Share

บทที่ 2

last update Last Updated: 2025-07-05 14:54:18

การเดินทางในปัจจุบันสะดวกสบายกว่าสมัยที่มับไมยังเป็นนักศึกษาอยู่มาก สายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกไปทุกจังหวัดที่มีสนามบิน จึงไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งเป็นชั่วโมง บนรถทัวร์ หรือลุ้นระทึกกับห้องน้ำบนรถไฟอีกต่อไป เพียง ๔๕ นาทีก็ได้กลับมากราบแทบตักพ่อแม่ที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว

“ไหว้พระเทอะอีหล้า” พ่อแม่จับมวยผมยุ่งๆของลูกสาวโยกเบาๆด้วยความเอ็นดู

“แต่ละมื้อเฮ็ดเวียกเฮ็ดการทางเมืองหลวงจนเยาไปหมดทั้งตัวคึดฮอดพ่อแม่จนสิไห้แงๆ” หล่อนโอบเอวแม่ออดอ้อน

“ใหญ่แล้วอดเอา” พ่อดีดหน้าผากคนเป็นลูกจนดังปั้วะด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดต่อ “ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ยังอยู่ได้ตอนนี้อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเจ้าของแล้วจะกลับมาหาพ่อแม่เมื่อใดก็ได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”

“เอ้ามาๆมื้อนี้แม่ป่นเห็ดปลวกตาบกับปิ้งปลายอนของมักลูกนำเด”

“ว้าวฮักแม่ที่สุด”

หลังล้อมวงพาข้าว    อาบน้ำอาบท่าสบายตัวดีแล้ว    หญิงสาวจึงทิ้งดิ่งตัวเองลงบนเตียง   ไม่เหลือเค้าผู้ทรงภูมิในแวดวงวิชาการ   ไม่ต้องเร่งรีบฝ่าฟันการจราจร  ไม่ต้องเตรียมการสอน ช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล   เจ้าของเตียงหลับตาพริ้มตั้งใจว่าจะแค่นอนเล่นพักสายตา หอมกลิ่นดอกสเลเตลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง ทายาทเรือนโบราณดิ่งสู่ห้วงนิทรารมณ์ไปโดยไม่รู้ตัว

“มับไมมับไมตื่นลูก” เสียงกระซิบแผ่วเบานักโบราณคดีสาวงัวเงียลืมตางุนงงไปชั่วขณะที่เห็นตนเองกลับกลายเป็นเด็กหญิงในอ้อมกอดย่าอีกครั้ง

“ช้างฉันทันต์อยู่ใต้ฐานพระๆๆ” ย่าจับมือเธอดวงหน้ายิ้มละไมอย่างที่คุ้นเคยเอาพูดแต่ประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นกลางดึกก็อดคิดคำนึงถึงผู้ที่เคยรักเมตตาตนไม่ได้จึงถือไฟฉายตรงไปยังเรือนมรดก

เรือนไม้โบราณหลังนี้จำได้ว่าสมัยเป็นเด็กย่าเคยเล่าว่าทวดใช้ไม้แดงที่เป็นไม้เนื้อแข็งสร้างเลียนแบบเรือนหลังเดิมทางจำปาสักสีของเนื้อไม้ที่ยิ่งนานวันยิ่งแดงสดใสไม่ลบเลือนและเคลือบรักษาผิวไม้ด้วยเชแร็คซึ่งถือว่าเป็นของมีราคาสำหรับยุคสมัยนั้นเพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ห้องนอนของย่าที่ถูกปิดมานานแต่เมื่อผลักประตูบานเฟี้ยมเข้าไปภายในข้าวของต่างๆยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมตามคำสั่งเสียที่ห้ามโยกย้ายเงาภาพย่าเกล้ามวยผมเสียบดอกไม้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนี้ย่าชอบเอนหลังที่เก้าอี้โยกตัวนี้ย่าหนุนหมอนขิดใบนี้เมื่อยามนอนกลางวันที่ชานบ้านนี้เด็กหญิงมับไมเคยออดอ้อนให้ย่าเล่านิทานนางแตงอ่อนให้ฟังปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง

หญิงสาวลูบไล้เครื่องเรือนในห้องแผ่วเบาความทรงจำต่างๆหลั่งไหลกลับมาแต่เมื่อเหลือบไปเห็นโต๊ะหมู่บูชาก็เกิดเอะใจขึ้นมาว่าพระพุทธรูปไม้ทุกองค์บนหิ้งเป็นฝีมือหยาบๆแบบช่างพื้นบ้านที่ทวดและปู่แกะสลักขึ้นมาเองในยามว่างตามความเชื่อของคนอีสานรุ่นเก่าที่จะไม่นิยมซื้อ-ขายพระด้วยถือว่าเป็นบาปแต่จะแกะสลักขึ้นมาใช้บูชาเองแล้วพระเจ้าไม้ปางโปรดอสุรินทราหูฝีมืออย่างช่างราชสำนักองค์นี้มาจากไหนทำไมไปแอบซุกอยู่ในหลืบด้านหลัง

ในยุคสมัยแต่เก่าแต่กี้นั้นผู้ที่จะสร้างพระที่มีพุทธลักษณะงดงามแบบนี้ได้หากไม่ใช่ผู้ที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ก็จะต้องมีกำลังทรัพย์มากจึงสามารถว่าจ้างช่างฝีมือระดับช่างหลวงได้

เหมือนกับมีพลังงานบางอย่างมาดลใจให้มับไมยกพระเจ้าไม้องค์นั้นขึ้นมาพินิจที่ใต้ฐานขององค์พระคล้ายกับมีสลักกลอยู่

“ไม่ใช่ช่องบรรจุผงพุทธคุณแน่ๆ” หญิงสาวใจระทึก

เมื่อลองเลื่อนสลักนั้นออกปรากฏช่องว่างแผ่นใบลานเล็กๆขนาดกว้าง๒นิ้ว  ยาว ๖ นิ้ว จำนวน ๓ แผ่นร่วงลงมา

ใบลานนั้นเก่าคร่ำจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล๒แผ่นแรกมีรอยจารเป็นอักขระโบราณแผ่นสุดท้ายมีการแต้มสีเป็นกระจุก๓กระจุกพิศดูเป็นการวาดจากสีฝุ่น

กระจุกสีฟ้ารูปทรงดูคล้ายช้างส่วนลายเส้นสีครามที่มองดูอย่างไรก็คล้ายกระหล่ำปลีและกระจุกสีเขียวกลุ่มใหญ่  สรุปว่ามองอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าผู้วาดต้องการจะสื่อถึงอะไร ไม่รู้ว่าใบลานทั้ง ๓ แผ่น ซ่อนอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูปมานานเท่าใดแล้ว สิ่งนี้เองที่ย่าพยายามจะบอกกับเธอมาโดยตลอด

บันทึกใบลานนี้สร้างความงุนงงแก่ผู้แกะรอยไม่น้อยเพราะใช้ตัวอักษรไทน้อยเมื่อเดินเรื่องปรกติและใช้ตัวอักษรธรรมอีสานเมื่อมีการแทรกบทบาลีเนื้อความในใบลานทั้ง๒แผ่นนั้นจารว่า

“ศรีศุภมังคละเลิศล้ำ สิทธิเดชลือชา นาโถสุด ยอดญานไตรแก้ว สวัสดิ์ สดีน้อม ในธรรมพุทธบาท คุณย่อมยกใส่เกล้า ชุลีล้ำยอดญาณ เอโกนาหัตถินาโค...”

“เอ๊ะนี่มันกลอนอ่านอักษรสังวาส” หญิงสาวสะดุด ความความอยากรู้อยากเห็น ผนวกกับความคลั่งไคล้อักษรโบราณ ทำให้เธอสะกดความตื่นเต้นไว้ในอกแล้วแกะรอยตัวหนังสือนั้นต่อไป

“...เห็นฝอด

ซ้าง โดยล้านเลียนผา ลัดแผ่นพื้น เขาขาดทลายลง รอยพลายหลวง หล่มไปเป็นส้าง รอยนั้น อัศจรรย์แท้ สามวายังย่อม พูวะนาดท้าว ทวย

ก้าวไต่ตาม ฟังยินเสียง สะเทือนก้อง กงดินดาแตก ภูวนาถท้าว มิย้านล่วงเถิง

“เมื่อนั้นพึงคะนา

พ้อม หัตถี แสนส่ำ เห็นแจ่มเจ้า จวนสะท้านทั่วไพร ซ้างตื่นเต้า เต็มแผ่นปฐพี ระงมงันคือ คู่ดินดาซ้าย ภูมีเยี้ยม ถึงคะนา ซ้างถ่าว เขาแล่นล้ม ลงพร้อมเผือกสาร ทูมอาดพร้อม พรายขนาดฉัททันต์ เมื่อนั้น นาโคคึง แกว่งงาเงยได้ ตาแดงเข้ม คือแสงสุริเยศ รามาดม้าง ฝูงแก้วก่อนพระองค์

“เคียดเพื่อน มาล่วงล้าน โขงเขตดูแคลน    กูจัก    กินไตตับ   โม่มมันตางเหมี้ยง เคงเคงพร้อม มามวนมืดมัว คันว่า ใกล้ฮอดท้าว ทวยต้องต่อยธนู เสียงแผดพ้น ฟ้าลั่นจักรวาล พลายหลวงหลบ ตื่นซวนเซล้ม บริวารล้ม เมืองมันในป่า สารใหญ่ย้อย

โยมเจ้าหล่าหลง

“พ่างพ่างน้ำ ชลเนตรนองไหล กลัวตายทุก ทั่วแดนดูร้าย นาโคเยื้อน โยมความขอโทษ เจ้าจ่ง โผดข้าเฒ่า ทั้งเชื้อซู่ซุม แด่ถ้อน เมื่อนั้น   ภูชัยท้าว ทงอาจสอนสัตว์ เฮาบ่ฮังเวลา ก่อนไผหมายหมั้น ท่อว่า การกูแก้ว ยังไกลคราวเคร่ง กอเพื่อ ยักษ์ขนาดอุ้ม อาได้ด่วนหนี

“พ่อกอ ยินยากแค้น หลงโทษมึนนาน

จำเฮาหลาน ลวงมาเถิงนี่ สูเห็นแท้ ทันใดดาบอกจริงเถิ้น เมื่อนั้น ซ้างกล่าวข้อ แขเมี้ยนมอบความ ฝูงข้า เห็นเที่ยงแท้ ทางที่เวหา  โดยที่นางคานทิว หอดโหยหุยไห้ ซื่อว่า กุมภัณฑ์ท้าว พงศ์พันธุ์พระยาเวส มันกอ อุ้มแก่นแก้ว กายข้อนแปดปี นี้แล้ว

“ท่อว่า การเยื่องนี้ ฮ้ายเฮ่ง อวิสัย ข้าขอ วอนภูมี  บ่รวนเรวได้ ตัวมันแท้ เนาในอโนราช ท่อว่า ยังมียักษ์อยู่ยั้ง ตันหน้าสี่ตัวเจ้าเอย เมื่อนั้นสินไซท้าว จาสารซมซื่น เฮาจักไปแป่ม้าง มารต้องต่อมือ แท้แล้ว ค้อมว่า บาแถลงแล้ว ลาสารยัวระยาด ซ้างกอแหนแห่เจ้า จรส้อยส่งไป”

เมื่อได้อ่านคนคลั่งอักษรโบราณก็ทราบในทันทีว่าเนื้อความในใบลานนั้นเป็นตอนหนึ่งของนิทานโบราณที่ย่าเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งยังอ่อนเดียงสา “สังสินไซ”

อานุภาพแห่งความอยากรู้อยากเห็นมันทำให้คนเราลืมวันเวลาได้นักโบราณคดีสาวคร่ำเคร่งแกะรอยตัวหนังสือโบราณกระทั่งฟ้าสางเมื่อใดยังไม่รู้ตัวที่แท้มันเป็นอักษรไทน้อยอักษรโบราณที่ใช้กันในท้องถิ่นลาว-อีสานจนกระทั่งการปกครองจากส่วนกลางเข้ามาจึงยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่๕

นิทานชาดกนอกนิบาตเรื่องนี้สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นในช่วงการสังคายนาครั้งที่๘  ในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา    เรียกว่าเป็นวรรณกรรมแห่งอุษาคเนย์ก็ว่าได้   ชาวมอญรู้จักในชื่อ “สังคทา”   ชาวกัมพูชาเรียก “เสียงสิลเจย”   สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเรียก “สังสินไซ”

ในขณะที่ประเทศไทยเองก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปตามภูมิภาคภาคเหนือเรียก “สังข์สิงห์ธนูชัย”   ภาคกลางและภาคใต้คุ้นกันในชื่อ “สังข์ศิลป์ชัย”   ส่วนภาคอีสานที่รับวัฒนธรรมจากลาวมาไม่น้อยจึงเรียกตามกัน “สังสินไซ” หรือบางคราวก็เรียกเพียงสั้นๆว่า “สินไซ”

ราว๔๐๐ปีต่อมาทางล้านช้างได้มีผู้ปริวรรตขึ้นใหม่เป็นสำนวนที่ไพเราะงดงามใช้นามปากกาว่า “ปางคำ” แม้จะเป็นสำนวนที่ได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบันแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของนามปากกานี้คือใครได้แต่สันนิษฐานกันไปต่างๆนานาว่าอาจจะเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ได้ร่ำเรียนจนชำนาญการอักษรในยุคนั้น  หรือแปลความตามตัวว่าเป็นยุคทองก็มี

มีบ้างบางคนที่คิดเหมาเอาว่าเป็นคนเดียวกับท้าวปางคำแห่งจำปาสักที่มาลักผิดผีกับนางเภาแห่งเมืองหนองบัวลุ่มภูด้วยว่าเป็นชื่อเดียวกันก็มีแม้กระทั่งพระเจ้าปราสาททองแห่งอยุธยาก็ยังเข้าข่ายแต่ทางประวัติศาสตร์ก็ยังตัดสินไม่ได้ด้วยข้อมูลยืนยันนั้นยังไม่เพียงพอ

ปัจจุบันนิทานเรื่องนี้ยังเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลายในพื้นที่ภาคอีสานและประเทศลาวด้วยเชื่อว่าสังสินไซซึ่งเป็นพระเอกของเรื่องจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อไปและเป็นวรรณกรรมที่อ่านเพื่อความบันเทิงก็ได้  หรือเอาสาระก็ได้

เรื่องราวเล่าถึงท้าวสังสินไซที่ต้องเดินดงไปยังเมืองยักษ์เพื่อไปพาอาที่ถูกยักษ์ลักพาตัวไปเป็นเมียกลับคืนบ้านเมืองโดยต้องฝ่าฟันอันตรายถึง๙ด่านและต้องข้ามแม่น้ำที่มีความกว้างถึง๗ย่านน้ำด้วยกันจึงจะถึงเมืองยักษ์

และจารึกที่ใบลานจากใต้ฐานพระจารไว้คือตอนด่านช้างฉัททันต์  เป็น ๑ ใน ๙ ด่านมหาภัย  เล่าถึงพญาช้างเผือกซึ่งโกรธที่สังสินไซได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของตน ได้เข้ามาอาละวาดจะจับท้าวสินไซ กินแต่สู้แพ้จึงยอมเป็นพาหนะไปส่งสังสินไซที่ริมฝั่งแม่น้ำซึ่งกว้าง ๓ โยชน์

“หรือจะเป็นคำใบ้ที่เกี่ยวกับการเดินทางคำว่าพาไปเหรอย่าต้องการจะบอกอะไรเราภาพกระจุกสีบนใบลานแผ่นสุดท้ายมันต้องมีความนัยซ่อนอยู่แน่”

หากคิดว่าพวกเด็กๆนั้นยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันล่ะก็เป็นเรื่องที่คิดผิดถนัดมับไมยังจำเหตุการณ์คืนวันที่พ่อเข้ามาแยกตนกับย่าได้อย่างแม่นยำจึงตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องการพบปริศนาใบลานให้พ่อแม่รู้หลังถวายจังหันและรับศีลรับพรใส่เกล้าแล้วระหว่างกรวดน้ำดอกเตอร์สาวอธิษฐานถึงผู้ที่ทิ้งปริศนาไว้ให้ตน

“ย่าคอยดูนะมับไมจะต้องไขปริศนานี่ให้ได้”

สายลมไล้ผ่านแก้มนวลเบา ราวกับอุ้งมืออบอุ่นของย่าประคองใบหน้าเล็ก นั้นไว้เยี่ยงวันเยาว์

เป็นคำประพันธ์ที่พบมากที่สุดในวรรณกรรมไทยอีสาน มีลักษณะคล้ายกับกลอนอ่านอื่น ต่างกันที่กลอนอักษรสังวาสนี้ไม่นิยมสัมผัสนอก แต่เน้นสัมผัสใน เช่น เทียมคู่ เทียมรถ ทบคู่ เทียบคู่ แทรกคู่ แทรกรถ ตามความเหมาะสมและความสามารถของกวี วรรณกรรมที่มีการเล่นคำได้หลากหลายเกือบทุกวรรค ได้แก่เรื่องสังสินไซ ซึ่งถือว่าเป็นบทกลอนที่ไพเราะที่สุด

รอยช้าง

ตาม

หมู่สัตว์

ช้างมีกำลังดุร้าย

ไม่จองเวร

ทนทุกข์มานานแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 3

    ดอกเตอร์สาวนอนเท้าแขนอยู่บนเตียง ในมือถือใบลานแผ่นที่ ๓ ขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง หวังว่าจะพบคำใบ้ใดซ่อนอยู่ในใบไม้แห้งบาง ๆ นั้นอีกครั้ง“เฮ้อ ไม่ง่ายเหมือนในหนังอินเดียน่า โจนส์ สินะ” มับไมถอนหายใจตัวอักษรที่จารนั้นลายเส้นคมงดงาม สีดำจากเขม่าก้นหม้อติดสีเข้มยังไม่ลบเลือน ทำให้อ่านง่าย แสดงว่าผู้จารมีการเตรียมการมาอย่างดี ไม่ได้เขียนขณะที่อยู่ในสภาวะเร่งร้อน กระจุกสีและเส้นสายที่ป้ายไปมาทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้วาดต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็จนด้วยเกล้าจริง ๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างนึกโมโหตัวเองว่าสมัยนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียนวิชาจิตรกรรมและฮูปแต้มนะ ในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญการไขรหัสภาพโบราณคงไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า “ดอกเตอร์อุ่นหล้า” อีกแล้ว เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนี้ภาพเงาร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวดุราวเหยี่ยว ชอบนุ่งโสร่งอย่างชายอีสานชนบทเดินไปเดินมาบนตึกเรียนอย่างภาคภูมิในชาติพันธุ์ของตนก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงนึกถึงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการที่ต้องไปขอให้ดอกเตอร์หนุ่มช่วยมันช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายแพ้ ยอมละว

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 2

    การเดินทางในปัจจุบันสะดวกสบายกว่าสมัยที่มับไมยังเป็นนักศึกษาอยู่มาก สายการบินต้นทุนต่ำสยายปีกไปทุกจังหวัดที่มีสนามบิน จึงไม่ต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งเป็นชั่วโมง ๆ บนรถทัวร์ หรือลุ้นระทึกกับห้องน้ำบนรถไฟอีกต่อไป เพียง ๔๕ นาทีก็ได้กลับมากราบแทบตักพ่อแม่ที่ขอนแก่นบ้านเกิดแล้ว “ไหว้พระเทอะอีหล้า” พ่อแม่จับมวยผมยุ่งๆของลูกสาวโยกเบาๆด้วยความเอ็นดู“แต่ละมื้อเฮ็ดเวียกเฮ็ดการทางเมืองหลวงจนเยาไปหมดทั้งตัวคึดฮอดพ่อแม่จนสิไห้แงๆ” หล่อนโอบเอวแม่ออดอ้อน“ใหญ่แล้วอดเอา” พ่อดีดหน้าผากคนเป็นลูกจนดังปั้วะด้วยความหมั่นไส้แล้วพูดต่อ “ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ยังอยู่ได้ตอนนี้อยู่บ้านเกิดเมืองนอนเจ้าของแล้วจะกลับมาหาพ่อแม่เมื่อใดก็ได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”“เอ้ามาๆมื้อนี้แม่ป่นเห็ดปลวกตาบกับปิ้งปลายอนของมักลูกนำเด” “ว้าวฮักแม่ที่สุด”หลังล้อมวงพาข้าว อาบน้ำอาบท่าสบายตัวดีแล้ว หญิงสาวจึงทิ้งดิ่งตัวเองลงบนเตียง ไม่เหลือเค้าผู้ทรงภูมิในแวดวงวิชาการ ไม่ต้องเร่งรีบฝ่าฟันการจราจร ไม่ต้องเตรียมการสอน ช่วงเวลาที่ไร้ความกังวล เจ้าของเตียงหลับตาพริ้มตั้งใจว่าจะแค่นอนเล่นพักสายตา หอมกลิ่นดอกสเลเตลอยมาจากที

  • ขุมทรัพย์สุดปลายฟ้า ปริศนาในฮูปแต้ม   บทที่ 1

    ค่ำคืนที่ดวงจันทร์ทอแสงนวลใย ภายในห้องน้อยบนเรือนไม้ใต้ถุนสูง “ย่าเกด” กอดประคองหลานสาวตัวน้อย “มับไม” ไว้ในอ้อมแขน พลางเล่านิทานโบราณด้วยน้ำเสียงกังวาล“อินทร์ก็ใส่ชื่อน้อย ในเลขลานคำชื่อว่า สังสินไซ โลกลือฤทธีกล้า...”เด็กน้อยทำตาโตพลางกำชายเสื้อของย่าแน่นด้วยความตื่นเต้น“พญาซ้างฉัททันต์สิพาหลานเดินดงไปพ้อขุม...”หญิงชรายังเล่าไม่ขาดคำก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงผลักประตูบานเฟี้ยมอย่างแรง แผ่นไม้จนกระแทกกับผนังห้องดังปัง! ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีไม่พอใจ ขณะที่ “นางจันสี” รีบเข้ามาอุ้มลูกสาวของตนออกมา“แม่เอาอีกแล้วเซาๆอย่าเล่าเรื่องแบบนี้ให้หลานฟังอีกเด้อมันบ่มีดอกสิ่งที่แม่ว่าน่ะ” น้ำเสียงของนายเคนทั้งหงุดหงิดทั้งอ่อนใจกับผู้เป็นแม่“มันสิบ่มีได้จังได๋มันเป็นภารกิจของตระกูลที่ต้องรักษาไว้ให้เจ้าของเพิ่นเดลูก”“ผู้ได๋ล่ะแม่แล้วสิ่งนั้นมันคืออีหยังก็บ่มีไผเคยฮู้บ่มีไผเคยเห็นจักคน”“เจ้าปางคำ เจ้าปางคำแห่งจำปาสักนั่นเดลูก เทียดโตน่ะเป็นคนสนิทของเพิ่น ทวดโตก็เป็นทั้งเสี่ยวฮักและทหารอารักขาราชบุตรลูกเพิ่น ตอนที่เมืองลาวสิแตกปู่โตที่เป็นทหารจึ่งได้รับคำสั่งเสียให้รั

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status