสงสัยใส่ผู้ช่วย ‘เดชเป็นคนขับรถด้วยหรือนี่’
ผู้ช่วยเห็นแล้วเข้าใจจึงส่ายหน้า ชูสองกำปั้นขึ้นมาแถวดวงตาแล้วหมุน ๆ สัญลักษณ์ของคนกำลังเศร้า บ่งบอกว่า เขาไม่ได้เต็มใจมาด้วย น่าจะถูกเจ้านายบังคับให้มาทำหน้าที่ขับรถคันงามคันนี้
แล้วในตอนนั้นเองสองแฝดก็เดินมาหยุดไม่ห่างจากสองหนุ่มนักศึกษา รอนมองสองคนที่ตัวสูงกว่าเขาตาค้าง พลังงานลึกลับบางอย่างจากดวงตาของสองหนุ่มผู้มาใหม่แผ่ขยายลงมาปกคลุมทั่วบริเวณ
จางหมิงที่เดินไปด้วยลูบแผลเป็นที่หว่างคิ้วไปด้วยเอ่ยทักทันทีว่า “แหม บังเอิญจังเลย ไม่น่าเชื่อ”
จางฉวนรีบทวงบุญคุณ “เรื่องนี้ต้องขอบคุณฉันสิ ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่ปวดฉี่แล้วลงจากรถมาหาห้องน้ำ ก็คงไม่เจอเธอหรอกจริงไหม”
ดาวชี้มาที่ตัวเอง ทำหน้าไม่อยากเชื่อ “นี่พวกคุณมาหาผมเหรอ”
สองคนนั้นเสียอาการนิดหน่อย แต่ยังคีปลุคเอาไว้ได้ “ยังมีหน้ามาถามอีกเรอะ ไม่มาหาเธอแล้วจะมาหาหมาตัวไหน เอ๊ย มาหาใครล่ะ!”
“รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่”
จางหมิงชักสีหน้าเบื่อหน่าย
“แตงโมบอกมาวันนี้เธอมาปฐมนิเทศ เขาเรียกอย่างนั้นหรือเปล่านะ แล้วคณะของเธอที่มหา’ลัยนี้แม่งก็โคตรเล็กเลย เดินแป๊บเดียวก็เจอเลยเห็นไหม”
จางฉวนมองไปรอบ ๆ แล้วเบาะปาก
“ตึกเรียนก็ดูกิ๊กก๊อกเป็นบ้า เหมือนโรงงานห้องแถวมากกว่ามหา’ลัย”
สองนักศึกษาเม้มปาก ส่วนดาวชักสีหน้าไม่พอใจ ในหัวของหนุ่มโอเมก้าคิดอย่างน้อยใจว่า
‘ใครจะดีเด่สู้พวกมึงได้ล่ะ’
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกคุณชายทำร้ายเขาด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา และสองแฝดที่ชอบบูลลี่ดาวทุกสิ่ง ทั้งความเป็นโอเมก้า การเป็นคนต่างจังหวัด แม้กระทั่งที่เรียนก็ไม่เว้น
อยู่ ๆ หนึ่งในแฝดก็แสยะยิ้มแล้วเอ่ยทันที “และวันนี้คือวันคี่”
ดาวทำสีหน้างุนงงผสมความไม่พอใจ “อะไรเนี่ย คุณมาถึงมหาวิทยาลัยเพื่อบอกผมแค่นี้เหรอ คุณต้องการอะไรกันแน่”
จางฉวนทำหน้าเบ้ “เรียกชื่อเราสิ เรียกคุณอย่างนี้ดูห่างเหินจัง”
หนุ่มโอเมก้าเริ่มไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าวันนี้สองคนมาไม้ไหนกันแน่
จางหมิงเท้าเอวพูด “วันนี้คือวันคี่ เธอต้องคอย ‘ปรนนิบัติ’ เราสิ”
คนพูดเน้นคำว่าปรนนิบัติอย่างชัดเจน จนดาวฟังแล้วหน้าชา อับอายเพื่อนจนไม่กล้าหันไปมองหน้ารอน
จางฉวนทำหน้าหมดความอดทนกับบทสนทนาเยิ่นเย้อ เขารีบพูดตัดบท “เอาละ ในเมื่อเข้าใจแล้วก็อย่าเสียเวลา มากับเราได้แล้ว”
“ผมยังไปด้วยไม่ได้หรอกครับ เมื่อกี้รอนเพื่อนผมนัดไปกินข้าวกลางวันด้วยกันแล้ว” ดาวงอนิ้วโป้งไปหาหนุ่มใต้เพื่อบอกว่ารอนที่ว่าคือใคร
หนุ่มใต้ส่งยิ้มที่เคยเอาชนะใจคนส่วนใหญ่ได้ แต่ไม่ได้ผลกับสองแฝด ทั้งคู่แทบไม่มองหน้ารอนด้วยซ้ำ
แต่จางฉวนเหมือนนึกอะไรได้ เขากลับเอ่ยถามดาวเสียงเย็นชาว่า “ว่าแต่...นายคนนี้เป็นเพื่อนของดาวเหรอ”
แต่จางหมิงที่เอาศอกวางบนไหล่ของคู่แฝดหันมาถามรอนด้วยน้ำเสียงห้วน คู่ตาที่มองมามีแววคาดคั้น “แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น”
“ก็เพื่อนกันน่ะสิครับ ถามทำไมเนี่ย” ดาวขมวดคิ้วใส่แล้วตอบแทนเพื่อนผู้โชคร้าย
“อะ เอ้อคือว่าเรื่องนั้น...” รอนตอบไม่เต็มปาก เพราะคำถามของจางหมิงแทงใจดำหนุ่มใต้ เพราะเขาคิดเกินเพื่อน อันที่จริงอาจเรียกรอนว่าเป็น ‘เพื่อนสนิทที่คิดไม่ซื่อ’ ของดาวิชก็ได้ อย่างไรก็ถามตอนนี้ทั้งสองมีสถานะเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น
ดาวโคลงศีรษะอย่างรำคาญ “ถ้าเข้าใจแล้วก็ขอตัวนะครับ ผมกับรอนจะไปกินหมูกระทะกัน”
แต่พอได้ยินชื่อเมนูอาหาร สองคุณชายเลยทำท่าหยามเหยียดอย่างรุนแรง
จางฉวนถึงกับทำหน้าสะอิดสะเอียน “อะไรนะหมูกระทะเหรอ?”
จางหมิงเอาบ้าง “กินเข้าไปได้ยังไงอาหารไม่มีคุณภาพอย่างนั้น ไม่กลัวเป็นมะเร็งหรือไง”
รอนที่ยิ้มค้างมาตั้งนาน ตอนนี้หุบยิ้มแทบไม่ทัน ใบหน้าจืดเจื่อน
ดาวประท้วง “เฮ้ ทำไมพูดอย่างนั้นน่ะ หมูกระทะไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย แล้วอีกอย่างคือนาน ๆ ทีถึงกินด้วย ใช่ว่ากินทุกวันซะที่ไหน”
แต่รอนสัมผัสถึงรังสีอำมหิตได้ จึงรีบปลีกตัวอย่างรู้หลบเป็นปีก “งั้นวันนี้เราไม่กวนแล้วดีกว่า เอาไว้เจอกันนะ” แล้วเพื่อนของดาวก็ผละไปทันที แทบจะวิ่งหนีเลยด้วยซ้ำ
ดาวร้องเรียกเพื่อนแต่สายไปแล้ว “เดี๋ยวสิรอน”
สองแฝดเมื่อเห็นว่ามือที่สามหนีไปแล้ว พวกเขาจึงยืนตัวตรงอย่างลำพองใจก่อนเอ่ยว่า
“ถ้าอยากกินปิ้งย่างเดี๋ยวพาไปกินที่ดี ๆ เอง”
+++++
ดาวถูกสองคนนั้นพามาที่ร้านบาร์บีคิวที่มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าใหญ่ เป็นร้านที่ดูหรูหราจนหนุ่มโอเมก้าคิดว่าถ้ามาคนเดียวคงไม่กล้ากระทั่งจะหยุดมองหน้าร้านนาน ๆ ด้วยซ้ำ ในร้านมีเมนูทั้งแบบอะลาคาร์ตและบุฟเฟต์
ทั้งสองเลือกบุฟเฟต์แพ็กแกจที่ราคาแพงที่สุด รวมทุกอย่างแล้วสนนราคาเกือบคนละสามพันบาท
ตอนแรกดาวิชรู้สึกอึดอัด แต่พออาหารจานแรกเริ่มเสิร์ฟมาเท่านั้นละ เขาก็อ้าปากค้าง
ในเมนูมีอาหารให้เลือกไม่หวาดไม่ไหว หลายเมนูดูประดิดประดอยหรูหรา แถมบางอันยังปิดด้วยทองคำเปลวแผ่นเล็ก มีซอสเม็ดเล็ก ๆ สีดำที่จางฉวนบอกว่าเป็นทรัฟเฟิลบดผสมคาเวียหยอดลงมาอย่างประณีตเหนือคำของอาหารราวกับงานศิลปะ
ตอนบริกรเสิร์ฟเนื้อวัวสีสด มีลายมันแทรกสวยที่แผ่มาบนใบไม้ใหญ่รูปหยดน้ำที่ดูคล้ายใบหูกวางที่อยู่บนจานกระเบื้องอีกชั้น ดาวเห็นแล้วเกิดคำถาม
“แล้วทำไมต้องวางเนื้อบนใบไม้ด้วยล่ะครับ”
จางฉวนรีบตอบเพราะอยากอวดภูมิ “เพื่อความสวยงามแล้วก็จะได้ไม่ติดตะแกรงย่างไง”
จางหมิงอธิบายเพิ่มอย่างผู้รู้ “ถ้าย่างใบไม้พร้อมกับเนื้อ จะทำให้มีกลิ่นหอมขึ้นด้วย”
“บนใบหูกวางเนี่ยนะ? มีหนอนบุ้งที่มีขนคัน ๆ เยอะจะตายครับ”
สองแฝดเอียงคอ นั่นไม่ใช่ความรู้ที่เขารู้มาก่อน ตามมาด้วยการทำหน้างอ ท่าทางเสียหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่ใบหูกวางซักหน่อย เขาใช้ใบแมกโนเลียต่างหากล่ะยัยเซ่อ!”
ดาวทำหน้างง แต่สองคนนั้นไม่สนใจประเด็นเกี่ยวกับใบไม้อีก พวกเขารีบนำเนื้อลงไปย่างไฟ รอเพียงไม่นานแค่พอสุก เนื้อชั้นดียังคงความชุ่มฉ่ำไว้
แล้วจางหมิงก็คีบมันใส่จานให้ดาวทันที
“กินสิ อร่อยนา”
ดาวแปลกใจที่ฝาแฝดทำทีเหมือนเอาใจเขา แต่ด้วยความน่าอร่อยแทบน้ำลายหกของอาหารจึงลองชิม แค่คำแรกก็พบว่าเนื้อนั้นนุ่มจนละลายในปาก เขาไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
จากเนื้อย่างก็เป็นเมนูอื่น ๆ สองเจ้ามือสั่งจานแล้วจานเล่าไม่ยอมหยุด
และน่าแปลกที่ดาวก็เอนจอยกับอาหารมื้อนี้มากทีเดียว
จางฉวนเท้าคาง มองของเล่นตรงหน้าอย่างทึ่ง “เธอนี่ตัวเล็กนิดเดียวแต่กินเก่งไม่เบานะ”
ดาวรู้สึกอับอายขึ้นมา หรือคนพวกนี้จะเป็นว่าเขาเป็นคนบ้านนอก พอได้กินของแพงหน่อยเลยสวาปามไม่ยั้ง หนุ่มจากสงขลารีบสวนกลับทันที “อ้าว ก็คุณชวนผมมากินบุฟเฟต์ไม่ใช่เหรอ”
หนุ่มตัวใหญ่สองคนที่หน้าเหมือนกันเอียงคอฟัง สีหน้าไม่นึกฝันว่าดาวจะกล้าพูดอย่างนี้ออกมา
จางหมิงจึงใช้กำปั้นเขกหัวคนตัวเล็ก “นี่แน่ะ ตั้งแต่เป็นของเล่นเราแล้วปากกล้าขึ้นเยอะนะ”
“โอ๊ย มาเขกหัวผมทำไมเนี่ย”
จางหมิงทำปากล่างยื่นก่อนจะแลบลิ้นออกมา “เผื่อจะหายดื้อ และกลายเป็นของเล่นที่ว่าง่าย”
ดาวมองอย่างแปลกใจ กิริยาเมื่อกี้ที่ฝาแฝดทำ ทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่น่ารักน่ามองพอตัวทีเดียว “เผอิญผมเป็นของเล่นที่ไม่ใช่สิ่งของด้วยสิ”
จางฉวนกอดอกทำท่าเอาเรื่องอย่างไม่จริงจังนัก “งั้นเธอเป็นอะไรล่ะ”
ดาวทำหน้าเลิ่กลั่ก แล้วตอบแบบส่ง ๆ ไปว่า “คงเป็นแมวละมั้ง”
ไม่น่าเชื่อที่สองคนกลับหัวเราะลงลูกคอพร้อมกันเพราะคิดว่าดาวปล่อยมุก “เออจริง แม่แมวน้อย พวกเราจะคอยดูสิว่าเธอจะลงเล็บใส่หลังเราได้เจ็บแสบขนาดไหน”
ดาวถึงกับงงว่าสองคนโยงมาถึงเรื่องนี้ได้ยังไง “พวกคุณหมายถึงลงเล็บตอนไหนน่ะ”
“ก็ตอนที่พวกเราเล่นเธอยังไงล่ะ” คนพูดชี้หน้าดาว บอกว่าเธอนั่นละคือของเล่น
“หึ พูดอะไรก็ไม่รู้ นี่มันในร้านอาหาร ไม่กลัวคนอื่นได้ยินรึไง”
สองตัวแสบกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
แล้วจางหมิงก็เท้าคางส่งยิ้มยียวน มือก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารกินไปด้วย
“ว่าแต่ยัยดาว…”
“ครับ”
“พอได้คุยกัน เธอก็ไม่ได้ซื่อบื้อไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างที่พวกเราคิดไว้แต่แรกสักหน่อย”
ดาวแปลกใจ เพราะเขาเองก็คิดว่าการมากินข้าวกับสองแฝดก็ไม่กดดันหรือน่าเบื่ออย่างที่คิดเช่นกัน
ต่อจากนั้นทั้งสามหนุ่มก็เพลิดเพลินกับรสชาติอาหารและบทสนทนาที่ร้านบาร์บีคิวพรีเมียมแห่งนี้อีกเป็นชั่วโมง ๆ
+++++
สองคนยังทำให้ดาวแปลกใจไม่หยุด หลังจากกินเสร็จ พวกเขาก็ชวนว่า
“ไปเดินเล่นย่อยอาหารกันเถอะ”
และไม่ใช่แค่การเดินเล่น แต่ทั้งสองพาดาวิชไปร้านบูทีคสุดหรู ซื้อโน่นซื้อนี้ให้ไม่หยุดจนข้าวของเต็มมือของทั้งสามคน
ในที่สุดจางฉวนก็ทนไม่ไหว “เรียกไอ้เดชมาเอาของไปหน่อยสิ”
ผู้ช่วยที่วันนี้ทำหน้าที่หลายอย่าง ก็รีบมารับถุงชอปปิงมากมายจนพะรุงพะรังไปหมด พอเขาเห็นดาวก็แอบชูนิ้วโป้งให้คุณผู้หญิงที่เขาเชียร์ ก่อนจะแบกถุงหลายสิบใบไปเก็บที่รถตู้
ดาวมองแล้วครุ่นคิดว่าตกลงสองคนนี้เล่นกันอะไรกันแน่ หรือนี่คือส่วนหนึ่งของการ ‘เล่นของเล่น’ ของฝาแฝดจางฉวนและจางหมิงหรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นการมารับเขาด้วยตัวเองถึงมหาวิทยาลัย ชวนมากินข้าว แถมยังซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับ น้ำหอม แม้กระทั่งชุดชั้นในด้วย มิหนำซ้ำยังเรียกผู้ช่วยมาอำนวยความสะดวกให้อีก
ทำเหมือนดาวเป็นคุณผู้หญิงของสองแฝดขึ้นมาเสียจริง ๆ
และนั่นทำให้โอเมก้าที่กลายเป็นของเล่นสับสนไปหมด
ที่ห้องส่วนตัวของดาว หนุ่มโอเมก้าเดินกลับมาหาสามอัลฟ่าคุณชายที่แทบนั่งไม่ติดด้วยความกระวนกระวายพอเห็นหน้าเจ้าของห้องก็รีบถามทันที“เป็นไง เธอเข้าใจพวกเราแล้วใช่ไหม”ดาวพยักหน้าเร็ว ๆ “ครับ”ภรรยาเดินมานั่งเก้าอี้ที่หนึ่งในแฝดรีบสละให้ทันที พอนั่งลงดาวเขาก็ยังก้มหน้านิ่ง ไร้คำพูดคำจาสามคุณชายทนไม่ไหว รีบผลัดกันถามภรรยาของพวกเขา“เป็นยังไงบ้างล่ะดาว ท่านปู่ว่าอย่างไรบ้าง”“เธอรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากคุณปู่แล้วใช่ไหม”“ถ้าเธอได้รู้จะได้เข้าใจที่มาที่ไปของพวกเราทั้งหมด…ว่าทำไมเราถึงไม่ชอบเธอในตอนแรก”เมียที่กลายเป็นของเล่นตอบแต่ไม่เงยหน้า “สำหรับเรื่องนั้นท่านปู่จางอี้เทาเล่าให้ผมฟังแล้วเหมือนกันครับ”ดาวทราบแล้วและเข้าใจเหตุผลว่าทำไมทั้งสามถึงอาละวาดและตามมาข่มเหงเขาแทบแย่เมื่อรู้ว่าเมียแต่งของพวกตนเป็นโอเมก้า แต่ถ้าพูดอย่างยุติธรรม การกลั่นแกล้งก็คือการกลั่นแกล้ง ไม่อาจซักฟอกให้เป็นสิ่งถูกต้องได้นั่นคือสิ่งที่ดาวคิด แต่แล้วก็ถอ
สามคุณชายยอมให้ดาวใช้เวลาส่วนตัวคุยกับท่านปู่จางอี้เทาโดยพวกเขาไม่เข้ามารบกวนสองแฝดออกตัวว่า‘เผื่อเมียของเราอาจมีเรื่องลับ ๆ อยากคุยกับท่านปู่’‘หรือในทางกลับกันท่านปู่ก็อาจมีอะไรลับ ๆ อยากบอกหลานสะใภ้ก็ได้’‘เอ๊ะ คุณสองคนพูดอย่างนี้แปลว่าอะไรแน่!’ ดาวทำเสียงดุใส่ เขาแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่สถานะระหว่างเขากับสามคุณชายดูจะสลับบทกันอย่างไรบอกไม่ถูกส่วนเจียเหาได้แต่ยิ้มบาง ๆ ก้มหน้าแล้วกอดไหล่น้องชายแฝดเดินหลบมุมไปเงียบ ๆดาวรู้ว่า ก่อนหน้านั้นคุณชายใหญ่เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อี้เทาฟังคร่าว ๆ แล้วว่า ที่คฤหาสน์หลานสะใภ้ได้ยินเรื่องที่ปู่เล่าให้พวกหลาน ๆ ฟัง และไม่พอใจอย่างรุนแรงจนหนีกลับบ้านดาวได้ยินแล้วทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากชูกำปั้นใส่ด้วยที่คุณชายยังใช้คำว่าหนีกลับบ้านไม่เลิก มันฟังเหมือนดาวเป็นแค่เด็กเอาแต่ใจไม่มีผิดตอนนี้ในโทรศัพท์ของเจียเหามีหน้าคุณปู่อยู่ในนั้น ใบหน้าของท่านยังใจดีอย่างเคย[หนูดาวสบายดีไหม][สบายดีครับ แล้วท่านปู่ละครับ]หนุ่มน้อยโอเมก้าว่าที
สามคุณชายเอ่ยเสียงลั่นเกือบพร้อมกันว่า “แล้วเราต้องขอโทษยังไงเธอถึงจะเชื่อล่ะ”แล้ว ณ ตอนนั้นสะใภ้จากสงขลาไม่รู้นึกอย่างไร เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโพล่งไปว่า“ตามธรรมเนียมคนบ้านผม ถ้าเราอยากให้คนที่เราตั้งใจขอโทษรู้ว่าเราสำนึกผิดจริง ๆ จากใจ ไม่มีทางอื่นเว้นแต่เราต้องกราบขอโทษแทบเท้าคนสำคัญของเขา”สามอัลฟ่าได้ยินแล้วถึงกับทำตาเบิกโพลง “ฮะ?! นั่นหมายถึง…”ดาวิชพยักหน้าแล้วเม้มปากล่าง “หมายถึงเท้าพ่อกับแม่ของผม”คราวนี้ถึงตาสามคุณชายไฮโซถึงกับอึ้งไปนานเลยแต่แล้วก็มีเสียงขัดจังหวะ เมื่อพ่อกับแม่ร้องบอกอย่างร่าเริงว่า“อาหารเย็นพร้อมแล้วมากินข้าวกันเถอะ”+++++อีกไม่นานอาหารง่าย ๆ ข้าวสวยร้อน ๆ น้ำพริกกับผัก และกับข้าวอีกสามสี่จาน–ยำกุ้งหวาน ปลาเล็กปลาน้อยทอดกรอบ กับไข่เจียวใบโหระพาฟูนุ่มก็พร้อมเสิร์ฟ“กินสิขรับคุณ ๆ อาจไม่ถูกปากนัก เพราะของสดที่เอามาทำก็ของพื้น ๆ ชาวประมงแถวนี้ พวกเราจับเอง เหลือก็เอาแบ่งกันกิน
ดาวกลับมาอยู่ที่อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา บ้านเกิดของเขาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วการตัดสินใจแค่ไม่กี่นาทีส่งผลให้ชีวิตของดาวเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความเป็นอยู่ที่นี่สงบเงียบเรียบร้อย จนหนุ่มโอเมก้าไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือชีวิตเดียวกับตอนที่เป็นของเล่นของสามคุณชายที่คฤหาสน์และวันธรรมดาวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อกับแม่นั่งกินข้าวกลางวัน ส่วนดาวล้างจาน พ่อกับแม่ถามคำถามกับลูกเพราะเพิ่งนึกได้“ดาวเอ๊ย ตกลงแกไม่ได้ทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วเหรอ”ลูกชายหรี่ก๊อกน้ำแล้วหันมาตอบ “เปล่าแล้วจ้ะแม่”พ่อกับแม่มองด้วยสีหน้านิ่งอย่างสงสัย แต่ไม่ถามอะไรที่กดดันอย่างเช่น ‘แล้วจะทำอะไรต่อ’ ทั้งคู่รู้ดีกว่าลูกชายของพวกตนไม่ใช่คนหลักลอยเหลวไหลคราวนี้เป็นตาพ่อถามบ้าง “เอ้อ พ่อว่าจะถามเรื่องค่ารักษาของพ่อ หนูไปเอาเงินมาจากไหน”“อ๋อ” ดาวชะงัก แต่ก็รีบแก้ตัวว่า “หนูไปคุยกับหมอและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลมาแล้วจ้ะ ใช้สิทธิบัตรทองได้ ของแม่ก็เหมือนกันนะ ไม่ต้องกังวล”พ่อกับแม่กลืนอาหา
“นั่นเลยเป็นที่มาตั้งแต่ก่อนพ่อแกจะตาย เราถึงเฝ้าเพียรพยายามหาคนที่ใช่ และมันไม่ง่ายเลย เราใช้เวลานานหลายปี หลายคนที่คุณสมบัติใช่แต่เขาไม่ร้อนเงิน ไม่มีเหตุผลที่จะยอมลำบากมาแต่งงานเป็นสะใภ้ตระกูลจาง มีหนูดาวนี่ละลงตัวที่สุด เป็นดอกบัวขาวอย่างที่เรามองหา แถมฐานะที่บ้านยังขัดสน”ชายชราเว้นช่วงเพื่อให้ความจริงตกตะกอนในสมองทึบ ๆ ของสามหลายชาย ก่อนจะย้ำด้วยประโยคอันเด็ดขาดและเสียงดังว่า“แกคิดว่าจะหาโอเมก้าคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างนี้ได้ง่าย ๆ หรือไง!”สามคุณชายพูดอุบอิบ รู้สึกผิดหวังอะไรสักอย่างกับตัวผู้ให้กำเนิด “แล้วทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยบอกพวกเราเรื่องนี้เลย”“พ่อแกเคยมาปรึกษาฉัน แล้วเราก็ตกลงว่า จะดีกว่าถ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นความลับ”สามคนถามโดยพร้อมเพรียง “ทำไมล่ะครับ”“การรู้จุดด้อยของตัวเองเร็วเกินไปส่งผลไม่ดีต่อความมั่นใจ โดยเฉพาะในช่วงที่แกเปลี่ยนจากวัยรุ่นกลายเป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัว พ่อแกรู้ว่าสักวันตำแหน่งหลงโถวของเขาจะต้องถูกส่งต่อให้พวกแกคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นย่อมไม่ดีแน่ถ้า
เจียเหาในฐานะพี่ใหญ่รวบรวมความกล้าเอ่ยถามท่านปู่ตรง ๆ“ดะ…ดาวเอาเรื่องนี้มาบอกคุณปู่เหรอครับ”“เปล่า ฉันรู้เอง ดังนั้นพวกแกอย่าเอาเรื่องนี้ไปโทษเขาล่ะ เขาไม่ได้เอามาฟ้องฉัน”ตอนแรกอี้เทากระหยิ่มในใจ แผนการโยนหินถามทางกับสามคุณชายปากแข็งน่าจะสำเร็จ ชายชราแค่ลองปะติดปะต่อเรื่องเอาเองแล้วเอ่ยโพล่งออกไป ซึ่งพอเห็นปฏิกิริยาของสามคุณชายเลยฟันธงว่าน่าจะเข้าใจถูกในประเด็นที่ทั้งสามคงตกลงอะไรบางอย่างกับดาวเกี่ยวกับสถานะความเป็นเมียแต่อี้เทาเป็นคนยุติธรรม เขาอยากให้ทั้งสามคุณชายเป็นผู้ใหญ่ เป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่กล้ายอมรับเองว่าพวกตนทำอะไรไว้ทั้งสามนั่งตัวลีบแต่ยังปากแข็งไม่ยอมรับเวลาผ่านไป เข็มนาฬิกาของนาฬิกาคุณปู่ หรือนาฬิกาโบราณตั้งพื้นเรือนใหญ่ดังติ๊ก ๆ อย่างต่อเนื่องขนาดอี้เทาเป็นคนอารมณ์เย็นยังหมดความอดทน“ไอ้พวกหลานโง่ นี่ฉันทนพวกแกไม่ไหวแล้วนะ!”สามคนทำหน้าซีด แต่ยังปากแข็งไม่ยอมพูดสักคำท่านปู่จางอี้เทาทนไม่ไหวอีกจึงกระชากเสียงถามหลานชายจอมมึน“แกรู้ไหมว่า