แสงแดดยามสายสาดผ่านหน้าต่างลงบนโต๊ะไม้กลมกลางห้อง กลิ่นหมึกจาง ๆ ลอยคละคลุ้งกับกลิ่นชาจางๆ ที่ยังอุ่นอยู่ในถ้วย เสียงปลายพู่กันขูดกระดาษเบา ๆ ดังเป็นระยะ คล้ายเสียงหัวเราะของคนมีแผนร้ายในใจ
หลี่หว่านชิงคนใหม่ นั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่มอย่างสบายใจ มือข้างหนึ่งคีบขนมชิ้นเล็กเข้าปาก ส่วนอีกข้างก็วาดอะไรบางอย่างลงกระดาษขาวด้วยความตั้งใจ
บนแผ่นกระดาษ แผนผังน่ารักแบบตัวการ์ตูนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน
วงกลมแรกมีหน้าคนหัวฟูๆ ทำหน้าตาโง่งมน้ำมูกและน้ำลายไหล อยู่ในชุดเจ้าหญิงสีชมพูบานเย็น ลูกศรชี้ลงด้านล่าง เขียนว่า
“หลี่หว่านชิงต้นฉบับ: สมองมีขนาดเดียวกับเม็ดบัว ขี้อวด ชอบหาเรื่องนางเอก ไม่รู้จักวางแผน ไม่ประมาณตน มองคนไม่ออกไม่รู้ว่าใครรักใครเกลียด สุดท้ายโดนวางยา ตบตี ถูกถอดยศ และสิ้นใจตายในบ่อปลาคาร์ฟ”
ถัดไปทางขวาอีกมุม มีภาพหลี่หว่านชิงเวอร์ชันใหม่ ใส่แว่น วาดหน้าตาจริงจัง มือถือพัดจดบันทึก หัวกลม ๆ มีประกายสมองแปะไว้เหมือนมีไฟสว่างวาบบนหัว ใต้ภาพเขียนว่า
“เวอร์ชันใหม่ : หลี่หว่านชิง 2.0 แสร้งสำนึกผิด ใฝ่เรียนใฝ่รู้ ตีสนิทเป้าหมาย สะสมแต้มปั่น กำกับโชคชะตาด้วยมือเราเอง! และที่สำคัญฉลาดเป็นกรดไม่สิ ปั่นเก่ง555”
หว่านชิงยิ้มกว้างอย่างพอใจ มือข้างที่วาดเขียนหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งก่อนม้วนเก็บไว้ในกล่องลายเมฆทองแล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยราวองค์หญิงตัวจริง
"หลี่หว่านชิงนะหลี่หว่านชิง…จะโง่แบบเดิมไปทำไม ในเมื่อฉันน่ะเล่นเป็นเธอมาแล้วกี่สิบฉาก จำได้ทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูดที่พาเธอไปตาย"
หว่านชิงพูดกับเงาในกระจกพลางจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย เสียงกระทบกันของหยกที่เอวเป็นจังหวะมั่นใจ
"นี่คือโอกาสทองที่จะได้กำกับเองสักที"
แล้วหว่านชิงก็ก้าวกลับไปที่โต๊ะ เรียกสาวใช้ที่ยืนเงียบอยู่นานด้านข้างขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่น่าเกรงขาม
"ไปแจ้งผู้จัดการในวังว่าข้าอยากเข้าร่วมชั้นเรียนขององค์ไท่จื่อในฐานะพี่สาวที่ใฝ่รู้และใฝ่เรียน"
นางกำนัลข้างกายทำตาโต ราวกับไม่เชื่อหูตนเอง ตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
"องค์หญิง...จะไปเรียนหนังสือหรือเพคะ? “นางกำนัลรับใช้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัว
"อืม ข้ารู้ว่าพวกเจ้าตกใจ แต่คนเราน่ะ เปลี่ยนได้ โดยเฉพาะตอนที่รู้ว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากความตายนัก"
ขยับริมฝีปากยิ้มบาง ๆ ประโยคธรรมดาแต่เต็มไปด้วยความหมายเกินคาดเดา
"แล้วก็ อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ก่อนเวลาอันควร ข้าอยากให้มัน...เซอร์ไพรส์"
สาวใช้พยักหน้าลนลานแล้วรีบกุลีกุจอออกไปตามคำสั่ง ทิ้งให้ห้องเงียบลงอีกครั้ง
หลี่หว่านชิงยืดอกสูดลมหายใจลึก ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงอย่างมีพลังบนเก้าอี้
"เอาล่ะ เป้าหมายแรกก็ หลีกเลี่ยงพระเอก…เป้าหมายรองเอาไท่จื่อน้อยผู้แสนโดดเดี่ยวมาอยู่ทีมเรา เป้าหมายพิเศษ อย่าโดนพระรองลากไปเป็นตัวละครสะเทือนอารมณ์ในโลกป่วย ๆ นี้"
ดวงตาคู่นั้นส่องประกาย…ไม่ใช่แสงของคนที่ยอมแพ้ แต่เป็นแสงของนักแสดงผู้พร้อมขึ้นเวทีอีกครั้ง ในบทบาทใหม่ที่ไม่มีใครเขียนให้ นอกจากเธอเอง
“สู้สู้หว่านชิงไม่สิ เดินหน้า…หว่านชิง”
เช้าวันถัดมา แสงแดดแรกแห่งรุ่งอรุณยังไม่ทันเจิดจ้าเต็มที่ หลี่หว่านชิงก็พลิกตัวลุกจากเตียงด้วยจิตใจแจ่มใส มือข้างหนึ่งปัดม่านโปร่งเบา ๆ รับแสงแดดอ่อนด้วยใบหน้ายิ้มพราย
“วันนี้แหละ...วันเริ่มต้นแผนหลี่หว่านชิงเวอร์ชันใหม่!เสียที”
หว่านชิงพูดกับตัวเองเบา ๆ ขณะเดินไปหยิบกล่องใส่ของที่เตรียมไว้เมื่อคืน ทั้งสมุด ขนนก เขียนพู่กัน พัดไม้ไผ่ และหมากล้อม หยิบเรียงเป็นระเบียบแบบแผนผิดวิสัยองค์หญิงใหญ่ผู้เคยงี่เง่าเอาแต่ใจและขี้เกียจจนนางกำนัลที่รับใช้ส่ายใกล้ชิดส่ายหน้าแทบทุกวัน
"องค์หญิง!" เสียงดังมาจากประตูห้อง นั่นคือ ซื่อซื่อ สาวใช้คนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน หน้าตาหวานคล้ายกระต่าย แต่ตอนนี้กำลังเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน
“องค์หญิง...ตื่นแต่เช้า? ..ดะดะได้ด้วยหรือ” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความระแวงปนตื่นกลัว ราวกับสงสัยว่านี่คือร่างองค์หญิงแต่ข้างในอาจถูกผีสิงไปแล้ว
"อรุณสวัสดิ์ ซื่อซื่อวันนี้ข้าอยากลองถักผมทรงใหม่ดูนะ เอาแบบเรียบง่ายนักศึกษาดีมั้ย แบบถักเปียสองข้าง"
“นักศึกษา...?” ซื่อซื่อพึมพำเบา ๆ ยังไม่ทันหายงุนงง เสียงระฆังจากทางเดินยาวก็ดังขึ้น ก่อนเสียงฝีเท้าและความโกหาหลจะตามมา
"เปิดทาง! เปิดทางให้ฝ่าบาท!"
“ฝ่าบาทเสด็จ!” เสียงขันทีขานยาวๆ
เยี่ยนอิงยืนอยู่ที่หน้าจวนแม่ทัพ ดวงตาสอดส่ายมองไปยังทิศทางที่ไป๋เหวินหลงจะกลับมา รอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปาก เยี่ยนอิงรู้ว่าท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงจะกลับมาถึงจวนตรงนี้และครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวังเมื่อไป๋เหวินหลงเดินกลับมาและเห็นเยี่ยนอิงยืนรออยู่ ไม่แสดงท่าทีแปลกใจเดินตรงเข้าหาเยี่ยนอิงอย่างไม่รีบร้อน แต่ท่าทางของไป๋เหวินหลงมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง“ท่านแม่ทัพ...ข้าแวะมาถามไถ่เพราะเห็นว่าท่านแม่ทัพถูกคุมขัง เอ่อ….ท่านลำบากไหมตอนอยู่ในคุก” เยี่ยนอิงถามด้วยความสนใจ พยายามรักษาความสงบในน้ำเสียง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้จริงจังกับคำถามนี้นักเหมือนแค่ไม่รู้จะถามอะไรไป๋เหวินหลงไม่ได้ตอบคำถามนั้น ก้มมองเจ้าแมวขาวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา บางครั้งก็ยกมือขึ้นลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ราวกับมันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขาตอนนี้“ท่านแม่ทัพ...ตอนนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” เยี่ยนอิงถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นขณะที่ยิ้มบางๆ แต่กลับมองไปที่แมวระบบที่อยู่ในอ้อมแขนของไป๋เหวินหลง เจ้าแมวอ้วนตัวนี้คุ้นๆ จังเลยไป๋เหวินหลงเงียบไปครู่หนึ่ง พูดเบาๆ ขณะยังคงมองดูเจ้าแมวอ้วน “ข้าไม่รู้...คงไม่มีอะไรอยากกิน ขอ
ไป๋เหวินหลงประสานมือแนบอกด้วยท่าทางสงบ พร้อมกับรับบัญชาฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้อย่างระมัดระวังในขณะนั้น สายตาของเขาดูเฉียบขาด ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา แต่ใจภายในกลับแสนโศกเศร้า เขารับบัญชาฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยคำตัดสินมาไว้ในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้"ข้าน้อยไป๋เหวินหลงรับบัญชาฝ่าบาท" เสียงของไป๋เหวินหลงแหบแห้ง แม้จะพูดออกมาอย่างน้ำเสียงที่องอาจห้าวหาญ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเจ็บปวดที่ท่วมท้นอยู่ในใจได้ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง ฮองเฮาหลี่หลันซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นทันทีด้วยเสียงที่มั่นคงและหนักแน่นพอกัน "หากหาตัวคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่ หากเมื่อจับได้แล้ว ข้าคิดว่าควรใช้วิธีการที่สมควร แล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ เอาเกลือทา หรือถ้าไม่ก็ใช้ม้าแยกร่างไปเลยให้สาสมกับที่ทำให้ฝ่าบาทต้องหลั่งน้ำตา"คำพูดของฮองเฮาหลี่หลันซือทำให้ห้องเงียบลงชั่วขณะ ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับการลงทัณฑ์ที่รุนแรง แต่มีความสาแก่ใจอยู่ในนั้นฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ฟังคำพูดของฮองเฮาด้วยท่าทางเงียบงัน แล้วรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของพระองค์ พร้อมกับ
ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้มองอยู่ครู่หนึ่งเหมือนยังไม่ได้สติ สบตากับซื่อซื่อที่ท่าทางรีบร้อน ขันทีจื่อกงรับจดหมายจากซื่อซื่อส่งให้ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้เปิดอ่าน ภายในจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของหว่านชิงเอง มีข้อความที่เรียบง่ายแต่ทำให้หัวใจของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้สั่นไหว“จากองค์หญิงใหญ่หว่านชิง ผู้เลิฟๆเสด็จพ่อเสด็จพ่อลูกรู้นะว่าท่านรักและคิดถึงลูกละสิ ไม่ต้องคิดถึงนะ ลูกสบายดีและมีข้อหนึ่งอยากจะขอร้องเสด็จพ่อ ถ้าข้าตาย ห้ามฆ่าท่านแม่ทัพ…ย้ำ ห้ามฆ่า ห้ามประหาร ห้ามเนรเทศและห้ามปลดเขาจากตำแหน่งแม่ทัพถ้าเสด็จพ่อไม่เชื่อลูก…ลูกจะ…มาหลอกเสด็จพ่อ แฮร่ๆๆๆๆๆ” น้ำตาของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ที่ยังคงพยายามอดกลั้นมานานเริ่มไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหยุดได้ มือที่ถือจดหมายเริ่มสั่น มือที่จับจดหมายอยู่ปล่องลงมาอย่างอ่อนแรงพลางตะโกนออกมาด้วยเสียงสะอื้น “หว่านชิง...ลูกพ่อ ตายไปแล้วยังรู้จะหยอกเย้าพ่ออีกหรือนี่ โธ่ลูกรัก ฮือออออ”เสียงร้องไห้ของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ดังลั่น ทุกคนในห้องต่างยืนเงียบไม่กล้าพูดอะไร ฮองเฮาก้มหน้าซ่อนยิ้มขณะที่ซื่อซื่อและขุนนางหลายคนก็เริ่มสลดใจไปด้วยฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ก็พูดเสียงแห
"เจ็บตัวได้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่มีใครสามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว""ข้าทำไม่ได้... ข้าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว" ไป๋เหวินหลงเงยหน้าขึ้นมองโม่ชิงเหยียนโม่ชิงเหยียนมองเขานิ่งๆ ก่อนที่จะยื่นยาสมานแผลในมือให้เขาอย่างช้าๆ"เจ้าต้องลุกขึ้นมา เศร้าอยู่นานๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้"ไป๋เหวินหลงมองยาสมานแผลที่โม่ชิงเหยียนยื่นให้"เป็นเพราะข้าพลั้งมือ ข้าผิดเอง...""เจ็บปวดจริงๆ เจ็บปวดที่คิดถึง แต่ไม่มีคนที่คิดถึงอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีเวลาที่จะเสียไปอีกแล้ว เราจะต้องช่วยกัน มันไม่สามารถย้อนเวลาได้อีกแล้ว แต่เราต้องหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้ให้ได้ เราจะต้องทำให้ความตายของหว่านชิงมีความหมายและจะทำทุกอย่างให้สำเร็จจะต้องเริ่มจากการที่ท่านออกมาจากคุกหลวงให้ได้ก่อน" โม่ชิงเหยียนพูดเสียงเย็นๆคำพูดของโม่ชิงเหยียนทำให้ไป๋เหวินหลงเงียบลง รู้ดีว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ไม่สามารถอยู่ในความเศร้าตลอดไปได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการลุกขึ้นยืนและต่อสู้เพื่อสิ่งที่เสียไป"ข้ารู้... จะต้องหาทางออกจากคุกหลวงให้ได้" ไป๋เหวินหลง
ตำหนักผิงจื้อ“ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่าาาา” ฮองเฮาหลี่หลันซือนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้หัวเราะเสียงดังเต็มที่ หม่าอิ๋นฉิงที่ยืนรายงานเรื่องราวของหว่านชิงพร้อมกับการดำเนินการทุกอย่างที่สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่นรวมถึงสถาณะการณ์โดยรวมตอนนี้ ก็อดจะยิ้มตามไม่ได้“สำเร็จอย่างสวยงามจริงๆ!” ฮองเฮาหลี่หลันซือกล่าวด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและสะใจ เต็มไปด้วยความยินดี“หว่านชิง... เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดจากแผนนี้ได้หรือ มันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาที่เจ้าจะต้องตกไปอยู่ในมือของข้า หึหึหึ”หม่าอิ๋นฉิงยิ้มบางๆ แต่ยังไม่ทันที่จะตอบ ฮองเฮาก็หันไปถามว่า“แล้วฝ่าบาทกับรัชทายาทหยางหลินล่ะ”“ฝ่าบาทยังคงตรอมใจหนัก ในตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ทรงให้ความสำคัญไปที่การดำเนินการประหารท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงให้เร็วที่สุด และยังคงทำงานบ้านเมืองแต่ร่างกายก็ทรุดโทรม ส่วนรัชทายาทหยางหลินก็ยังร้องหาองค์หญิงใหญ่หว่านชิงตลอดเวลาคาดว่าจะเสียขวัญและเสียใจที่ช่วยหว่านชิงไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์รอบตัวฝ่าบาทยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ”ฮองเฮาหลี่หลันซือพยักหน้าช้าๆ อย่างพอใจ หัวเราะเสียงดังอีกครั้ง“แค่จับตัวหยางหลินไปซ่อน กลับได้ผลลัพธ
ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้นั่งอยู่ในตำหนักเฉิงเต๋อ ท่าทางเงียบงันและหมองหม่น ใบหน้าของซีดเซียวจากการตรากตรำทำงานหนักเป็นระยะเวลาหลายวันไม่พักผ่อน มีเอกสารราชกิจวางเต็มโต๊ะ ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ก็ไม่ยอมละสายตา ไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลยแม้แต่น้อยขันทีจื่อกงยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวล จื่อกงเปิดปากพูดอีกครั้งรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้“ฝ่าบาท... เสวยหน่อยดีไหมขอรับ ฝ่าบาททำงานหนักมาตลอดหลายวันแล้ว ข้าน้อยเห็นฝ่าบาทมิได้เสวยอาหารถูกต้องเลยหลายวันมานี้ ร่างกายของฝ่าบาทไม่สามารถทนต่อไปได้มากกว่านี้ หากฝ่าบาทยังคงฝืนเช่นนี้ ข้าน้อยกลัวว่าฝ่าบาท…จะล้มป่วยไปจริงๆ ขอเชิญฝ่าบาทโปรดพักผ่อนบ้างเถิดขอรับ เสวยเพียงนิดแล้วค่อยทำต่อ”ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ยังคงนั่งนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่จะหันมองขันทีจื่อกงที่ยืนอยู่ข้างๆ คำพูดของจื่อกงจึงไม่ได้รับการตอบรับ ขันทีจื่อกงยิ่งวิตกกังวลยิ่งขึ้น รีบพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น"ฝ่าบาท... ฝ่าบาทจะทำเช่นนี้มิได้นะขอรับ การงานเป็นสิ่งสำคัญแต่อย่าลืมว่าฝ่าบาทต้องรักษาสุขภาพให้ดีด้วย ตอนนี้องค์หญิงใหญ่หว่านชิงก็…จากไปแล้ว งานศพเสร็จสิ้นแล้ว ฝ่าบาทจึง