LOGINหมอหลิวเองก็ตกใจเช่นกัน แต่เขามิได้ร้องออกมาเช่นหลงจู๊ มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบโสมขึ้นมาตรวจสอบดู
ไม่ผิดเป็นโสมห้าร้อยปีแน่ อีกทั้งยังสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“สามพันตำลึงทอง เจ้าเห็นเป็นเช่นใด” เขาเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว
“ดีล...เอ่อ ได้เจ้าค่ะ” นางเผลอหลุดปากพูดเช่นในภพก่อนออกมา หลังจากที่นางตกลงการค้าได้อย่างพอใจ นางมักจะเอ่ยออกมา
หมอหลิวจ้องมองใบหน้าของเยี่ยนอิงนิ่ง ด้วยคำพูดที่นางเอ่ยออกมา เขาไม่เข้าใจว่าหมายความเช่นใด แต่พอจะรู้ว่านางพอใจกับจำนวนที่เขายื่นให้ไม่น้อย
เยี่ยนอิงเมื่อเห็นตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงทองใบหน้าของนางก็ยิ้มกว้างขึ้น
“กลิ่นเงินมันหอมเจ้าว่าไหม” เยี่ยนอิงอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมาหอมเสียหลายฟอด
“เหอะ ก้อนทองของข้ามีตั้งเยอะ เพียงเท่านี้จะนับเป็นอันใด” เสี่ยวไป๋กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย
“ท่านลุงตู้ ท่านพอจะรู้ร้านแลกเงินไหมเจ้าคะ ข้าต้องการจะแลกเงินมาใช้ซื้อของ” คงไม่ดีหากนางจะยื่นตัวเงินห้าสิบตำลึงทองเพียงแค่ต้องการซื้อข้าวสาร
“ได้ ๆ ข้าจะพาเจ้าไป” ลุงตู้มือยังสั่นไม่หาย เขากอดอกไม่แน่น ด้วยกลัวจะมีคนมาแย่งเงินห้าร้อยห้าสิบตำลึงทองไป
“เมื่อครู่เจ้าไม่บอกเล่าว่าต้องการตำลึงเงินกับเงินอิแปะด้วย” หลงจู๊เอ่ยออกมา ด้วยอยากผูกสัมพันธ์กับเยี่ยนอิงไว้ ต่อไปหากนางมีโสมอีกจะได้นำมาขายให้
“ได้รึเจ้าคะ” ก็นางไม่รู้
“ได้ ๆ เจ้าต้องการเท่าใด ข้าจะไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้”
เยี่ยนอิงจึงส่งตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงทอง ให้แลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอิแปะมาให้นาง
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
หมอหลิวที่ยังอยู่ในห้องด้วย เขาก็มองเยี่ยนอิงอย่างแปลกใจ ด้วยนางรู้คิดคำนวณออกมาได้อย่างรวดเร็ว ที่ต้องการเหรียญทองแดงเท่าใด แล้วก้อนตำลึงเงินกี่ตำลึง น้อยครั้งนักที่จะเห็นสตรีมีความรู้เช่นนี้
“เจ้าเคยร่ำเรียนมาด้วยรึ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ของข้า เมื่อครั้งที่นางยังมีชีวิตอยู่เคยสอนข้ากับน้องชาย”
เหมือนนางจะลืมไปว่าซานเซินหาหมออยู่ “ข้าขอตัวไปดูน้องชายก่อนเจ้าค่ะ” จึงได้รีบร้อนลุกออกไปด้านนอก เหลือเพียงลุงตู้ที่อยู่รอเงินที่หลงจู๊กำลังไปแลกมาให้นาง
“แล้วบิดาของนางเล่า” หมอหลิวเอ่ยถามอย่างสนใจ ทำไมถึงคนที่พานางมามิใช่บิดาแต่กลับเป็นลุงข้างบ้านแทน
“อิงเออร์ กับเซินเออร์ น่าสงสารนักขอรับ บิดามารดาถูกโจรป่าสังหารเมื่อครั้งเดินทางไปตามญาติที่เมืองหลวง”
“อืม...ตามหาญาติเช่นนั้นรึ นางมิใช่คนเป่ยหนานรึ”
“อู๋หยวนบิดานางเป็นคนเป่ยหนาน แต่มารดาฟู่ม่าน ไม่รู้ว่านางเป็นคนที่ใด ตอนที่อาหยวนพามาที่หมู่บ้าน นางก็ไม่มีความทรงจำเดิมเหลือแล้วขอรับ” ลุงตู้ได้แต่ถอนหายใจออกมา ด้วยสงสารโชคชะตาของสองพี่น้อง
“เช่นนั้นรึ” หมอหลิวมองไปที่ประตูที่เยี่ยนอิงเพิ่งจะเดินออกไป “แล้วเหตุใด นางถึงไม่ได้ใช้แซ่อู๋เช่นบิดาของนาง” เรื่องนี้ทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
“เห้อออ พูดไปเรื่องก็ยาวนัก หลังจากที่บิดามารดาตายลง สองพี่น้องก็ถูกท่านลุงรับไปเลี้ยงดู อย่าได้พูดถึงความลำบากที่เกิดขึ้น เพียงแค่เรื่องที่อู๋หย่งจะขายนางให้หอพนันก็พอ ย่าหู ย่าของนางกับชาวบ้านทนเห็นอิงเออร์เข้าไปเป็นคณิกาไม่ได้ จึงได้เรียกร้องให้ผู้นำหมู่บ้านทำเรื่องตัดขาดสองพี่น้องกับตระกูลอู๋เสีย ดูข้าจะพูดมากเกินไปแล้ว” ลุงตู้เหมือนจะรู้ตัวว่าได้เอ่ยเล่าเรื่องมากเกินไป
“ยังดีที่ท่านย่าของนาง รวมทั้งชาวบ้านยังเมตตานางอยู่” หมอหลิวถอนหายใจออกมา
ด้วยท่าทางของเยี่ยนอิงนางไม่น่าจะยอมคนได้ เหตุใดถึงต้องปล่อยให้ตนเองและน้องชายถูกรังแกเสียหลายปี
เยี่ยนอิงเดินออกมาจากห้องก็เจอป้าตู้ กำลังเปิดประตูห้องหมอเว่ยออกมา
“เซินเออร์เป็นเช่นใดบ้างเจ้าคะ”
“โรคเก่า เจ้าก็รู้ดี พอถูกฝนเข้าอาการก็เลยยิ่งทรุดไปกันใหญ่ หมอเว่ยต้มยาให้กินเรียบร้อยแล้ว ให้เซินเออร์นอนพักสักครู่แล้วค่อยเดินทางกลับหมู่บ้านกัน” ป้าตู้เอ่ยบอกรายละเอียดจนเรียบร้อยแล้ว นางก็ลากเยี่ยนอิงไปหาที่ลับตาคน
“เป็นเช่นใด ขายได้เท่าใด” ด้วยรู้ดีว่าอย่างไรก็ขายได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าใด
“ห้าร้อยห้าสิบตำลึงทองเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงกระซิบเสียงเบาข้างหูแล้ว แต่ป้าตู้นางดันร้องออกมาเสียงดัง
"ห้าร้อยห้าสิบตำลึงทอง!!!” นางหงายหลังจะเป็นลมเสียให้ได้
“ท่านป้า ท่านจะเสียงดังทำไมเจ้าคะ อยากให้ผู้อื่นรู้รึว่าท่านมีเงินมาก” เยี่ยนอิงดึงรั้งตัวป้าตู้ไว้
“ข้าจะเป็นลม เงินตำลึงทองเคยพบเห็นเสียที่ไหน” ปีหนึ่ง นางทำไร่ สามีรับจ้างขับเกวียนส่งชาวบ้าน ในเรือนยังรวมกันได้ไม่ถึงห้าสิบตำลึงเงินเลย
“ท่านต้องทำตัวให้ชินแล้วท่านป้า ท่านร่ำรวยเสียแล้ว ท่านดีขึ้นหรือยังข้าจะไปดูเซินเออร์เสียหน่อย”
“ไป ไปเถิด” นางโบกมือให้เยี่ยนอิงปล่อยตัวของนาง
ภายในห้องตรวจของหมอเว่ย ซานเซินนอนหลับอยู่ที่เตียงด้านใน เยี่ยนอิงจึงเดินเข้าไปคลำหัวของเขา เมื่อเห็นว่าไข้ลดแล้วนางจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ซานเซินคลอดก่อนกำหนด ร่างกายของเขาจึงไม่แข็งแรงเช่นเด็กในวัยเดียวกัน ต่อให้บิดามารดาจะดูแลดีมากเพียงใด พอทั้งสองสิ้นใจ ตัวเขาก็ถูกคนตระกูลอู๋ใช้แรงงานจนทรุดลงอีกครั้ง
ด้วยไม่เคยหาหมอให้เป็นเรื่องเป็นราวสักครั้ง อาการของซานเซินจึงสามวันดีสี่วันไข้มาตลอด
“น้องชายเจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว ปล่อยให้นอนพักสักครู่ค่อยพากลับก็แล้วกัน” หมอหลิวเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงเยี่ยนอิง
“เจ้าค่ะ” นางหันไปตอบรับเบาๆ ก่อนจะช่วยห่มผ้าให้ซานเซิน
“แม่นางฟู่ ข้าขอคุยด้วยได้หรือไม่”
“หากจะถามเรื่องโสมข้าเก็บได้จากบนเขาในหมู่บ้านเจ้าค่ะ”
“มิใช่ อย่างไรเจ้าก็ต้องรอน้องชายตื่น ไปสนทนาที่ห้องทำงานของข้าเถิด”
เยี่ยนอิงหันไปมองสบตาหมอหลิว ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ นางวางตัวเสี่ยวไป๋ลงบนเตียงข้างซานเซิน เพื่อให้มันอยู่ดูแลซานเซิน แล้วเดินตามหมอหลิวไปที่ห้องทำงานของเขา
ระหว่างที่ออกมาจากห้องผู้ป่วย ก็พบลุงตู้กับป้าตู้กำลังกระซิบพูดคุยกันอยู่
“อิงเออร์ ข้าจะไปซื้อของกลับหมู่บ้านเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่” ป้าตู้คิดว่าเยี่ยนอิงอยากจะรอน้องชายของนางตื่นก่อน
“ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านหมอหลิว ท่านป้าไปซื้อก่อนได้เลยเจ้าค่ะประเดี๋ยวข้าค่อยไปซื้อที่หลัง”
“ได้ ๆ เช่นนั้นข้าไปก่อนเล่า” ป้าตู้และลุงตู้รีบพากันออกไปจากโรงหมอ ทั้งสองยังต้องไปที่ร้านฝากเงินด้วย
ภายในห้องทำงานของหมอหลิว เรียบง่ายกว่าที่เยี่ยนอิงคิด ด้านในไม่เหมือนกับห้องของหมอเว่ย ที่มีตู้เก็บยาอยู่ด้วย ห้องของหมอหลิวมีเพียงโต๊ะทำงาน และโต๊ะรับแขกเท่านั้น
“เชิญนั่งก่อน” เขาผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ท่านมีสิ่งใดก็พูดเถิดเจ้าค่ะ ข้ายังต้องไปซื้อของเพื่อกลับหมู่บ้านอีก”
“มารดาของเจ้า นามว่าฟู่ม่านใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมา คงเป็นลุงตู้ที่บอกเล่าเรื่องราวของนางกับหมอหลิว
“นางเป็นคนที่ใดเจ้ารู้หรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านแม่ข้าไร้ความทรงจำเดิม แต่เมื่อสามปีก่อน ท่านพ่อได้ข่าวจากสหายที่อยู่เมืองหลวง ว่ามีตระกูลฟู่อยู่ จึงได้พาท่านแม่ออกเดินทางไปตรวจสอบว่าใช่ครอบครัวของนางหรือไม่ แต่ก็ต้องโชคร้ายเสียก่อน”
แววตาของเยี่ยนอิงสั่นไหววูบหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะร่างของนางยังหลงเหลือความรู้สึกของฟู่เยี่ยนอิง ที่คิดถึงผู้เป็นบิดามารดา
หลิวเลี่ยงเฟิ่งเชยคางของฟู่จูอิ๋งขึ้น ก่อนจะประทับจุมพิตไว้แน่น จุมพิตครั้งนี้ของเขา ราวกับอยากจะเผยความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีเอาไว้ให้นางได้รู้ ความหวาดกลัวที่จะสูญเสียนางไปอีกครั้ง ความคิดถึงทั้งหมดของภพที่แล้วที่มี อยู่ในจุมพิตที่เขาบรรจงมอบให้นาง“แล้วท่านเข้ามาได้อย่างไร มิใช่ว่าท่านพ่อเพิ่มองครักษ์แล้วรึ” นางเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างสงสัย“ข้าย่อมมีหนทาง นอนพักเถิด ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”“หากมีคนมาเห็นเล่า”“ข้าจะออกไปก่อนฟ้าสว่าง อาม่านให้ข้าได้นอนพักหน่อยเถิด ข้ามิได้นอนดีๆ มาหลายวันแล้ว” เขาถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนจะดึงตัวนางเข้ามาสวมกอดเอาไว้แน่นพอเห็นคนในอ้อมแขนหลับไปแล้ว หลิวเลี่ยงเฟิ่งได้แต่นอนมองนางอย่างเป็นสุข เมื่อชาติก่อน แม้แต่หลับฝันยังไม่กล้าจะคิด เขาต้องขอบคุณสวรรค์เพียงใด ที่ยอมให้เขาได้กลับมาก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นผ่านเรื่องร้ายมาได้สองเดือน จวนตระกูลฟู่และตระกูลหลิวก็มีงานมงคลเกิดขึ้นผู้ตรวจการหลิวอยู่ในชุดมงคลนั่งบนหลังม้าสง่ามารับเจ้าสาวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ภาพความทรงจำตอนที่ไปรับสวีอวี้หรันเข้าจวน ตัวเขาเองก็แทบจะจำไม่ได้แล้ว และไม่คิดจะจำอีกด้วยตอนกราบลาบิด
หลิวเลี่ยงเฟิ่ง มิกล้าพูดออกมา ว่าเป็นเพราะตัวเขา ตระกูลสวีคงต้องการให้สวีอวี้หรันแต่งเข้าตระกูลหมาน ผู้ใดเล่าจะไม่ต้องการบุตรเขยที่เป็นถึงผู้ตรวจการนครหลวงไปเสริมบารมีให้จวนตนเอง“อีกหนึ่งชั่วยาม ท่านไปรอที่ว่าการได้เลยขอรับ ข้าน้อยคงต้องออกไปช่วยตามหาคุณหนูสวีอีกแรง อาชวี่เจ้าไปกับข้า”“เหตุใดข้าต้องไปด้วยเล่า” ฟู่ชวี่ไม่เข้าใจ เขามีเหตุผลอะไรถึงต้องไปช่วยตามคนที่คิดร้ายกับน้องสาวของเขาด้วย“ประเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้เอง”นายท่านฟู่ยังไม่ทันถามเลยว่า แล้วเหตุใดสวีอวี้หรันนางถึงได้ถูกลักพาตัวไปแทนบุตรสาวของตนได้ หลิวเลี่ยงเฟิ่งก็พาฟู่ชวี่เดินออกจากห้องโถงไปเสียแล้ว“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด” ฟู่ชวี่เอ่ยถามออกมาเมื่อทางที่หลิวเลี่ยงเฟิ่งพาเดินมา เป็นป่าที่อยู่ด้านหลังทิศตะวันตก มิใช่เส้นทางที่จะออกนอกเมือง เช่นนี้แล้วจะเรียกว่าออกมาตามหาคนได้อย่างไร ด้วยคนร้ายก็คงไม่โง่จับตัวคนมาซ่อนเอาไว้ใกล้หูใกล้ตาเช่นนี้แน่“ข้าสั่งให้คนจับตัวคุณหนูสวีนางมาซ่อนเอาไว้ ข้าอยากให้นางได้รับรู้ว่าหากอาม่านนางถูกจับตัวไป นางจะต้องหวาดกลัวมากเพียงใด” ฟู่ชวี่เข้าใจสหายของตนได้ทันทีเพียงเดินเข้าไปในป่าไม่ได้ไกลมากน
ครั้งนี้เขารุนแรงกับนางไปหน่อย ด้วยโมโหที่คิดว่านางจะต้องไปเป็นสตรีของผู้อื่นเช่นชาติที่แล้ว หน้าของอู๋หยวนก็ไม่เคยได้พบเห็น แต่รู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูกรถม้าของฟู่จูอิ๋งเคลื่อนตัวได้ช้า ทำให้หลิวเลี่ยงเฟิ่งได้ลงโทษนางจนพอใจ“บวมหมดแล้ว” หลิวเลี่ยงเฟิ่งมองริมฝีปากบางที่บวมเจ่ออย่างสงสาร“ก็ท่านมิใช่รึ ที่ทำข้า” ฟู่จูอิ๋งต้องใช้ผ้าปิดหน้าที่นางเตรียมมาแต่ไม่คิดว่าจะใช้ ปิดบังสิ่งที่หลิวเลี่ยงเฟิ่งทำไว้หลิวเลี่ยงเฟิ่งลงจากรถม้าก่อนที่รถม้าจะมาหยุดลงที่หน้าโรงน้ำชา สถานที่ ที่ฟู่จูอิ๋งนัดพบกับสวีอวี้หรันพอหลิวเลี่ยงเฟิ่งเห็นสวีอวี้หรันมองมาทางตนอย่างหลงใหล เขาก็มองตอบนางอย่างรังเกียจโดยไม่ปิดบังเมื่อชาติที่แล้ว เขามิได้สังเกตการณ์กระทำของนาง พอมาตอนนี้จึงได้เข้าใจว่าทุกครั้งที่นางต้องการพบเจอเขา จะใช้ฟู่จูอิ๋งมาเป็นข้ออ้าง“คารวะพี่เฟิ่งเจ้าค่ะ”“เรียกข้าผู้ตรวจการหลิวเถิด หากผู้อื่นมาได้ยินจะเข้าใจผิดได้ คำเรียกขานนี้ ข้าให้อาม่านนางเรียกข้าได้เพียงผู้เดียว” ใบหน้าของสวีอวี้หรันซีดเผือดทันที ยิ่งสายตาของเขาที่มองนางอย่างโกรธแค้น หรือว่าจะรู้แผนการที่นางวางเอาไว้แล้ว“พี่เฟิ่ง ท่านพ
“คุณชาย คุณชายขอรับ หากตื่นสายกว่านี้ จะไม่ทันไปรับคุณหนูฟู่นะขอรับ”เสียงบ่าวร้องเรียกอยู่ที่หน้าห้อง พร้อมทั้งเสียงเคาะประตูระรัว ปลุกให้หลิวเลี่ยงเฟิ่ง ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงเขามองไปรอบห้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เป็นเรือนพักเก่า ที่เขาใช้อยู่ก่อนที่จะแต่งสวีอวี้หรันเข้ามาในจวนเขานั่งพิงหัวเตียงนวดขมับอย่างไม่เข้าใจ เขาจำได้ดีว่า ก่อนหน้านี้ตนเองยังนอนรอความตายอยู่บนเตียงอยู่เลยหลิวเพ่ยหมินผู้เป็นบุตรชาย ยังจับมือเขาไม่ห่าง และสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะฝังร่างของเขาใกล้สุสานตระกูลฟู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ความปรารถนาสุดท้ายที่จะได้พบเจอ ฟู่จูอิ๋งในภพชาติหน้าเป็นจริงหลิวเลี่ยงเฟิ่ง ยังจำคำพูดสุดท้ายที่เยี่ยนอิงนางมาพบเขาก่อนตายได้ดี“ผู้ตรวจการหลิว ภพหน้าที่ท่านปรารถนามีจริง ข้าหวังว่าท่านจะตามหาท่านแม่ข้าเจอ แต่ท่านคงไม่เชื่อ ว่าข้า...คือคนที่ข้ามภพมาจากภพอื่น”เยี่ยนอิงเพียงต้องการให้เขาเชื่อว่าชาติภพมีจริง หากแรงปรารถนาของเขาแข็งแกร่งมากพอ นางเชื่อว่าเขาจะต้องได้ย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวในอดีตหลิวเลี่ยงเฟิ่ง ใช้สายตาที่พร่ามัว จ้องมองภาพของเยี่ยนอ
วันที่สามของการแต่งงาน เยี่ยนอิงกลับบ้านเดิม พร้อมข้าวของที่ตระกูลหมานจัดเตรียมเอาไว้ให้นางหลายคันรถม้า แม้จะบอกแล้วว่าที่จวนตระกูลฟู่มิได้ขาดแคลนสิ่งใด แต่ในเมื่อเป็นความตั้งใจของพ่อแม่สามี นางจึงมิอยากจะปฏิเสธให้เสียน้ำใจ“พวกเจ้า กลับมาค้างที่จวนหมานบ่อยๆ เล่า” ฮูหยินหมานเอ่ยออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์แม้จะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ทั้งสองจะย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ของเยี่ยนอิง จนกว่าจวนท่านแม่ทัพจะปรับปรุงเรียบร้อย“ได้เจ้าค่ะ ข้าอยู่ห่างไปเพียงสองตรอกเท่านั้น หากท่านแม่คิดถึงท่านพี่ ข้าจะให้คนมารับท่านไปพักด้วยกันสักหลายวันหน่อย”ฮูหยินหมานรู้ในความหมายของเยี่ยนอิง นางมิได้ชวนไปพักที่จวนตระกูลฟู่ แต่ชวนเข้าไปพักในมิติต่างหาก“ท่านพี่ ไปวันนี้เลยดีหรือไม่” ฮูหยินหมานหันไปเอ่ยถามสามี“อีกสองวันเถิด ข้าจะพาเจ้าไป” นายท่านหมานถอนหายใจออกมา กับความเอาแต่ใจของผู้เป็นภรรยาเยี่ยนอิงได้แต่อมยิ้มมองแม่สามีของนางงอนพ่อสามี ก่อนจะเอ่ยลากลับจวนตระกูลฟู่คนตระกูลฟู่ล้วนแต่ไม่มีผู้ใดไปทำงาน แม้แต่ซานเซินที่ไม่เคยทิ้งเรื่องการเรียนยังขอหยุดเพื่อรอรับพี่สาวอยู่ที่จวน“พี่หญิง!!!” เขาร้องเรียกอย่างยินดี พร
สายตาของหมานจื้อจ้าน จ้องมองร่างงามที่เปลือยเปล่าตรงหน้าอย่างเหม่อลอย“จะมองอีกนานหรือไม่” เยี่ยนอิงกระดิกนิ้วอย่างเชื้อเชิญ“ไม่มองแล้ว” หมานจื้อจ้านรีบถอดเสื้อผ้าของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปอยู่บนเตียงเสียงใสของเยี่ยนอิงที่หัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวานที่เกิดจากความเสียวซ่านที่ได้รับเรียวลิ้นร้ายของหมานจื้อจ้านกวาดเลียไปทุกส่วนของร่างกายเยี่ยนอิง ราวกับมาจะประทับร่องรอยของเขาไว้บนเรือนร่างงามของนางนิ้วมือของเขาลูบไล้เรือนร่างของนางอย่างหื่นกระหาย เมื่อเล้าโลมนางจนอ่อนระทวยไปทั้งตัวแล้ว นิ้วร้ายของก็หยอกล้ออยู่ที่กลีบดอกไม้งามอย่างเชี่ยวชาญ“อ๊า....” เยี่ยนอิงเชิดหน้าขึ้น ยามที่หมานจื้อจ้านส่งนิ้วเข้าไปในช่องทางรักของนางลิ้นของเขาก็ตวัดดูดกลืนเนินเนื้องามอย่างที่เคยหมายเอาไว้อย่างอดยาก มือด้านล่างก็เร่งจังหวะให้นางได้เสร็จสมเร็วขึ้น ด้วยตัวเขาเองก็แทบจะทนไม่ไหวเสียแล้ว“ชะ ช้า หน่อย” เยี่ยนอิงกัดฟันแน่น เมื่อหมานจื้อจ้านกดลำทวนของเขาเข้ามาในช่องทางรักจนเกือบจะมิดลำทวนในคราเดียว“เจ็บหรือไม่” เขาจูบที่ขมับของนาง“มะ ไม่” เยี่ยนอิงไม่ได้มีความรู้สึกเจ







