ค่ำคืนที่ดวงจันทร์ทอแสงนวลใย ภายในห้องน้อยบนเรือนไม้ใต้ถุนสูง “ย่าเกด” กอดประคองหลานสาวตัวน้อย “มับไม” ไว้ในอ้อมแขน พลางเล่านิทานโบราณด้วยน้ำเสียงกังวาล
“อินทร์ก็ใส่ชื่อน้อย ในเลขลานคำ
ชื่อว่า สังสินไซ โลกลือฤทธีกล้า...”
เด็กน้อยทำตาโตพลางกำชายเสื้อของย่าแน่นด้วยความตื่นเต้น
“พญาซ้างฉัททันต์สิพาหลานเดินดงไปพ้อขุม...”
หญิงชรายังเล่าไม่ขาดคำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงผลักประตูบานเฟี้ยมอย่างแรง แผ่นไม้จนกระแทกกับผนังห้องดังปัง! ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีไม่พอใจ ขณะที่ “นางจันสี” รีบเข้ามาอุ้มลูกสาวของตนออกมา
“แม่เอาอีกแล้วเซาๆอย่าเล่าเรื่องแบบนี้ให้หลานฟังอีกเด้อมันบ่มีดอกสิ่งที่แม่ว่าน่ะ” น้ำเสียงของนายเคนทั้งหงุดหงิดทั้งอ่อนใจกับผู้เป็นแม่
“มันสิบ่มีได้จังได๋มันเป็นภารกิจของตระกูลที่ต้องรักษาไว้ให้เจ้าของเพิ่นเดลูก”
“ผู้ได๋ล่ะแม่แล้วสิ่งนั้นมันคืออีหยังก็บ่มีไผเคยฮู้บ่มีไผเคยเห็นจักคน”
“เจ้าปางคำ เจ้าปางคำแห่งจำปาสักนั่นเดลูก เทียดโตน่ะเป็นคนสนิทของเพิ่น ทวดโตก็เป็นทั้งเสี่ยวฮักและทหารอารักขาราชบุตรลูกเพิ่น ตอนที่เมืองลาวสิแตกปู่โตที่เป็นทหารจึ่งได้รับคำสั่งเสียให้รักษาของสิ่งนั้นไว้เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองภายหลัง...”
“เซาๆแม่กะบ่ฮู้ว่าปู่ตาเพิ่นฟังผู้ได๋เว้ามาหรือแต่งเรื่องขึ้นมาเองดอกย้อนว่าเจ้าปางคำผู้นี่ทางนักวิชาการไทยก็ยังว่าประวัติศาสตร์บ่ได้กล่าวถึง สิแม่นผู้แต่งนิทานเรื่องนี้แท้บ่ก็บ่ฮู้ เจ้าอยากให้มับไมมันเป็นคืออีพ่อติ ทั้งมื้อคึดหาแต่สิ่งนั้น นำหาจนบ่ต่าวคืนเฮือน”
กระแทกอารมณ์มาถึงตอนนี้ “นายเคน” จึงยั้งปากไว้คำพูดต่างๆที่อัดอั้นมาตั้งแต่วัยเด็กที่ขาดพ่อถูกกลืนลงท้องไปก่อนจะพาเมียและลูกกลับเรือน ทิ้งให้ย่าเกดนิ่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ปล่อยให้หยาดน้ำใสไหลผ่านร่องรอยแห่งกาลเวลาอย่างสุดจะกลั้น
นับจากวันนั้นผู้เป็นย่าก็ไม่ได้อยู่กับหลานรักตามลำพังอีก การอ่านหนังสือใบลานเรื่องสังสินไซที่เป็นฮีตปฏิบัติของชาวอีสานในทุกวันพระกลายเป็นเรื่องต้องห้ามของครอบครัว
“อยากเฮ็ดบุญ เฮ็ดแนวอื่นก็ได้ดอก ขาดไปสักสิ่งคงบ่ถึงขั้นตกนรกหรอกมั้ง” ผู้นำครอบครัวประกาศิต
ความคิดถึงสามีความเหงาความเศร้าความกังวลไม่ต่างจากสนิมที่เกาะกินในใจของย่าเกดเส้นผมที่เคยหงอกเพียงประปรายบัดนี้ทั่วทั้งศีรษะกลายเป็นสีขี้เถ้าเชิงตะกอนความทรงจำเริ่มเสื่อมถอยลงและเริ่มช่วยเหลือตนเองไม่ได้จากภาวะอัลไซเมอร์ ญาติพี่น้องต่างแวะเวียนมาให้กำลังใจ จนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้าย
เปลวเทียวที่ใกล้มอดมักจะบีบเค้นตัวเองให้ลุกโชนขึ้นอีกเป็นพลังชีวิตอันงดงามเฮือกสุดท้าย หญิงชราเรียกหาหลานรัก ก่อนความทรงจำแจ่มชัดในช่วงสุดท้ายจะมอดลง นางสั่งเสียมับไมด้วยน้ำเสียกระท่อนกระแท่นว่า
“ช้างฉัททันต์อยู่ใต้ฐานพระ” กล่าวจบมือที่เกาะกุมหลานรักก็ตกลงข้างลำตัวหากดวงตายังเบิกโพลงด้วยอาการจากไปอย่างไม่สงบเสียงร่ำไห้อาลัยดังระงม
ในคืนวันสวดศพเกิดพายุฝนฟ้าคะนองต่อเนื่องกันถึง ๓ วัน สายฟ้าฟาดครืนครั่นอย่างน่าหวั่นใจ เข้าวันที่ ๔ ยังไม่มีทีท่าว่าจะซา คนในหมู่บ้านลือกันไปต่าง ๆ นานาว่า แม่ใหญ่ท่าทางใจดีไม่น่าจะเฮี้ยนได้ถึงขนาดนี้ กระทั่งผู้เป็นลูกชายต้องจุดธูปบอกกล่าวขออภัย
“ขอโทษขอโพยแด่เทอะอีแม่ปริศนาที่บ่รู้จบของตระกูลมันสิพาให้อีนางน้อยมันพบพ้อกับภยันตรายขอให้มันจบสิ้นลงที่รุ่นลูกอกตัญญูคนนี้เทอะ”
เมื่อปักธูปพายุก็กลับซาลงเสียงฟ้าคำรามค่อยๆดังห่างออกไปและสงบลงในที่สุดราวกับก้อนสะอื้นที่ถูกกลืนลงคอ
………
ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งมักจะเกิดความรู้สึกว่างเปล่าอยู่บางประการ จนกระทั่งค้นพบสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มได้ เมื่อนั้นล่ะชีวิตจึงรู้สึกถึงการมีชีวา ในขณะบางคนอาจจะเป็นอาหาร ดนตรี ของสะสม เพื่อน คนรัก แต่สำหรับมับไมแล้วสิ่งนั้นคือ การหัดอ่านอักษรธรรมอีสาน คนในหมู่บ้านต่างมองว่ามับไมนั้นแปลกเด็ก ทั้งที่เป็นวันหยุดแต่กลับไม่วิ่งเล่นหัวหกก้นขวิดกับเพื่อนวัยเดียวกัน วัน ๆ ขลุกอยู่กับตำราหนังสือผูกใบลาน ตัวไหนอ่านไม่ได้ก็หอบวิ่งไปหาหลวงตา
“อ้ายเคนหากปล่อยให้อีนางหัดอ่านตัวธรรมแบบนี้ต่อไปมันสิฮู้เรื่องปริศนาบ่ฮู้จบนั่นบ่”
“บ่ดอกหากบ่มีลายแทงมันก็เป็นเพียงนิทานที่เล่าสู่ฟังม่วนๆซือๆดอก”
แม้จะปลอบคู่ชีวิตให้คลายใจแต่ตนเองกลับเตรียมแผนการไว้ในใจแล้ว... ‘สิ่งที่ลูกสนใจกูกะสิบ่ห้ามแต่สิส่งเสริมให้มันก้าวหน้าไปให้ไกลไกลจนเรื่องลายแทงขุมทรัพย์ตามมันบ่ทันให้มันเป็นความลับกลบฝังไปกับกูตลอดกาล’
๒๕ปีต่อมา...
จากเด็กหญิงกลายเป็นหญิงสาวบัดนี้มับไมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรโบราณมีสำนวนการถอดความที่สละสลวยอย่างหาตัวจับยาก เวลาในแต่ละวันหากไม่หมดไปกับการสอนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ก็ขลุกอยู่กับกองเอกสารเก่าจนแทบลืมวันลืมคืน
“ติ๊ง ติ๊ง ” เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังมาจากใต้กองเอกสารกองใดกองหนึ่ง ในห้องทำงานที่ตั้งหนังสือวางซ้อนกันตามพื้นจนแทบไม่มีที่ให้เดิน
“ติ๊งติ๊งติ๊งติ๊ง” เสียงโทรศัพท์เร่งเร้าจนเงียบไปเอง
“โอยรื้อห้องทิ้งเสียดีไหมนี่สงสัยต้องวานใครช่วยโทรหาแล้ว” หญิงสาวร่ำๆ จะพังห้องทำงานทิ้งอยู่ในที รำคาญความรกของตัวเองอยู่เหมือนกัน หยิบกระดาษซับมันที่แปะอยู่บนหน้าผากปาทิ้งลงถังขยะอย่างหงุดหงิด พลางขยับแว่นสายตาให้เข้าที่
ที่แท้เครื่องมือสื่อสารก็ถูกสมุดบันทึกของตนเองทับเอาไว้หล่อนยกขึ้นมาสแกนปลดล็อคกับดวงหน้าแล้วเลื่อนนิ้วปัดๆหน้าจอสว่างวาบเตือนเรื่องงานทำบุญครบรอบวันจากไปของย่า
“อีกสามวันข้างหน้ากลับไปคราวนี้ต้องแวะไปดูเรือนเก่าของย่าเสียหน่อยแล้ว” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองพลางสาละวนเตรียมเอกสารลางาน
หมู่บ้านในภาคอีสานนั้นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก บ้านเรือนจะมากน้อย ถนนจะซับซ้อนวกวนอย่างไร แต่วัดประจำหมู่บ้านล้วนอยู่ศูนย์กลาง ดังนั้นอุ่นหล้าจึงเดินนำทุกคนลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันเดินตามเขาท่าทางมุ่งมั่นอย่างกับลูกเป็ดเดินตามแม่อุ่นหล้าไม่ต้องการให้การเดินทางครั้งนี้ตึงเกินไปนัก จึงทำลายความเงียบขึ้นด้วยเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้“ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาได้ตามอาจารย์ศักดิ์ชัยไปดูภาพจิตรกรรมภายในห้องกรุวัดราชบูรณะ อาจารย์ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า เมื่อตอนปี ๒๕๐๐ เกิดเหตุการณ์กรุวัดราชบูรณะแตก อาจารย์ศักดิ์ชัยที่ขณะนั้นท่านเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายได้ติดตามอาจารย์ที่ปรึกษาไปสำรวจ ก็พากันล่องเรือกันไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา มีศาสตราจารย์ฝรั่งตามไปอีก ๒ คน ปรากฏว่าบนเรือต่างก็ได้กลิ่นหอมประหลาดกัน เป็นกลิ่นหอมเย็นแบบที่ไม่มีขายในท้องตลาด แต่พวกศาสตราจารย์ฝรั่งนั้นกลับไม่ได้กลิ่น“กลิ่นหอมนั้นอวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือจนกระทั่งเข้าไปในกรุ อาจารย์ศักดิ์ชัยและอาจารย์ที่ปรึกษาสำรวจความเสียหายของกรุลงไปถึงชั้นที่สาม ก็ไปเจอบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมส
ดังที่ว่ามีเงินใช่ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่ไหนก็ได้ตามใจ หลังทำเรื่องขอลาวิจัยแล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกคนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพด้วย อุ่นหล้าและมับไมกลัวคำว่า “มากคนมากความ” เป็นที่สุด จึงพยายามคัดเลือกลูกทีมที่มีประสิทธิภาพที่แม้จะไปกันน้อยคนแต่ก็คล่องตัวเมื่อข่าวการประกาศรับสมัครลูกทีมเพื่อการวิจัยภาคสนามของอาจารย์มับไมและอาจารย์อุ่นหล้าถูกติดขึ้นบอร์ด นักศึกษาทุกระดับชั้นรวมถึงบุคคลากรในคณะต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์ที่มีภูมิ รู้ลึกรู้จริงถ่ายทอดให้ผู้เรียนโดยไม่หวงวิชา หรือไม่ว่าจะเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ก็ตาม ในวันสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกลูกทีม จึงมีคนไปมุงออกันที่หน้าห้องพักอาจารย์แน่นราวกับมีมหกรรมแจกของฟรี เมื่อคัดคนที่มีใจแค่อยากผจญภัยตามอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดออกไป ในที่สุดก็ได้ผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่ง โดยมี “ชีวิน” หนุ่มตุ้งติ้งที่ชอบให้ทุกคนเรียกเขาว่า “ชิวลี่ (Chiewly)” เป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขาหลงใหลในวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะเจาะลึกศึกษาวิจัยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จึงขอตามอาจารย์ทั้งสองมาด้วยเพื่อค้นหาตัวเองนักศึ
การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลไม่ใช่ว่าจะมีความรู้ มีทุนทรัพย์แล้วจะไปได้ตามใจ เมื่อเข้าทำงานในระบบมหาวิทยาลัย มีต้นสังกัดก็จำเป็นที่จะต้องยื่นหนังสือชี้แจงแก่หน่วยงาน ทั้งคู่ตกลงกันว่าทำหนังสือขอลาวิจัยฮูปแต้มและอักษรโบราณในสิมภาคอีสาน ซึ่งดำเนินการได้คล่องตัวกว่าการเสนอขอทุนวิจัย เพราะกว่างบจะมาถึงคงนานไม่ทันกาล และอาจจะไม่ได้ตามจำนวนที่ขอทำให้ต้องเสียอารมณ์“หืม ไปพร้อมกันทั้งคู่เหรอ” คณบดีเลิกคิ้ว สงสัยว่าตนตกข่าวอะไรไปมากกว่าจะอยากรู้ว่าทั้งสองจะไปตามหาอะไรที่ยังดูไม่ชัดเจน“อ้าว ก็ฮูปแต้มกับจารึกมันต้องไปด้วยกันไง พี่เอนกก็รู้นี่” หญิงสาวตอบผู้ที่เป็นทั้งรุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาหน้าแดง“พี่ มันเกี่ยวกับเรื่องบัตรถา*...”“ชู่...เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกดีกว่า”อุ่นหล้ายังพูดไม่จบ เอนกก็ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปรามให้เบาเสียงก่อนจะบุ้ยปากไปที่หน้าต่างห้องทำงาน เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่หลังม่านก่อนจะหายไปอย่างเงียบ ๆ*ลายแทงขุมทรัพย์………สถานที่ที่อันตราย นับว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างคาดไม่ถึง แต่สองนักวิจัยไม่นึกว่ารุ่นพี่ของตนจะพามายังสถานที่นี้ ท่ามกลางนักศึกษาและบ
ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว
การเดินทางในปัจจุบันสะดวกสบายกว่าสมัยที่มับไมยังเป็นนักศึกษาอยู่มาก สายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกไปทุกจังหวัดที่มีสนามบิน จึงไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งเป็นชั่วโมง ๆ บนรถทัวร์ หรือลุ้นระทึกกับห้องน้ำบนรถไฟอีกต่อไป เพียง ๔๕ นาทีก็ได้กลับมากราบแทบตักพ่อแม่ที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว “ไหว้พระเทอะอีหล้า” พ่อแม่จับมวยผมยุ่งๆของลูกสาวโยกเบาๆด้วยความเอ็นดู“แต่ละมื้อเฮ็ดเวียกเฮ็ดการทางเมืองหลวงจนเยาไปหมดทั้งตัวคึดฮอดพ่อแม่จนสิไห้แงๆ” หล่อนโอบเอวแม่ออดอ้อน“ใหญ่แล้วอดเอา” พ่อดีดหน้าผากคนเป็นลูกจนดังปั้วะด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดต่อ “ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ยังอยู่ได้ตอนนี้อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเจ้าของแล้วจะกลับมาหาพ่อแม่เมื่อใดก็ได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”“เอ้ามาๆมื้อนี้แม่ป่นเห็ดปลวกตาบกับปิ้งปลายอนของมักลูกนำเด” “ว้าวฮักแม่ที่สุด”หลังล้อมวงพาข้าว อาบน้ำอาบท่าสบายตัวดีแล้ว หญิงสาวจึงทิ้งดิ่งตัวเองลงบนเตียง ไม่เหลือเค้าผู้ทรงภูมิในแวดวงวิชาการ ไม่ต้องเร่งรีบฝ่าฟันการจราจร ไม่ต้องเตรียมการสอน ช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล เจ้าของเตียงหลับตาพริ้มตั้งใจว่าจะแค่นอนเล่นพักสายตา หอมกลิ่นดอกสเลเตลอยมาจากที
ค่ำคืนที่ดวงจันทร์ทอแสงนวลใย ภายในห้องน้อยบนเรือนไม้ใต้ถุนสูง “ย่าเกด” กอดประคองหลานสาวตัวน้อย “มับไม” ไว้ในอ้อมแขน พลางเล่านิทานโบราณด้วยน้ำเสียงกังวาล“อินทร์ก็ใส่ชื่อน้อย ในเลขลานคำชื่อว่า สังสินไซ โลกลือฤทธีกล้า...”เด็กน้อยทำตาโตพลางกำชายเสื้อของย่าแน่นด้วยความตื่นเต้น“พญาซ้างฉัททันต์สิพาหลานเดินดงไปพ้อขุม...”หญิงชรายังเล่าไม่ขาดคำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงผลักประตูบานเฟี้ยมอย่างแรง แผ่นไม้จนกระแทกกับผนังห้องดังปัง! ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีไม่พอใจ ขณะที่ “นางจันสี” รีบเข้ามาอุ้มลูกสาวของตนออกมา“แม่เอาอีกแล้วเซาๆอย่าเล่าเรื่องแบบนี้ให้หลานฟังอีกเด้อมันบ่มีดอกสิ่งที่แม่ว่าน่ะ” น้ำเสียงของนายเคนทั้งหงุดหงิดทั้งอ่อนใจกับผู้เป็นแม่“มันสิบ่มีได้จังได๋มันเป็นภารกิจของตระกูลที่ต้องรักษาไว้ให้เจ้าของเพิ่นเดลูก”“ผู้ได๋ล่ะแม่แล้วสิ่งนั้นมันคืออีหยังก็บ่มีไผเคยฮู้บ่มีไผเคยเห็นจักคน”“เจ้าปางคำ เจ้าปางคำแห่งจำปาสักนั่นเดลูก เทียดโตน่ะเป็นคนสนิทของเพิ่น ทวดโตก็เป็นทั้งเสี่ยวฮักและทหารอารักขาราชบุตรลูกเพิ่น ตอนที่เมืองลาวสิแตกปู่โตที่เป็นทหารจึ่งได้รับคำสั่งเสียให้รั