รถม้าจวนโหวเคลื่อนตัวออกจากเหลาอาหาร ฟ่านเทียนเผยยืนสงบนิ่งมองจนลับตา จากการสังเกตเจียงซื่อจวินก็มิได้ดูรังเกียจเดียดฉันท์ฮูหยินตนเองเช่นข่าวโคมลอย แต่ทว่าสองสามีภรรยาที่เผชิญหน้ากันเมื่อครู่ เหตุใดจึงทำราวกับเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ฮูหยินเจียงโหวยิ้มเดียวล่มเมือง เป็นที่น่าสนใจของเขาเสียด้วย ดูเหมือนฟ่านเทียนเผยพบเรื่องราวน่าสนุกเข้าให้แล้ว
ริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่ว วันนี้เรื่องที่หมายเจรจายังไม่ลุล่วง นั่นย่อมเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้พบหน้าฮูหยินเจียงโหวอีกครั้ง ร่างสูงหมุนกายกลับเข้าด้านใน มือทั้งสองไพล่หลังพร้อมสีหน้าสบายอารมณ์
หลิวจือหลินก้มหน้างุดอยู่ในรถม้า สาวใช้ทั้งสองมิได้อยู่ด้วยเช่นขามา ยามนี้นางกำลังประสบปัญหาขั้นวิกฤติอยู่เพียงลำพังกับมัจจุราชหน้าขรึม ดูเอาเถิดดวงตาของเขาคมเข้มราวมีดดาบ ซ้ำยังจ้องนางเขม็งราวกระหายโลหิต
คนไร้มารยาท ปีศาจกลับชาติมาเกิด กะจ้องข้าให้พรุนเลยหรือไง
ครั้นอยากหายใจหลิวจือหลินยังรู้สึกลำบาก ทว่าสิ่งที่ชวนอึดอัดมากกว่าอื่นใด ไฉนเขาจึงมีใบหน้าละม้ายแฟนหนุ่มของนางในโลกใบก่อน
มือเรียวขย้ำกระโปรงบนหน้าตักไว้แน่นจนเกิดรอยยับย่น เหงื่อเม็ดละเอียดผุดพราวเต็มกรอบหน้างาม เจียงซื่อจวินเขม้นมองอาการประหม่าของนางก็ถอนหายใจแผ่ว หากเป็นเมื่อก่อนมีหรือหลิวจือหลินจะนั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมสงบนิ่ง นางจ้องกระโดดตะครุบแขนขาของเขาอยู่ตลอด เหตุใดยามนี้แม้แต่หน้าของเขานางก็ไม่มอง
"รู้จักฟ่านเทียนเผยได้อย่างไร"
หลิวจือหลินสะดุ้งตัวโยน นางช้อนสายตาขึ้นแช่มช้า เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก "ระ...รู้จักกันที่ร้านผ้าเจ้าค่ะ"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหยั่งเชิง "หมายความว่าอย่างไร เจ้านัดพบเขาหรือ"
หลิวจือหลินส่ายหน้า "รู้จักกันโดยบังเอิญเท่านั้น"
"อืม..." เจียงซื่อจวินตอบกลับอย่างขอไปที
หลิวจือหลินรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอย่างไรชอบกล นางอยากออกจากตรงนี้เสียเต็มประดา เหตุใดเกิดอีกชาติยังหลีกไม่พ้นใบหน้าของคนทรยศ พวกเขาคงมิได้เกิดใหม่เช่นนางใช่หรือไม่ หวังว่าบทสุดท้ายคงไม่วนซ้ำรอยเดิม สวรรค์อย่ารังแกกันให้มากไปหน่อยเลย แม้แต่หน้าของเขาตอนนี้หลิวจือหลินก็ไม่อยากเจอด้วยซ้ำ
อุตส่าห์ตัดใจได้แล้วเชียว!
หลิวจือหลินตัดสินใจเสมองบรรยากาศด้านนอกเพื่อช่วยคลายอาการประหม่า แท้จริงความทรงจำเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเจียงโหวและหม่าลี่เจี่ยล้วนมาจากจิตใต้สำนึกของนางทั้งสิ้น เพราะหลิวจือหลินเกลียดชังใบหน้าของเขาเข้ากระดูกดำ ยามตื่นขึ้นจึงพยายามลบออกจากความทรงจำนี่เองหรือ
"เจ้า...เป็นเช่นไรบ้าง"
หลิวจือหลินไม่คิดว่าเขาจะเปล่งวาจาทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดก่อน เพิ่งคิดถามสารทุกข์สุกดิบกับนางยามนี้น่ะหรือ ช้าเกินไปหน่อยกระมัง
"ก็...สบายดีเจ้าค่ะ" หลิวจือหลินไม่มองหน้าเขา นางเอาแต่จดจ่อกับเส้นทางเบื้องหน้า ใจต้องการให้ถึงที่หมายเสียที
"เจ้ากำลังป่วย"
"หา..."
หลิวจือหลินตัดสินใจผินหน้ากลับ นัยน์ตาคมคู่นั้นยังจดจ้องนางอยู่ตลอด หลิวจือหลินอยากจิ้มให้สองตาคมนั่นมืดบอดยิ่งนัก
"หากไม่ป่วย แล้วไยจึงเปลี่ยนไป"
เปลือกตาบางกะพริบปริบ เขาต้องประสาทไปแล้วแน่แท้ ขณะที่นางนิสัยพลิกกลับก็ถามหาความต่ำช้าเดิม ๆ
"ทำไมเจ้าคะ คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ ท่านไม่เชื่อหรือว่าเป็นข้า"
"เห็นอยู่ว่าเป็นเจ้า ให้ข้ามองเป็นผู้ใด เพียงแต่..." เจียงซื่อจวินหรี่ตาเล็กน้อย "...เจ้าคงมิได้มีอุบายใดกระมัง"
หลิวจือหลินอยากกรีดร้อง แท้จริงเขากำลังหาเรื่องนางทางอ้อมดี ๆ นี่เอง "แน่นอนว่าข้ามีอุบาย"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน "เจ้ากำลังเรียกร้องความสนใจจากข้างั้นหรือ"
หลิวจือหลินยู่หน้า
คนหลงตัวเอง
เขามองหน้าดุจแมวน้อยจอมเหวี่ยงแล้วลอบยิ้มขัน เมื่อรู้ตัวว่ามุมปากเกิดยกขึ้นเบาบางจนอีกฝ่ายอึ้งงัน เจียงซื่อจวินก็พลันกระแอมแก้เก้อ
เจียงซื่อจวินฟังคำรายงานจากปากเฉิงซือหานโดยตลอด คาดไม่ถึงเมื่อเผชิญหน้ากับหลิวจือหลินตัวจริง นิสัยและท่าทางของนางจะแปรผันดั่งพลิกฝ่ามือเฉกเช่นองครักษ์มือซ้ายกล่าวไว้เสมอ
เขายิ้มเหรอ นี่ยิ้มได้ด้วยงั้นหรือ ก่อนหน้าในเหลาอาหารเห็นเอาแต่ปั้นหน้าหม่นทะมึนอย่างกับยักษ์มาร ความทรงจำในหัวสมองของเราไม่เห็นว่าเขาเคยยิ้มให้หลิวจือหลินสักครั้ง
"สรุปแล้ว เจ้ามีอุบายใด"
"อุบายหากประกาศให้อีกฝ่ายล่วงรู้จะเรียกว่าอุบายหรือเจ้าคะ หากท่านมีอุบายท่านก็บอกผู้อื่นไปทั่วงั้นหรือ" หลิวจือหลินลอยหน้าตอบ
"แน่นอนว่าไม่"
หลิวจือหลินไม่สนใจเขาอีก ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางต้องอึ้งงันจนมิกล้าปริปาก
"เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะไปเรือนตะวันออก ดูสิว่าอุบายของเจ้าจะใช้ได้ผลหรือไม่"
หลิวจือหลินใจเต้นครึกโครม นางค่อย ๆ เบนหน้าแช่มช้า
เขาหมายความว่าไง?
ทว่ารถม้ากลับชะลอและหยุดลงกะทันหัน ศีรษะของหลิวจือหลินจึงโขกกับขอบหน้าต่างอย่างจัง
"โอ๊ย!" มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าผากซึ่งเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อป้อย ๆ
เจียงซื่อจวินกดยิ้มมุมปาก เขาลอบขบขันต่อท่าทีงุ่นง่านของนาง
หลังได้รับตำแหน่ง หลิวจือหลินจึงมาเยือนเรือนของตนเป็นครั้งแรก นางพบปะบิดาล่าสุดก็ตอนฟื้นจากเพลิงไหม้หนนั้นเพียงคราเดียว"หลินเอ๋อร์ลูกพ่อ" ใต้เท้าหลิวโผกอดบุตรสาวน้ำตานองหน้าเขาทั้งปลื้มใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ผู้ใดจะทันคาดคิดนอกจากบุตรสาวนั้นใจกล้าฝ่าคมดาบดงอัคนี นางยังได้รับตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินตราตั้ง ชายแก่ผมขาวที่ฮูหยินตายจากไปนานโขเลี้ยงลูกสาวไม่เป็นก็ได้แต่ตามใจนางจนเสียคน ในที่สุดลูกสาวของเขาก็เป็นผู้เป็นคนเสียที"ท่านพ่อ เป็นถึงเสนาบดี ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็ก ๆ" หลิวจือหลินเอ่ยยิ้ม ๆ จากนั้นเอื้อมมือปาดน้ำตาให้ผู้เป็นบิดาด้วยความรักใคร่แม้นางคือจิตวิญญาณจากโลกอีกด้าน แต่หลิวตงนับเป็นบุรุษอีกคนที่รักและห่วงใยนางที่สุด หลิวจือหลินรักเขาเฉกเช่นพ่อแท้ ๆ กระทั่งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบิดาของเขาจึงพาหลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินไปกราบป้ายวิญญาณของมารดาทว่าหางตาของหลิวจือหลินเหลือบเห็นภาพวาดหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งแขวนติดผนังเอาไว้"ท่านพ่อ คุณยายท่านนี้คือใครเจ้าคะ" นางรู้สึกคุ้นตาพิกล แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าเคยเห็นที่ใด&nbs
เจียงซื่อจวินได้รับตำแหน่งโหวติดตัวนับตั้งแต่บิดาของเขาลาโลกเมื่อตนเยาว์วัย ยามนี้ฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาแท้ ๆ ของเขา แม้บิดาผู้ให้กำเนิดเจียงโหวเป็นสหายร่วมสาบานของฝ่าบาทแต่เขาก็มิใช่ขุนนางยศหนาศักดิ์ใหญ่ใด ซ้ำฮองเฮาและไท่จื่อก็คอยดูแลประคบประหงมเขาอย่างไม่รังเกียจ เช่นนั้นเมื่อภัยมาสู่ราชวงศ์ บัลลังก์มังกรนี้เจียงซื่อจวินย่อมยินดีช่วยกอบกู้ด้วยความเต็มใจเมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอย ราชวังกลับสู่ความผาสุกอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มีราชโองการเรียกเจียงโหวและฮูหยินเข้าเฝ้า รถม้าจากจวนโหวแล่นมาจอดเทียบเบื้องหน้าธรณีทางเข้าราชวังหลวงแล้ว เจียงซื่อจวินลงมาก่อน จากนั้นยื่นมือให้ฮูหยินอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มร่างระหงเยื้องย่างตามลงมา ภาพจำครั้งก่อนที่นางเมินเขายังติดตามิลืมเลือน หนนี้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย หลิวจือหลินยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม กระทั่งลงยืนเคียงกันเบื้องล่างก็มีรถม้าอีกคันเคลื่อนมาหยุดต่อท้ายเข้าพอดี"คุณชายฟ่าน" หลิวจือหลินโบกไม้โบกมือเพื่อทักทายสหายเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าผลิยิ้มตอบกลับ "ฮูหยิน และท่านโหวก็ถูก
หลิวจือหลินตะลึงงันเมื่อทราบว่าเจียงซื่อจวินได้ปลดหม่าลี่เจี่ยจากการเป็นอนุไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ทว่าวิธีการที่มากกว่าการปลด และเรื่องตามเอาคืนสตรีทั้งสองที่บังอาจแส่มาหาเรื่องนางเขามิได้เอ่ยถึง เกรงว่าหลิวจือหลินอาจตกใจ และหวาดกลัวบุรุษเหี้ยมโหดเช่นเขาไปเลยตลอดกาล ต่อให้เขาจะโหดร้ายเพียงใด บุรุษเช่นเขาทำไปเพราะมีเหตุผล สิ่งที่กระทำล้วนได้รับการตรึกตรองอย่างดียิ่ง และไม่มีทางทำร้ายสตรีที่ตนรักเป็นอันขาด"ท่านโหว ท่านไม่เสียดายหรือ เดิมการเป็นบุรุษในยุคนี้สามารถมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งอยู่แล้ว" หลิวจือหลินอยากลองเชิงเขาเสียหน่อยนัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย "เจ้าอยากให้ข้ามีอนุอีกงั้นหรือ""หากท่านอยากมีอนุคนใหม่ข้าหรือจะห้ามได้ อีกอย่างองค์หญิงเจ็ดก็พึงใจท่านมิใช่หรือ"เจียงซื่อจวินแค่นหัวเราะในลำคอ นางจะทราบหรือไม่ว่าองค์หญิงเจ็ดถูกเขาจัดการเช่นไร "องค์หญิงเจ็ด ร่วมกบฏกับพี่ชาย ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว หรือต่อให้นางไม่ถูกลงทัณฑ์ ชาตินี้ข้าก็จะไม่มีใครอีกนอกจากเจ้า"จู่ ๆ จมูกโด่งเป็นสันก็จรดลงบนปรางแก้มเนียนนุ่ม หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อ "...ทำอะไรของท่าน""จ
ค่ำคืนหนึ่งก่อนเกิดจลาจลก่อกบฏในวังหลวงเจียงซื่อจวินมิได้กลับจวน เขาต้องการสะสางทุกอย่างให้แล้วเสร็จ เขาได้ล่วงรู้ว่าจิตวิญญาณของหลิวจือหลินผู้นี้เป็นสตรีจิตใจงดงามมิใช่หลิวจือหลินคนก่อน นางปล่อยวางและสามารถอภัยได้ทุกสิ่ง กระนั้นคนเช่นเขา เจียงซื่อจวิน มิอาจละเว้นคนผิดให้อยู่ลอยหน้าได้อีกต่อไป ผู้ใดดีกับเขา เขาย่อมดีตอบ แต่ทว่าผู้ใดที่คิดอาฆาตมาดร้ายต่อคนที่เขารัก เขาจะสนองกลับมันไปร้อยเท่าพันทวีเสียงฝีเท้าดังแผ่วใกล้เข้ามาทุกขณะ สตรีร่างบอบบางหลับใหลอยู่บนแท่นบรรทมพลันลืมตาตื่นท่ามกลางความสลัวแห่งราตรีกาล"ท่านพี่ซื่อจวิน มาได้อย่างไรเจ้าคะ""องค์หญิงหลับสบายหรือไม่" น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างเย็นยะเยือกถานจาวหรงนึกดีใจที่อยู่ ๆ เขาก็มาหานาง แต่ทว่าพบเขาเวลานี้นับเป็นเรื่องผิดวิสัย โดยปกติเจียงซื่อจวินไม่เคยคิดเข้าหาสตรียามค่ำคืน เขาเป็นสุภาพบุรุษและคำนึงถึงความต่างระหว่างหญิงชายเสมอ"เหตุใดท่านจึงมายามวิกาลได้เจ้าคะ ทหารเวรยามก็ให้ท่านเข้ามาได้หรือ""แน่นอน ข้าคิดถึงองค์หญิงจึงหมายมาเยือนเสียหน่อย"ถานจาวหรงแย้มยิ้มลิงโลด ใ
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั