"...ท่าน นี่ท่านยังยิ้มหรือเจ้าคะ ไม่ช่วยแล้วยังกล้ายิ้มเยาะผู้อื่นงั้นหรือ คนไร้มโนธรรม" ไม่รู้หลิวจือหลินกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ใด อาจเพราะเหลืออดกับท่าทีโอหังซ้ำยังเยาะยิ้มของเขาอยู่ตลอดจึงทำให้สติของนางขาดผึง
จู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับยิ้มก็หุบฉับ มือแกร่งคว้าหมับไปยังท้ายทอยสตรีฝั่งตรงข้ามเดี๋ยวนั้น ลมอุ่น ๆ ถูกเป่าออกมาพรูดหนึ่ง หลิวจือหลินตะลึงงันตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ กระทั่งใบหน้าซับสีแดงเรื่อเกือบเท่าหน้าผาก
"เป็นเช่นไรหายเจ็บแล้วหรือไม่"
นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ ประจวบเหมาะกับล้อเลื่อนนั้นหยุดเคลื่อนที่แล้ว หลิวจือหลินไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงก็ชิ่งกลับลงไปเสียก่อน ครั้นได้สติ หลิวจือหลินจึงสลัดศีรษะพัลวัน
"...ทำบ้าอะไรของท่าน ท่านโหว คนฉวยโอกาส"
เสียงใสตะโกนไล่หลังดังลอดจากด้านใน เจียงซื่อจวินลงมาก่อนแล้วยังไม่ทันสาวเท้าออกไปก็พลอยหน้ากระตุก นางเป็นฮูหยินของเขา แต่กลับกล่าวหาสามีว่าฉวยโอกาส เมื่อครู่เขาแทบมิได้แตะถูกใบหน้านางเลยด้วยซ้ำ
วันนี้เจียงซื่อจวินได้เปิดหูเปิดตาครั้งแรกช่างสนุกยิ่งนัก แท้จริงฮูหยินของเขาเป็นสตรีเช่นไรกันแน่ นิสัยยามนี้หรือเมื่อก่อนที่เสแสร้งแกล้งทำ
สาวใช้จากเรือนตะวันตกวิ่งถลาล้มลุกคลุกคลานเสียจนเข่าถลอก
"อนุหม่าเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านโหวกลับมาพร้อมฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ"
สตรีร่างระหงดีดกายผึงยืนขึ้นเต็มความสูง มือทั้งสองกำหมัดแน่นเสียจนเส้นเลือดปูดโปน "เป็นไปได้อย่างไร ตั้งแต่ท่านโหวรับข้าเข้าจวน ข้ายังไม่เห็นท่านโหวไปพบหน้านางสักครั้ง แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น!!"
สาวใช้ใบหน้าเจื่อนลง "ฮูหยินนิสัยเปลี่ยนไปมาก นับตั้งแต่ฟื้นจากเพลิงไหม้ครั้งก่อน เกรงว่าท่านโหวอาจ..."
หม่าลี่เจี่ยตวัดตามองฉับ นางโยนถ้วยชากระแทกหน้าผากสาวใช้ทันควัน
"โอ๊ย!!"
"เจ้าจะบอกว่าท่านโหวกำลังสนใจนางงั้นหรือ ห้ะ!"
"ขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้น อนุหม่าโปรดอภัยด้วย"
หม่าลี่เจี่ยกัดฟันกรอด ร่างบางกระแทกกายนั่งยังเก้าอี้ไม้ขัดดังเดิม นางกำลังขบคิดบางสิ่ง
เหตุใดนางไม่ตายไปเสียตั้งแต่เพลิงไหม้ครั้งนั้น ช่างน่าแค้นใจจริง ๆ
.
.
แสงจากบุหลันส่องสว่างลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างทรงกลม พร้อมกับโคมไฟเปล่งประกายเรือง ๆ ให้ความอบอุ่นชวนสบายตัว สตรีร่างระหงในชุดนอนสีขาวกำลังนั่งละเลงปลายพู่กันลงบนกระดาษเนื้อหยาบด้วยอารมณ์สุนทรีย์
เจียวเจียวมองสิ่งที่หลิวจือหลินกำลังตวัดวาดก็พลอยเบิกตาตื่นตะลึง "โอ้โห ฮูหยินเจ้าคะ นี่คืออันใดหรือ ไฉนจึงงามนัก"
หลิวจือหลินยกกระดาษขึ้นส่องลอดแสงไฟ จากนั้นผินหน้ากลับยิ้มแฉ่งให้สาวใช้ข้างกาย "นี่คือ...เสื้อผ้าคอลเลคชั่นแรกของข้า"
"หา..." เจียวเจียวยกมือเกาแก้มเกาศีรษะอย่างงุนงง "คอล...อันใดนะเจ้าคะ"
หลิวจือหลินยิ้มขัน พลางเคาะด้ามพู่กันลงบนหน้าผากเจียวเจียวอย่างนึกหยอกล้อหนึ่งครา "เสื้อผ้าชุดใหม่ ที่รับรองว่าไม่ซ้ำใครและไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน ข้าหวังว่าวันหนึ่งจะได้เปิดร้านตัดเย็บและออกแบบเสื้อผ้าจริง ๆ"
เจียวเจียวยิ้มกว้าง "บ่าวรับใช้ฮูหยินมาตั้งนาน ไม่เคยรู้เลยว่าท่านชมชอบเรื่องออกแบบตัดเย็บอาภรณ์"
"เมื่อก่อนก็คงไม่ใช่ เช่นนั้นเรามา...ทำความรู้จักกันเสียใหม่ดีหรือไม่"
อย่างไรแล้วสาวใช้ทั้งสองก็ดุจดั่งญาติพี่น้องของนางอีกหนึ่ง ตั้งแต่ลืมตาตื่นในยุคสมัยนี้ หลิวจือหลินก็มิได้โดดเดี่ยว นางได้พบแววตาและสีหน้าเป็นกังวลระคนห่วงใยของสตรีทั้งสองก่อนใครอื่น จะมิให้หลิวจือหลินเอ็นดูและผูกพันธ์ได้อย่างไร
หลิวจือหลินยกภาพวาดขึ้นเหนือศีรษะตนอีกครั้ง นัยน์ตากลมส่องมองไปเรื่อย ๆ ด้วยความภาคภูมิ ฉับพลันหางตาก็ทันสังเกตเห็นบางสิ่ง มือเรียวลดกระดาษลงแช่มช้าด้วยใจไหวระทึก บุรุษร่างสูงยืนจังก้าอยู่หน้าธรณีทางเข้าเมื่อใดก็สุดจะรู้ เบื้องหลังมีปี้อี๋กำลังยิ้มแหยผ่านแสงจากโคมไฟอันหรุบหรู่
นางบอกแล้วไม่ใช่หรือ หากเขามาถึงให้รีบรายงานทันที แล้วเหตุใด...
ทว่าเมื่อหลิวจือหลินสัมผัสได้ถึงแววตาสำนึกผิดระคนอึดอัดของปี้อี๋ นางจึงเข้าใจเหตุผลในบัดดล คงมีผู้ใช้อำนาจในทางมิชอบอุดปากคนของนางเข้าให้แล้ว ครั้นตวัดสายตามองสตรีแน่งน้อยข้างกายอีกคน หมายให้อยู่เป็นเพื่อน เจียวเจียวก็อันตรธานจากไปแล้วเช่นกัน
อ้าว...หน็อย ข้าเพิ่งชมพวกเจ้าอยู่หมาด ๆ ยามนี้ทิ้งกันแล้วงั้นหรือ
ร่างสูงย่างกรายเข้ามาเนิบนาบ หลิวจือหลินโพล่งขึ้นเดี๋ยวนั้น
"ท่านโหว! อย่าเพิ่งเข้ามานะเจ้าคะ"
เจียงซื่อจวินชะงักฝีเท้าลง เขาเลิกคิ้วด้วยความฉงน "ทำไม ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะมาหาเจ้า"
หลิวจือหลินหลุกหลิก นางกำลังมองหาเสื้อคลุมอีกตัวให้ควัก
ที่ใด ข้าวางไว้ที่ใดกัน
ยามนี้การแต่งกายด้วยชุดพร้อมนอนช่างหมิ่นเหม่ยิ่ง ถึงนางเป็นฮูหยินของเขา แต่หลิวจือหลินก็ยังเป็นสาวพรหมจรรย์
"ข้า ขะ ข้า...ยังไม่เรียบร้อยเจ้าค่ะ"
หลิวจือหลินได้ยินเสียงทุ้มแค่นหัวเราะ จากท่าทีสงบนิ่งเมื่อครู่ก็ก้าวล้ำเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ร่างระหงยืนขึ้นหมายวิ่งหลบไปอีกด้านทว่าร่างสูงถลามายืนประชิดกายเบื้องหน้านางเสียแล้ว
เอวคอดพลันตึงวืด ลอยหวือเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดใบหน้าเสียจนร้อนผ่าว "เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ยังต้องกลัวไม่เรียบร้อยอะไรอีก"
หึ้ย... คนฉวยโอกาส ตามัจจุราชหน้าขรึม ปล่อยข้านะ!
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั