LOGINท่ามกลางความอ่อนโยน เสียงหนึ่งเกิดขึ้น เสียงแก้วกระทบพื้น “กริ๊ง!” เด็กผู้หญิงตัวเล็กทำแก้วชิมโกโก้หล่น มือเธอสั่นและตาเริ่มมีน้ำ ภีมเดินไปเร็วพอ ๆ กับที่โตโตะเดินวนเวียนเป็นห่วง เขาคุกเข่าลง เก็บเศษแก้วอย่างระมัดระวัง “โชคดีที่เป็นแก้วใบทดลองนะครับ ใบจริงยังอยู่” เขาชูแก้วอีกใบแล้วหลิ่วตาให้เด็กน้อย “และถ้าโกโก้หก เราจะเรียกเมนูนี้ว่า ‘โกโก้อวกาศ’ เพราะมันเดินทางไกลมาก” เด็กหญิงหลุดหัวเราะ น้ำตาที่จะไหลหยุดอยู่แค่ขอบตา แม่ของเด็กยิ้มขอบคุณเกรงใจ ภีมถอยให้แม่กอดลูกไว้ แล้วเขาค่อยกลับมาเก็บเศษแก้วต่ออย่างนิ่ง
“ใจกล้าได้อีก” มิ้นท์ยื่นนิ้วโป้งให้ฉันแบบคนบ้าบอลยิงเข้า “เขาเกิดมาเพื่อเจอสถานการณ์วุ่น ๆ ของชั้น 18 และยังยิ้มได้”
ฉันเผลอคิดตาม ใช่ เขาเหมือนคนที่ทำให้ความวุ่นวายเล็ก ๆ ไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่ นี่เป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งที่โลกควรมีรางวัล
ครึ่งหลังของเวิร์กช็อปเป็นช่วงให้เด็ก ๆ ติดสติ๊กเกอร์คอร์กี้บนเสื้อ ภีมประกาศให้ทุกคนเป็น “ผู้ช่วยบาริสต้ากิตติมศักดิ์” วันนั้น ทั้งร้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ที่กัดกินเครียดของผู้ใหญ่จนบางลง ฉันเห็นพ่อคนหนึ่งแอบชิมคาปูชิโน่ของตัวเองตอนลูกหมุนโม่ แล้วทำหน้าทึ่งแบบคนพบทวีปใหม่ ภาพนั้นทำให้ฉันยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
จบคลาส เด็ก ๆ รับสติ๊กเกอร์และถ่ายรูปกับโตโตะที่ทำงานเกินค่าจ้าง ภีมก้มตัวขอบคุณผู้ปกครอง เอ่ยคำเล็ก ๆ ว่า “ขอบคุณที่พาเขามาเล่นนะครับ” แล้วหันไปเก็บอุปกรณ์ทีละชิ้น แปรงขนปัด กวาด ผงกาแฟตกค้างไม่มีเหลือ เขาเช็ดโม่ด้วยผ้าแห้งก่อนเก็บเข้ากล่อง “ไม้” กับ “โลหะ” แยกกันอย่างเป็นระบบ ความละเอียดนี้เห็นแล้วก็ เออ ชวนให้ชอบมากขึ้นอีกนิด
ฉันเดินไปใกล้ “คลาสน่ารักมากค่ะ”
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มบาง “เด็ก ๆ ทำให้กลิ่นกาแฟสนุกขึ้น”
“แล้วคุณทำให้เด็ก ๆ เชื่อว่าพลาดได้” ฉันหลุดพูด พอรู้ตัวก็หน้าอุ่น “หมายถึง…คุณทำให้เขาไม่กลัวตอนของหก”
ภีมเงียบชั่ววินาที ก่อนตอบเรียบ ๆ “ผมหกบ่อยกว่าพวกเขาเยอะครับ เลยรู้ว่ามันไม่เป็นไร”
ประโยคนั้นเหมือนกระทบเบา ๆ ที่อก เสียงทุ้มและน้ำหนักคำตรงพอดี ฉันรวบรวมสติแล้วชวนคุยเรื่องรูป “ฉันถ่ายฟิล์มนิดหน่อย ไว้ล้างแล้วจะเอามาให้ดูนะคะ เผื่อคุณอยากติดบนกำแพงเวิร์กช็อป”
“ยินดีมากครับ” เขาตอบด้วยสายตาจริงใจ “ถ้ามีเวลาส่งไฟล์ดิจิทัลด้วยก็ได้ จะได้ลงเพจร้าน แล้วใส่เครดิตคุณ”
“โอเคค่ะ” ฉันยิ้ม ความรู้สึกภูมิใจเล็ก ๆ โผล่ขึ้นมาเหมือนฟองนมเหนือกาแฟ
มิ้นท์ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่างจู่ ๆ ก็ยื่นหน้ามาพูดกับภีม “ฉันให้คะแนนสิบเต็มในหัวข้อ ‘พ่อบ้านใจกล้า’ นะคะ ทั้งรับมือเด็ก ทั้งเก็บงาน ทั้งปลอบใจด้วยมุกตลก”
ภีมทำตาเหวอครึ่งวินาที ก่อนหัวเราะเบามาก “ขอบคุณครับ” เขามองหน้าฉันแวบหนึ่ง เหมือนจะถามว่า เพื่อนคุณปกติดีมั้ย ฉันยิ้มตอบว่า ปกติดี แต่นี่คือโหมดสายแซว
กะทันหันนั้น พนักงานในร้านยกจานคุกกี้เนยออกมาวางที่โต๊ะเรา “บอสบอกให้เสิร์ฟเป็นของขอบคุณครับ” ภีมหันมาบอก “ลองคู่กับชามะลิร้อนดูไหมครับ วันนี้อากาศมันครึ่ง ๆ กลาง ๆ”
“ดีค่ะ” ฉันรับคำอย่างไม่ลังเล “มิ้นท์ เธอชอบชาใช่ไหม”
“ชอบทุกอย่างที่กินแล้วมีความสุขค่ะ” เธอตอบก่อนยิ้มกว้างให้ภีม “ขอบคุณนะคะ บอส” เธอกัดคำว่าบอสจนได้ฟีลซีรีส์ออฟฟิศ
จิบชาร้อนหนึ่งคำ กลิ่นมะลิอ่อน ๆ ขึ้นจมูกแบบไม่ฉุน กัดคุกกี้กรอบ ๆ ตาม ความหวานไม่จัดทำให้ฉันนึกถึงคำว่า “พอดี” ซึ่งเป็นคำง่าย ๆ ที่อยากปักไว้รอบตัวในช่วงนี้ของชีวิต ฉันเหลือบไปเห็นภีมเช็ดเคาน์เตอร์เสร็จพอดี แล้วเดินไปผูกผ้าพันคอให้โตโตะใหม่ เพราะมันคลายจนเอียง “หล่อแล้วครับพนักงานต้อนรับ” เขาพูดกับหมา คอร์กี้เงยหน้าส่งยิ้มตากลม เห็นแล้วอยากสมัครเป็นลูกค้าประจำตลอดไป
“เพื่อน…” มิ้นท์เอนตัวมากระซิบ “ฉันเริ่มกลัวว่าเธอจะไม่ย้ายคอนโดไปไหนอีกแล้วนะ”
“ฉันก็เริ่มกลัวเหมือนกัน” ฉันหัวเราะ ครึ่งสนุกครึ่งจริงจัง
บ่ายคล้อย ลูกค้าจำนวนหนึ่งเริ่มเข้ามาเพิ่ม เวิร์กช็อปจบไปแล้ว แต่กลิ่นสนุกยังค้างในอากาศ ฉันกับมิ้นท์ขออนุญาตช่วยเก็บโต๊ะผ้าปูและอุปกรณ์นิดหน่อย ภีมตอบ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพนักงานจัดการ” แต่ฉันดึงถาดแปรงมาถือยืนยันว่า “ขอช่วยหน่อย จะได้เอาบุญ” เขายิ้มเหมือนยอมแพ้ “งั้นขอบคุณนะครับ” เสียงคำว่าขอบคุณของเขามีโทนอุ่นที่พิสูจน์ว่าการแบ่งเบางานเล็ก ๆ ก็มีค่าพอ ๆ กับการชงกาแฟแก้วเก่ง
ในช่วงที่เราจัดของ พ่อของเด็กคนหนึ่งกลับเข้ามา เขาถือรูปโพลารอยด์ที่พนักงานถ่ายให้ตอนจบกิจกรรม “ขอบคุณมากนะครับ ลูกผมสนุกมาก ปกติเขาไม่ค่อยกล้าทำอะไรที่ต้องใช้แรงมือ แต่วันนี้เขาบอกว่า ‘พรุ่งนี้อยากมาบดอีก’” ภีมยิ้มและก้มหัว “ดีใจครับ ถ้ามาอีกบอกผม เดี๋ยวเตรียมโม่พิเศษให้” พ่อเด็กส่ายหัวหัวเราะ “โม่พิเศษคืออะไรครับ” “คือโม่ธรรมดา แต่มีสติ๊กเกอร์โตโตะติดเพิ่มหนึ่งดวงครับ” ทุกคนหัวเราะพร้อมกันอย่างไม่ได้นัด
หลังลูกค้ากลับ ฉันกับมิ้นท์ย้ายไปนั่งมุมหน้าต่าง แสงบ่ายผ่านใบไม้ลงมาเป็นเงาลายบนโต๊ะไม้ เราเปิดกล้องฟิล์มดูจำนวนช็อตที่เหลือ “พอถ่ายอีกสองรูป” ฉันวางกล้องไว้ตรงกลาง
“ถามจริง” มิ้นท์เริ่มโหมดเพื่อนสนิท “ถ้าวันหนึ่งเธอต้องเลือกเมืองอื่นกับที่เดิม เธอจะเลือกอะไร”
คำถามนั้นมาเร็วกว่าที่ฉันเตรียมใจไว้นิดหน่อย ฉันคิดครู่หนึ่ง คิดถึงโต๊ะโอ๊คใหม่ในห้อง กลิ่นลาเต้อุ่น แสงระเบียงชั้น 18 ตอนเช้า เสียงหัวเราะของเด็กในร้านวันนี้ และคนที่คอยจดรายละเอียดเล็ก ๆ อย่าง “อุณหภูมินมไม่เกิน 62” ฉันจึงตอบ “ยังไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้ฉันชอบตื่นมาแล้วรู้ว่ามีที่ไปที่เรียกว่า ‘ที่เดิม’”
มิ้นท์ยิ้ม แววตาอ่อนลง “ดีแล้วเพื่อน แค่รู้ว่าตอนนี้มีที่ให้วางใจ ก็พอ”
เราเงียบพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนทั้งโลกช้าลงจนได้ยินเสียงเครื่องบดไฟฟ้าทางโน้นกับเสียงช้อนกระทบแก้วอีกโต๊ะกลายเป็นจังหวะคอรัสเบา ๆ
ภีมเดินมาหยุดใกล้ ๆ “เย็นนี้จะแวะชิมเบลนด์ใหม่ไหมครับ” เขาถามเหมือนถามว่า เย็นนี้จะมานั่งคุยสบาย ๆ กันไหม
“ได้สิคะ” ฉันตอบพลัน “วันนี้วันหยุด ไม่มีประชุมกวนใจ”
“งั้นหกโมงครึ่งดีไหมครับ ร้านเริ่มเงียบ” เขาเสนอ ฉันพยักหน้า “โอเคค่ะ”
มิ้นท์ยิ้มจนตาหายไปครึ่ง “ฉันจะไปซื้อของที่ซูเปอร์ เดี๋ยวกลับมารับ หรือไม่ต้องรับ?” เธอยกคิ้ว ฉันตีแขนเธอเบา ๆ “ไปเถอะ เดี๋ยวฉันเดินกลับเอง” เธอทำหน้าทะเล้น ก่อนหยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายเข้าปาก “ขอให้การชิมเบลนด์คืนนี้เต็มไปด้วยโน้ต ‘ดอกไม้บนหลังคาสังกะสี’ นะคะคุณผู้ชิมประจำชั้น 18” เธอเน้นคำสุดท้ายแล้วโบกมือบ๊ายบาย
ฉันมองเพื่อนเดินลับไป แล้วหันกลับมานั่งนิ่ง ๆ สักพัก ปล่อยให้บ่ายไหลไปกับกลิ่นกาแฟ พนักงานเปิดเพลงแจ๊สเบา ๆ ที่ฉันไม่รู้ชื่อแต่รู้สึกว่าคุ้นเหมือนเสียงฝนยามค่ำในเมืองเล็ก ๆ ภีมยกถาดแก้วไปเก็บ เขาเดินผ่านโต๊ะฉันพอดี เราสบตากันครู่หนึ่ง—ไม่มีคำพูด แต่เหมือนมีบางอย่างที่นุ่ม ๆ แลกเปลี่ยนกันอยู่กลางอากาศ
หลังบ่ายแก่ ฉันออกไปเดินเล่นรอบตึกสั้น ๆ แวะซื้อดอกยิปโซช่อเล็ก—ตั้งใจจะเอาไปใส่ขวดแก้วบนโต๊ะโอ๊คใหม่ เมื่อกลับผ่านหน้าร้านอีกครั้ง โตโตะยังนั่งประจำที่หน้าประตู ผ้าพันคอผูกแน่นเรียบร้อย มันมองฉันตาใสแล้วส่ายหางเหมือนทัก “เจอกันตอนเย็นนะครับ” ฉันก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “ขอบคุณนะพนักงานต้อนรับ” แล้วมองผ่านกระจกเข้าไป ภีมกำลังก้มเปลี่ยนดริปเปอร์ เขาเอียงหัวนิดหนึ่งเหมือนฟังเสียงน้ำผ่านผงกาแฟ กล้ามเนื้อที่ข้อมือขยับเบา ๆ อย่างคนสนิทกับงานของตัวเอง ภาพนั้นทำให้ฉันได้คำตอบหนึ่งในใจ—เขาไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน เขาเป็นคนที่ทำให้พื้นที่รอบตัวนุ่มลงสำหรับทุกคนที่อยู่ใกล้
ฉันเงยหน้ามองป้ายไม้ “ที่เดิม” อีกครั้ง แล้วบอกตัวเองในใจว่า วันหยุดของชั้น 18 วันนี้ไม่ต้องมีทริปใหญ่ ไม่ต้องมีวิวภูเขาหรือทะเล แค่มีเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ กลิ่นกาแฟบดมือ และคนที่พูดน้อยแต่ใจดี ก็พอให้ทั้งวันกลายเป็นเรื่องเล่าที่อยากเก็บไว้
ฉันเดินกลับคอนโดด้วยช่อดอกยิปโซในมือ ภาพโมจิที่คงกำลังหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาลอยขึ้นมา ในหัวเริ่มเรียงคำว่า “สิ่งดี ๆ ของวันนี้” โดยอัตโนมัติ—ข้อหนึ่ง เสียงหัวเราะของเด็กในร้าน ข้อสอง หน่วยกู้ภัยกาแฟของภีม ข้อสาม โตโตะผ้าพันคอลายเมล็ด ข้อสี่ ชามะลิร้อนกับคุกกี้กรอบ ข้อห้า…ความคิดที่ชัดขึ้นว่า เขาคือคนที่ดูแลคนรอบข้างได้ดีจริง ๆ
เมื่อประตูห้องปิดลง ฉันวางดอกไม้ลงในขวดแก้วบนโต๊ะโอ๊คใหม่ ลูบปลายก้านให้เข้าที่ แสงบ่ายปลายวันลอดผ่านม่านบาง ๆ ตกกระทบขวดน้ำจนเกิดประกายเล็ก ๆ เหมือนดาวจิ๋ว ฉันหยิบสมุดขึ้นมาเขียน—
“วันหยุดของชั้น 18 = เสียงหัวเราะจากถ้วยเล็ก ๆ + กลิ่นกาแฟที่ตื่น + คนที่เปลี่ยนความพลาดเป็นรอยยิ้ม”
แล้ววางปากกา พิงพนักเก้าอี้ สูดลมหายใจยาว ๆ พร้อมรอเวลาเย็นหกโมงครึ่ง—รอบที่สองของวัน ซึ่งแม้ไม่อยู่ในตารางเวิร์กช็อป แต่ฉันรู้ว่าเป็นชั่วโมงเรียนพิเศษของหัวใจ ที่ชื่อว่า “อยู่ด้วยกันเฉย ๆ ก็พอ”
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







