LOGINเช้าวันอาทิตย์มีแดดอุ่นแบบไม่ร้อนเกินไป ลมจากระเบียงพัดม่านบางให้ไหว ปลายผ้านิ่ม ๆ ลูบโต๊ะโอ๊คใหม่เบา ๆ ราวกับทักทาย ฉันตื่นช้ากว่าเมื่อวานเล็กน้อย แต่ความคึกคักในใจกลับมากกว่าเดิม ตั้งใจว่าจะออกไปซื้อของเข้าห้องเสียที หลังจากย้ายมาแล้วกินมาม่ากับผลไม้วนไปวนมามากเกินจำเป็น
โมจิยืดตัวเป็นรูปตัวแอลบนโซฟา พอฉันลุกก็โบกหางหนึ่งทีเหมือนเซ็นอนุมัติการออกปฏิบัติการ “ภารกิจจ่ายตลาด” ฉันหยิบถุงผ้าหนา ๆ สองใบ ตรวจเงิน บัตรสมาชิกซูเปอร์ (ที่จริงจำไม่ได้ว่าเคยสมัครไหม) และขวดสเปรย์แอลกอฮอล์นิสัยที่ติดมาจากยุคต้องพกไว้ตลอดเวลา
“เดี๋ยวกลับมานะ” ฉันบอกโมจิ มันหาวหวอด ไม่สนใจอะไรนอกจากการกลับไปนอนท่าขนมปังโรล
คอมมูนิตี้มอลล์ข้างคอนโดอยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร เดินสบาย ๆ ได้ เหนือทางเดินมีเงาใบไม้ทอดทับ ลมยกกลิ่นขนมปังจากร้านเบเกอรี่ขึ้นมาให้อยากเปลี่ยนใจไปกินอย่างอื่นก่อนจะถึงซูเปอร์ ฉันเตือนตัวเองว่า “ตั้งใจมาซื้อของนะมะปราง อย่าเพิ่งโดนขนมปังกวักมือเรียก”
ถึงหน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ต ฉันเข็นรถเข็นใบเล็กออกจากแถว รปภ.ทักทายยิ้ม ๆ ฉันยิ้มตอบแบบคนพยายามเป็นลูกค้าดีเด่น แล้วกำลังจะก้าวเข้าไป ก็ได้ยินเสียงคุ้น ๆ พร้อมเงาเตี้ยขนฟูพุ่งเข้าด้านข้าง
“บู้!” เสียงสั้น ๆ ของโกลเด้นรีทรีฟเวอร์
“โตโตะ!” ฉันเผลอร้องชื่อออกมาด้วยความดีใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งขาตัน ๆ มาหยุดตรงหน้า แล้วโดยแรงปรารถนาอันแรงกล้าที่อยาก “ร่วมภารกิจ” มันกระโดดพรวดขึ้นพยายามจะปีนเข้ารถเข็นที่ฉันจับอยู่! ขาหลังปักพื้น ขาหน้าคล้องขอบรถเข็น ตัวโย้ไปโย้มาราวกับนักยิมนาสติกท่าพลิกตู้แช่
“เฮ้ย ๆ ๆ ไม่ได้ ๆ” ฉันหัวเราะจนแทบจะเป็นเสียงหวีด รีบประคองขอบรถเข็นไว้ไม่ให้หงาย
ตามหลังมาห่างนิดเดียวคือภีม ในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงผ้าดิบพับปลาย เรียบง่ายเหมือนเคย เขาจับสายจูงยาวไว้ในมือแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มใจเย็น “โตโตะ ลงครับ นั่นรถของคุณมะปราง ไม่ใช่รถบริการสัตว์เลี้ยง”
รปภ.หน้าซูเปอร์หัวเราะพลางยกป้ายเล็ก ๆ ขึ้นให้ดู “สุนัขเข้าซูเปอร์ได้ถ้าอยู่ในเป้อุ้ม หรือในรถเข็นสัตว์เลี้ยงนะครับ” เขาชี้ไปมุมหนึ่ง มีรถเข็นแบบตะกร้าตาข่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงจอดอยู่สองใบ
ภีมยิ้ม ยิ้มแบบ “ครับผม” แล้วหันมาถามฉัน “จะรอผมเอารถสัตว์เลี้ยงมาก่อนไหมครับ หรือคุณเข้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมตาม”
ฉันมองโตโตะที่ทำตาแวววาวเหมือนเด็กอยากไปสวนสนุก “ไม่รีบค่ะ รอด้วยกัน” ฉันตอบง่าย ๆ กว่าที่ตั้งใจ
ไม่นาน ภีมก็เข็นรถสัตว์เลี้ยงแบบมีฝาครอบตาข่ายมา โตโตะกระโดดเข้าไปเองอย่างภูมิใจ หางส่ายควงสว่าน “พร้อมครับ!” สีหน้าของมันบอกชัด
เราสองคนจึงเข็นรถเข้าสู่สนามรบ…เอ๊ย เขตสินค้าสด อากาศข้างในเย็นสบาย คนไม่พลุกพล่านมากเพราะยังสายอยู่เล็กน้อย แสงไฟเหนือผักผลไม้ทำให้ทุกอย่างดูสดใสขึ้นทันควัน ฉันหยิบตะกร้าแยกไว้ในรถเข็นของตัวเอง และเริ่มต้นด้วยโซนผัก ซึ่งตามปกติ ฉันจะหยิบอะไรก็ได้ที่ “ดูเป็นผักและไม่เหี่ยว” แค่นั้น
“จะทำเมนูอะไรดีครับ” ภีมถามเหมือนกัปตันทีมที่เริ่มวางแผน
“เอ่อ…ความจริงฉันยังไม่มีแผนเลยค่ะ” ฉันสารภาพตามตรง “ฉันถนัดเมนูไข่กับข้าวต้มสำเร็จรูปมากกว่า”
ภีมหัวเราะในลำคอ “งั้นเริ่มจากเมนูง่าย ๆ ก่อนดีไหมครับ อย่าง ‘ไข่คนหอมเนยกับผักโขม’ หรือ ‘ข้าวผัดกระเทียมเนย’ อะไรแบบนี้ วัตถุดิบน้อย แต่กินแล้วรู้สึกว่าชีวิตมีระดับขึ้นหนึ่งนิด”
“โอ้โห ฟังแล้วอยากเป็นคนมีระเบียบเลยค่ะ” ฉันยิ้ม “สอนด้วยนะคะ”
“ได้ครับ” เขาตอบเหมือนเรื่องเล็กกว่าหยิบแอปเปิลหนึ่งลูก
ระหว่างคุยกัน เขาเดินไปหยิบผักโขมสด ขยับใบดูใต้ท้องใบ แล้วสอน “ให้ดูว่าก้านยังกรอบ ใบไม่ช้ำ ไม่มีน้ำค้างค้างเยอะ ถ้ามีหยดน้ำก็ควรเป็นหยดเล็ก ๆ ไม่เหนียว” ฉันทำตาโต “รอบรู้เรื่องผักมาก” เขายักคิ้วน้อย ๆ “เป็นบาริสต้าแต่ก็ต้องกินข้าวครับ”
ฉันหยิบมะเขือเทศราชินีหนึ่งถุง เขาหยิบแตงกวาญี่ปุ่นยาวสองผล กระเทียมกลีบใหญ่หนึ่งหัว และหัวหอมสีทองใบเกลี้ยง ๆ ขณะที่ฉันเอื้อมไปหยิบเห็ดแชมปิญอง เขาส่งสัญญาณมือบอก “ใช่เลย” แล้วหยิบเพิ่มอีกถุงเล็ก “เผื่อทำซุปใสเร็ว ๆ ได้”
โตโตะในรถตาข่ายเงยหน้าสังเกตการณ์ทุกการหยิบทิ้งของเรา สายตาระยิบระยับเหมือนผู้บริหารตรวจคลังสินค้า ฉันหยิบผักชีให้มันดมเล่น (ถึงไม่กิน) มันทำหน้าบึ้งนิด ๆ เหมือนจะบอกว่า “ไร้กลิ่นเนื้อสัตว์ ไม่อนุมัติ”
ขยับไปโซนผลไม้ ฉันหยิบกล้วยหอมหนึ่งหวี แอปเปิลสองลูก ภีมหยิบส้มลูกเล็ก “เอาไว้ทำน้ำส้มสดตอนเช้า” เขาว่า แล้วสาธิตการเช็กความฉ่ำโดยการกดเบา ๆ ตรงก้นลูก ฉันพยักหน้ารัว ๆ เหมือนนักเรียนจำทฤษฎีใหม่ได้
ผ่านไปสักพัก เราขยับสู่โซนเนื้อสัตว์ ฉันมองถาดอกไก่สีชมพูอ่อน ๆ แล้วชั่งใจ ภีมชี้ “ถ้าอยากทำข้าวผัดง่าย ๆ หรือสลัด แนะนำอกไก่ชิ้นเล็ก ๆ เอาไปลวกแล้วฉีกได้ หรือถ้าใช้กระทะเดียว อกไก่หั่นเต๋าเล็ก ๆ จะสุกไว” ฉันหยิบตามคำแนะนำ แล้วหันไปเห็นมือเขาถืออกไก่อีกสองถาด “ของร้านครับ ทำแซนด์วิชไก่ย่างพรุ่งนี้เช้า” เขาบอกเรียบ ๆ
เราพากันเลี้ยวไปโซนเส้นพาสต้า ภีมหยิบสปาเก็ตตีเส้นเล็กหนึ่งห่อ หันมาบอก “วันไหนขี้เกียจ ลองทำ aglio e olio ได้ แค่กระเทียม พริกแห้ง น้ำมันมะกอก เกลือกับพาสลีย์ ถ้าไม่มีพาสลีย์ก็ไม่ต้อง” เขาหยิบพริกแห้งห่อเล็กตามมาวางในตะกร้า “บ้านคุณมีหม้อกับกระทะใบใหญ่ไหม”
“มีใบกลาง ๆ ค่ะ” ฉันทำหน้าสารภาพ “และไม้พายหนึ่งอันที่ไม่แน่ใจว่าต้องเปลี่ยนใหม่หรือยัง”
“โอเค ใบกลางก็ได้ แต่เวลาต้มเส้น อย่าลืมใส่เกลือในน้ำ ให้รสเข้าไปที่เส้นเลย” เสียงเขาเป็นครูสอนทำกับข้าวที่ใจเย็นมาก ฉันเผลอคิดว่าบางทีภีมน่าจะทำคลาส “อยู่บ้านอย่างไรให้อร่อย” ออนไลน์ได้เลย
เราถกเถียงอย่างขำ ๆ เรื่อง “เนยชนิดไหนดี” ฉันยืนมองตู้แช่เนยนานอยู่หน้าสามแบรนด์ เห็นแต่คำว่าออร์แกนิก เค็มจาง ๆ และยูโรเปียนสไตล์ ก่อนตัดสินใจเลือกตามรอยเขา “ตัวนี้ครับ กลิ่นหอมพอดี ราคาสบายใจ” นอกจากนี้เขายังหยิบนมสดหนึ่งกล่อง “นิดหน่อยสำหรับไข่คน ใส่แล้วเนื้อเนียนขึ้น” และชีสพาเมซานก้อนเล็ก “เผื่อโรยหน้าเวลาอยากหรู”
เราเดินคุยไปหัวเราะไป จังหวะหนึ่งขณะเลี้ยวเข้าโซนไอศกรีม พื้นตรงหน้าตู้แช่เปียกมีใครสักคนคงทำถังน้ำแข็งหก ฉันก้าวพรวดเกือบลื่น โชคดีที่มือข้างขวาของภีมคว้าแขนฉันทัน “ระวังครับ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่แน่นพอจะส่งความมั่นคงมาให้หัวใจ ฉันยิ้มแบบหน้าร้อนขึ้นมาสององศา “ขอบคุณค่ะ พื้นซูเปอร์นี่เหมือนสนามแข่งสเก็ตได้เป็นบางวันนะ”
“ครับ” เขาปรายตาไปเห็นพนักงานกำลังถือป้าย “พื้นเปียก” มา “เดี๋ยวเขาตั้งป้าย”
พอหายตกใจดีแล้ว เราก็เดินต่อไปยังโซนของใช้ในบ้าน
แผนที่ฉันวางไว้ตั้งแต่ต้นว่าต้องแวะ “หนึ่ง…สอง…สาม…” ฉันนับเสียงเบาจากใจตั้งแต่เห็นชั้นวางกล่องแก้วและผ้าปูโต๊ะสีเอิร์ธโทน เบรกตัวเองไม่ให้หยิบทุกอย่างที่น่ารักแต่ไม่จำเป็น และแล้วสายตาก็หยุดที่…ที่รองแก้ว ไม้กลมลายหน้าหมา–แมว วางคู่กันในแพ็กเดียว แผ่นหนึ่งเป็นหมา อีกแผ่นเป็นแมวขนฟู ดวงตากล่องโตเหมือนกำลังบอกว่า “ซื้อเราไปสิ” ฉันยืนขำอยู่คนเดียวสักอึดใจแล้วหยิบขึ้นมาดู เนื้อไม้เรียบดี ไม่มีเสี้ยน ป้ายบอกราคาติดคำว่า “ลด 15%”
“น่ารัก” เสียงภีมดังมาข้าง ๆ เขายืนดูด้วยเหมือนกัน สายตาไม่รีรอ “เหมาะกับระเบียงชั้น 18” ที่เขาพูดมีน้ำเสียงเรียบง่ายจนฉันต้องวางของลงแล้วแสร้งทำเป็นมองอย่างอื่น “เออ…น่ารัก แต่เดี๋ยวค่อยว่ากัน” (สาเหตุหนึ่งคือฉันเริ่มชั่งใจกับจำนวนของในรถเข็นตัวเอง)
เราเข็นรถต่อไปโซนเบเกอรี่ มีพนักงานกำลังตัดขนมปังใหม่กลิ่นหอมฟุ้ง แจกชิมชิ้นเล็ก ๆ โตโตะในตะกร้าเริ่มส่งสัญญาณสายตา “ผมก็อยากชิมครับ” ฉันหัวเราะแล้วก้มบอก “ขอโทษนะคุณพนักงาน แต่ลูกค้าสี่ขาไม่ได้รับบริการชิม” ภีมยื่นขนมสุนัขเม็ดเล็กให้แทน “อันนี้ของคุณ”
เราจัดการเรื่องเครื่องดื่มอีกเล็กน้อย ฉันหยิบชาดอกไม้หนึ่งกล่อง ภีมหยิบเมล็ดกาแฟแพ็กเล็กสองชนิด “อันนี้ของร้าน ส่วนอันนี้…ของคุณ ลองทำดริปแบบง่าย ๆ ดูไหม เดี๋ยวผมเขียนโน้ตให้” ฉันอ้าปากค้างนิด ๆ “จริงเหรอคะ” เขาพยักหน้า “ครับ ขี้เกียจลงร้านบ้าง ก็ชงเองได้”
ระหว่างเดินเล่นผ่านโซนของกระจุกกระจิก ฉันแวะดูชั้นเทียนหอมสีอ่อน กลิ่นซิตรัสผสมดอกไม้ ฉันยกขึ้นดมแล้ววาง แล้วหยิบขึ้นมาอีก เอาวางอีกครั้ง เพราะคิดถึงงบประมาณเล็ก ๆ ของเดือนนี้ ภีมทำเป็นไม่ได้สังเกตหรืออาจแกล้งไม่สังเกต แต่ฉันรู้สึกว่าเขา “รับรู้” อยู่เงียบ ๆ
“เธอออออ!” เสียงแหลมคุ้นมาแต่ไกล ฉันหันไป มิ้นท์ยืนอยู่ท้ายแถวรถเข็นอีกคัน ผมรวบสูง เสื้อยืดสีเขียวมิ้นท์สมชื่อ รถเข็นของเธอเต็มไปด้วยทิชชู่ยกแพ็ก ผักสลัด และน้ำดื่มสองลัง “โธ่โว้ยยยยย อะไรกันเนี่ย! วันอาทิตย์ของโลกนี้น่ารักไปหรือเปล่า คู่นี้มาเดินซูเปอร์พร้อมกัน!”
ฉันหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “บังเอิญจริง ๆ ย่ะ”
ภีมยกมือไหว้อย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณมิ้นท์”
มิ้นท์หรี่ตาแล้วหัวเราะ “สวัสดีค่ะคุณภีม…และคุณพนักงานโตโตะ” โตโตะเห่า “บู้” หนึ่งทีเหมือนรับคำทักทาย เธอก้มไปส่งยิ้ม ก่อนเงยหน้ามามองฉันอีก “เพื่อนบ้านหรือแฟนบ้านกันแน่คะวันนี้” เธอกระซิบดังจนทั้งแผงเครื่องถ้วยชามรู้หมด
“มิ้นท์!” ฉันถองศอกใส่เพื่อนเบา ๆ ภีมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เก่งมาก เหมือนมีโล่ใสป้องกันคำแซว
“โอเค ๆ ไม่กวนละ ฉันไปหยิบโยเกิร์ตก่อน เดี๋ยวไว้เจอกันตรงแคชเชียร์นะจ๊ะ” เธอทำท่าเดินแบบนางเอกคอมเมดี้ไปอีกทาง ปล่อยให้ฉันยืนอมยิ้ม
เดินต่ออีกหน่อย เราแวะโซนเครื่องครัว ฉันมองกระทะเคลือบใหม่ ๆ แล้วลูบคางอย่างคนคิดจริงจัง ภีมถาม “ที่ห้องมีกระทะดีไหมครับ”
“มีอันนึงค่ะ แต่เริ่มลอกแล้ว” ฉันตอบ
เขาหัวเราะเบา ๆ “งั้นเลือกใบที่ไม่หนักเกินกับมือคุณ จับดูให้ถนัด ถ้าอยากทอดไข่ไม่ติด เลือกเคลือบดีหน่อย” เขาหยิบใบหนึ่งส่งมาให้ “ลองถือดู” น้ำหนักกำลังดี ฉันลองง้างไม้พายลม ๆ เล่น “โอเคเลย”
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







