“เราแต่งงานกันเถิด...”
เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยปากขอกันตามตรง ยามเราสองนั่งเคียงข้างกันอยู่ใต้ต้นดอกเหมยบานสะพรั่ง ในกลางฤดูเหมันต์
หิมะสีขาวเย็นเยียบไม่อาจทำให้พวกเราหนาวเหน็บแต่อย่างใด ในหัวใจมีเพียงความรู้สึกอุ่นซ่าน เรือนร่างร้อนผ่าวไปทั่วทุกอณู ผิดกับอากาศตามฤดูกาลในยามนี้ยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนก้มหน้าหลุบตา พวงแก้มซับสีเลือดอย่างไม่อาจห้ามได้ นางขบฝีปากล่างอย่างเขินอาย บังเกิดเป็นภาพชวนวาบหวามแก่ใจชายผู้กำลังขอนางแต่งงาน
หลี่ชางใช้เรียวนิ้วเชยปลายคางมนของหญิงคนรักให้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาคมของเขา ที่บัดนี้ฉายแววฉ่ำลึกเข้มข้น เผยขุมเพลิงสั่นระริกแห่งเสน่หาชัดเจน
“ข้ารักเจ้า เหลียนเอ๋อร์ รักเหลือเกิน”
เสียงทุ้มพร่าฟังดูเย้ายวนใจเอ่ยออกมาจากปากบางเฉียบอีกครา ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะก้มลงมา แล้วจรดกลีบปากแดงจิ้มลิ้มของนางแทนคำตอบที่นางควรเอ่ย
เฮ่อเหลียนหลับตาพริ้มยอมรับรสสัมผัสแสนพิเศษจากการจุมพิตของชายคนรักอย่างยินดี
นี่คือการตอบรับคำขอแต่งงาน...
หลี่ชางละเลียดชิมกลีบปากนางอย่างนุ่มนวลเนิ่นนานก่อนจะค่อยๆ ผละออกด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“เจ้าตกลงแต่งให้ข้าแล้ว”
เขาเอ่ยเสียงทุ้มแผ่ว มองหญิงคนรักอย่างอ่อนโยน จ้องลึกเข้าไปในดวงตานาง
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ อย่างขวยเขินเกินจะกล่าว พวงแก้มของนางแดงก่ำไปทั่วราวกับผลอิงเถา ลำคอระหงขึ้นสีแดงเรื่ออย่างไม่อาจควบคุมได้
หลี่ชางเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มอบอุ่นเอ่ยอย่างจริงใจ
“ข้าหลี่ชางขอสัญญาว่าจะเป็นสามีที่ดีให้เหลียนเอ๋อร์ และจะมีเพียงเหลียนเอ๋อร์คนเดียวตลอดไป”
เส้นเสียงทุ้มต่ำที่แสนน่าฟังให้ความรู้สึกหนักแน่นและมั่นคงสุดจะหยั่ง เฮ่อเหลียนถึงกับชะงักงันก่อนจะช้อนตามองชายตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง
“จริงหรืออาชาง ท่านพูดจริงหรือ?”
หญิงสาวถามเสียงสั่นอย่างไม่อาจห้ามใจ ใดๆ ในโลกล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปเมื่อเทียบกับคำสัญญานี้
ชายหนุ่มพยักหน้าให้หญิงสาวแล้วเอ่ยปากอีกครา
“ข้าจะรักเจ้าเพียงผู้เดียวตลอดไป เหลียนเอ๋อร์...”
แววตาคมเผยความนัยตามประโยคทุกคำ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มละมุนตา พาหัวใจของเฮ่อเหลียนแทบโบยบิน
“ข้าก็รักท่าน ข้ารักหลี่ชางเพียงผู้เดียว ตลอดไป...”
นี่คือคำสัญญาแห่งเราสอง ก่อนการแต่งงานจะบังเกิด
หญิงสาวแรกแย้มนามเฮ่อเหลียนในวัยสิบห้าปีได้พบรักกับชายหนุ่มผู้หล่อเหลาจริงใจนามว่าหลี่ชางในวัยสิบแปดปี
ทั้งสองคบหากันจนรู้แจ้งในหัวใจว่ารักมั่นต่อกันอย่างแท้จริงภายในหนึ่งปี ในวันที่เฮ่อเหลียนอายุครบสิบหกปีบริบูรณ์ และหลี่ชางอายุได้สิบเก้าปีพอดิบพอดี จากนั้นการสู่ขอถูกดำเนินการอย่างถูกต้องทุกสิ่งพิธีมงคลสมรสล้วนจัดตามพิธีการอย่างสมเกียรติครบถ้วนไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย
กระทั่งส่งตัวเข้าหอ การร่วมรักระหว่างเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเกิดขึ้นอย่างสุขสม
เนื่องจากความรักของทั้งสองคนถูกบ่มเพาะจนสุกงอมเต็มที่ เสียงครวญครางแว่วหวานผสานเสียงครางแหบต่ำจึงบังเกิดจนรุ่งสาง
หลังจากนั้นในทุกค่ำคืนยังคงดื่มด่ำรสสวาทแห่งเพลิงปรารถนาที่ลุกโชนทุกค่ำคืน
หากจะมีชายหญิงคู่ใดที่รักกันหวานล้ำทุกวันคงไม่พ้นสามีภรรยาคู่นี้
ความรักของหลี่ชางและเฮ่อเหลียนผลิดอกบานสะพรั่งไม่มีร่วงโรย คงเหลือเพียงออกผลให้วงศ์ตระกูลก็เท่านั้น
สกุลหลี่เป็นคหบดีที่ร่ำรวยมาก มีอาชีพวาณิชทำการค้าทั้งในและนอกเมืองอย่างมั่นคง หากแต่คฤหาสน์ของหลี่ชางกลับมีสมาชิกไม่มาก หากไม่นับบรรดาบ่าวรับใช้ในคฤหาสน์ ก็มีเพียงนายท่านผู้เฒ่าหลี่และฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เท่านั้นที่เป็นใหญ่ในบ้าน
หลี่ชางเป็นบุตรชายคนเดียวและเป็นผู้สืบทอดตระกูลอย่างแท้จริง เมื่อหลี่ชางแต่งงานกับเฮ่อเหลียน ครอบครัวหลี่จึงมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ในทุกค่ำคืนนอกจากอยู่ร่วมกับสามีในห้องหับมิดชิดอย่างไม่มีเบื่อแล้ว ในทุกย่ำเช้าเฮ่อเหลียนจึงมีอีกหน้าที่หนึ่งคือดูแลพ่อสามีและแม่สามี ดูแลจัดระเบียบบ่าวไพร่ก็เท่านั้น
ส่วนงานนอกบ้าน การค้าต่างๆ รวมถึงบัญชีทุกเล่มล้วนเป็นหลี่ชางที่ต้องเหน็ดเหนื่อยหัวหมุน เฮ่อเหลียนแทบไม่ต้องหยิบจับงานหนักให้เหงื่อออก
ทุกวันทั้งสี่คนในครอบครัวยังต้องร่วมกินข้าวดื่มน้ำชาด้วยกันอย่างรักใคร่กลมเกลียวเสมอมา เฮ่อเหลียนให้รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก นางคิดไม่ผิดจริงๆ ที่แต่งงานกับหลี่ชาง
ชายหนุ่มผู้เป็นสามีทั้งรักและทะนุถนอมหญิงสาวผู้เป็นภรรยาหนึ่งเดียวอย่างดี มอบความรักให้เพียงนางเสมอมา คำพูดคำจาไม่เคยมีให้เจ็บช้ำน้ำใจแม้ครึ่งคำ
ยามที่หลี่ชางกับนายท่านผู้เฒ่าหลี่ต้องออกเดินทางไกลไปติดต่อการค้าต่างเมือง ที่บ้านจึงคงเหลือเพียงเฮ่อเหลียนอยู่ดูแลฮูหยินผู้เฒ่า แม่สามีและลูกสะใภ้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ล้วนไม่เคยเกิดปัญหาใด
จวบจนวันหนึ่ง ข่าวดีสำหรับบ้านหลี่หากแต่เป็นข่าวร้ายสำหรับสองสตรีหลังเรือนก็มาถึงหลี่ชางตบแต่งอนุภรรยาเข้ามาอีกหนึ่งคน!ครานี้อนุของเขางดงามมากนัก ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักจิ้มลิ้ม มีรอยยิ้มพริ้มเพรา ดวงตาของนางกลมโตทั้งพิสุทธิ์กระจ่างใสดั่งวารีตกผลึกแวววาว ร่างระหงอ้อนแอ้นแช่มช้อยน่านวดเคล้าไปหมดทุกสัดส่วนมองแล้วให้รู้สึกลมหายใจยังสะดุด หัวใจพานจะละลายอ่อนยวบเสียให้ได้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลี่ชางจักตื่นเต้นปานใดคืนส่งตัวเข้าหอ คืนนั้นหลี่ชางทำสตรีนางน้อยผู้นี้ร้องร่ำไม่เป็นภาษา ส่งเสียงครวญครางแหบพร่าใส่หน้ากันทั้งคืนเสียงเตียงนอนยังโยกคลอนดังลั่นสนั่นหวั่นไหว สั่นสะเทือนเสียจนกำแพงห้องแทบถล่มลงมาเหตุที่เฮ่อเหลียนล่วงรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ?ก็เพราะฟางเอ๋อร์มารบเร้าให้นางพาไปแอบฟังเสียงอยู่ริมหน้าต่างตรงมุมอับร้างผู้คน เหตุผลก็เพราะเฮ่อเหลียนยังคงแอบฟังคราวหลี่ชางกับฟางเอ๋อร์ร่วมรักกันนั่นเองถือว่าเป็นการไถ่โทษ ฟางเอ๋อร์ยอมหายโกรธเฮ่อเหลียนและจะไม่พูดถึงมันอีกเฮ่อเหลียนได้แต่ยิ้มขื่น เจ็บระบมอยู่ในอกข้างซ้าย น้ำตาแทบสะกดกลั้นเอาไว้มิได้ยามนั่งเศร้าอยู่ริมหน้าต่าง ท่ามกลางราตรีอันมืดดำ
แม้ในใจจะเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงปานถูกเหล็กร้อนจ้วงแทงทุกวัน แต่เฮ่อเหลียนยังคงพยายามคิดในแง่ดีเสมอมา ว่าหลี่ชางยังคงรักนางไม่เสื่อมคลาย นางคิดว่าอย่างน้อยสามีก็ยังรักนาง ถึงแม้ว่าเขาจะรักสตรีอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนหญิงสาวคิดด้วยหัวใจที่ยังรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังเจ็บปวดเพราะเขาไม่สร่างซา ก็ยังอดทนอย่างโง่งมเสมอมาเป็นความจริงที่ว่า บ้านอื่นอาจจะมีสตรีที่ต้องแบ่งปันสามีมากกว่านี้หลายเท่าตัวนัก พวกนางล้วนหน้าชื่นอกตรมไม่ต่างจากนางยิ่งเป็นฝ่ายภรรยาเอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกนางต่างต้องรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนทุกสิ่ง ดูแลพ่อแม่สามีมิให้ขาดตกบกพร่อง และยังต้องพะวงกับการเก็บอารมณ์อย่างยากลำบาก มิให้แสดงความหึงหวงออกมาซึ่งตัวนางล้วนทำได้ดี นางทำได้ นางต้องทำ...หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นจากหมอนแล้วอิงร่างบางกับกำแพงข้างที่นอนอยู่เงียบๆ พลางครุ่นคิดไปถึงสตรีบ้านอื่นที่มีชะตาชีวิตเหมือนกัน เพื่อปลอบใจตนเองในคืนเดียวดาย คืนที่สามีนางกำลังไปนอนกอดกับสตรีอีกคน...เวลาแห่งความทรมานคืบคลานผ่านไปอย่างช้าๆ ช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกแต่กระนั้นเช้านี้กลับมีเสียงแทรกจากฮูหยินผู้เฒ่าว่าเวลาช่างผ
หญิงสาวนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา นางนั่งมองชายหนุ่มข้างกายอยู่นิ่งๆ เห็นเขาส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ เป็นรอยยิ้มละมุนตาที่นางโหยหาทุกค่ำคืนเฮ่อเหลียนหลับตาลงอย่างช้าๆ นึกปวดแปลบอยู่ในใจหลี่ชางบอกว่าฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้ว จึงได้มารับนางกลับไป เขาหมายความว่าอย่างไร?หลี่ชางคล้ายเข้าใจคำถามนั้นของเฮ่อเหลียน ถึงแม้ว่านางมิได้เอ่ย แต่คำตอบกลับออกมาจากปากเขาช้าๆ เพื่ออธิบาย“การที่ฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วหนึ่งเดือนหลังจากที่เข้าหอกับข้าเพียงสองเดือน นั่นก็แสดงว่าร่างกายของข้าปกติดี”ประโยคนี้ทำผู้ฟังได้แต่อึ้งงัน หมายความว่าเป็นนางที่ร่างกายบกพร่องเพียงผู้เดียวใช่หรือไม่?“เจ้าอย่าด่วนคิดมากไป” อีกครั้งที่หลี่ชางเอ่ยอย่างเข้าใจเฮ่อเหลียน “ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า เมื่อมีสตรีมารับหน้าที่ตั้งครรภ์แทนเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทายาทอีก จากนี้เราอยู่กันแบบสามคนสามีภรรยาด้วยดีเถิด ข้ายังคงรักเจ้าเช่นเดิม”อ้อ...กระนั้นหรือ?หญิงสาวตอบคำเขาอยู่ในใจ หาได้เอ่ยออกมาไม่ นางมิรู้ว่าควรคุยกับเขาอย่างไรดีความรู้สึกเจ็บลึกยังคงมีไม่สร่างซาคำว่าสามคนสามีภรรยาล้วนเสียดแทงใจแต่ทว่านางกำลังรู้สึกบางอย่างที่เขา
เฮ่อเหลียนพาซือจิงที่ร่างกายบอบช้ำจากการถูกโบยมารักษาตัวที่บ้านเดิมของตน สินเจ้าสาวก็มิได้นำมาคนบ้านเฮ่อต่างมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางถึงเป็นสตรีจิตใจคับแคบ แค่สามีรับอนุเข้าบ้านเพียงหนึ่งคนต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และคำต่อว่าอีกมากมาย ทั้งเรื่องที่คนในบ้านล้วนอับอายเพราะนางเป็นสตรีที่หย่าสามีกลับมาเช่นนี้ คนทั้งบ้านเฮ่อ ทั้งบิดาและมารดาเลี้ยงทั้งหลาย ล้วนกล้ำกลืนฝืนทนกับการกลับมาเยือนอย่างไร้เกียรติเช่นนี้ของเฮ่อเหลียนทุกคนของสกุลเฮ่อ ต้องถูกชาวบ้านเหยียดศักดิ์ศรีอย่างไม่เหลือดีเพราะสตรีหย่าสามีเป็นเรื่องน่าอับอายเฮ่อเหลียนมิใช่ไม่รู้สึก นางเป็นคนธรรมดาย่อมอับอายยิ่งกว่าพวกเขาอย่างที่สุดคำว่าใจร้อน ใจแคบ ล้วนดังเข้าหูให้นางได้ยินทุกวัน และนางก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางไม่คิดปฏิเสธแต่จะให้นางทำอย่างไร นางในยามนี้เจ็บปวดเหลือเกินไยไม่มีใครเข้าใจ...สามเดือนหลังจากนั้น นับได้ว่านานเกินพอที่ซือจิงจะหายดี หากแต่สภาพจิตใจของเฮ่อเหลียนกลับไร้ทางเยียวยาซือจิงเห็นนายสาวยังไม่หายเศร้าโศกจึงเอ่ยปากชวนกันไปเที่ยวนอกบ้าน สถานที่ปลายทางคือชานเมืองที่มีป่าผืนน้อยร้างผู้คน ข่าวว่า
“เจ้าทำสิ่งใดลงไป? เหลียนเอ๋อร์!”เส้นเสียงทุ้มต่ำของนายท่านผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างตำหนิมาทางเฮ่อเหลียนตามด้วยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าไยทำตัวไม่มีเหตุผลเช่นนี้ สตรีเราเมื่อไม่สามารถมีทายาทให้สามี หากไม่ถูกขับออกก็ต้องยินดีที่จะมีสตรีอื่นมาแบ่งเบา ไฉนเจ้าไม่เข้าใจ เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดที่บ้านใด เจ้าจะเห็นแก่ตัวมิได้”ฮูหยินเอกหมาดๆ แห่งคฤหาสน์หลี่ทำได้เพียงเงียบงัน ไม่ต่อวาจาใดนายท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่? ว่าฟางเอ๋อร์ หาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า ข้าต้องลำบากออกปากเนิ่นนานกว่าที่บิดามารดาของนางจักยินยอมให้แต่งเป็นเพียงอนุของอาชาง”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมอีกครั้งอย่างรู้สึกผิดต่อสตรีผู้นั้นเป็นอย่างมาก “ใช่แล้วเหลียนเอ๋อร์ เมื่อเช้านี้เจ้าทำฟางเอ๋อร์ตกใจจนร่ำไห้ไม่หยุด ปากก็ร่ำๆ ว่าจะกลับบ้านไป ไม่สืบทายาทแล้ว”เฮ่อเหลียนยืนนิ่งอึ้งฟังประโยคเหล่านั้นด้วยหัวใจแข็งกระด้างเย็นเยียบสตรีนางนั้นเป็นคุณหนูสูงส่ง ยอมลดตัวแต่งเป็นแค่อนุต่ำต้อยให้หลี่ชาง สามารถมีทายาทให้บ้านหลี่ได้ชื่นใจ ทุกคนดูเกรงอกเกรงใจต่อนางเหลือเกินเมื่อเห็นภรรยาของบ
พวกเขาคงมีความรู้สึกบางอย่างต่อกันมาพอควรแล้ว ทั้งยังคงสานสัมพันธ์กันลับหลังนางมาแล้วระยะหนึ่งมิเช่นนั้นพวกเขาจะแต่งงานกันภายในวันเดียวหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกหานางได้อย่างไรเมื่อคิดได้กระจ่างแจ้งเช่นนั้น เฮ่อเหลียนจึงยกมือปาดน้ำตาด้วยตนเอง แล้วเงยหน้ามองชายผู้เป็นสามีอย่างเต็มตา เห็นเขาก้มหน้ามองนางอย่างละอายแก่ใจอยู่บ้างแต่แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อเขาเลือกที่จะทำลงไปแล้ว...หญิงสาวกลั้นใจถามออกไปอย่างยากลำบาก “ท่านกับนางมิใช่ว่าเคยเจอกันครั้งแรกใช่หรือไม่? อาชาง”น้ำเสียงเย็นเยียบทำผู้ถูกถามต้องหลบตา ซึ่งนั่นคือคำตอบโดยไม่ต้องเอ่ย ผ่านไปนานทีเดียวกว่าเส้นเสียงแหบพร่าจะตอบกลับมา“ข้าเฟ้นหาสตรีที่พอจะมีทายาทให้ข้าได้ และคนที่บ้านของฟางเอ๋อร์ก็มีลูกง่ายกันทุกคน”“อ้อ...” เฮ่อเหลียนตอบรับเสียงแหบแห้งสะเทือนอารมณ์ในน้ำเสียงนั้นนางเย้ยหยันเขาและตนเองไปพร้อมกัน “เช่นนั้นหรือ?”หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ แต่ทว่าดวงตาของนางกลับสะท้อนความขมขื่นเต็มไปหมด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเย็นชานางไม่อาจไม่เข้าใจ…หญิงสาวไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะคิดเข้าข้างตัวเองหรือสามีอีกต่อไป ว่าเขายังค