ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมขบวนขันทีและนางกำนัลยาวเหยียด ที่นำขบวนมาคือหัวหน้าขันทีเฒ่าผู้หนึ่งชื่อว่า "จื่อกง" ชายชราในอาภรณ์สีสุภาพผู้มีใบหน้าแววตาเก๋าเกมและปากไวระดับตำนานไม่ผิดแน่หากตามบทที่หลี่หว่านชิงเคยปะทะคารมมาอีกทั้งขันทีผู้นี้ยังมีไฝติดที่ริมฝีปากเม็ดใหญ่โตมโหฬาร
ตามหลังเขาคือ ฮ่องเต้ "หลี่เซวียนอี้" ฮ่องเต้ผู้มีชื่อเสียงเรื่องการสงคราม รบจนเป็นฮ่องเต้ไร้พ่าย แต่กลายเป็นพ่อที่อ่อนยวบเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวคนโต
"หลี่หว่านชิง! ลูกพ่อออออออ" ฮ่องเต้โผเข้าหาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ท่าทีเคร่งขรึมตามตำราจักรพรรดิหายวับ เหลือไว้แต่สีหน้าร้อนรนเหมือนพ่อบ้านธรรมดาดวงตายิ่งอ่อนโยนยิ่งนัก
"พ่อได้ข่าวว่าเจ้าล้มป่วย แล้วจู่ ๆ ก็ส่งคนไปบอกว่าจะไปเรียนหนังสือ! เจ้าตื่นเช้าได้! เจ้าลุกจากเตียงได้! บอกพ่อมาเถอะลูก เป็นอะไรรึเปล่า! ฝืนรึเปล่า!ไหวหรือเปล่า เจ้าป่วยไข้หรือหัวไปกระแทกที่ไหนมาหรือเปล่าไหนให้พ่อดูหัวของเจ้ามีรอยบาดแผลไหม"จับตัวหลี่หว่านชิงมาพลิกซ้ายขวาหมุนรอบตัวและวิ่งวนดูรอบๆ ศีรษะของหลี่หว่านชิงค้นหาบาดแผล
ที่ตามมาด้วยนั่นคือขันทีอีกสิบคน ขนห่อหยก ห่อสมุนไพร กระติกยา และกระถางกำยานรักษาโรค จากสำนักโอสถหลวง เสียงถอนหายใจจากนางกำนัลดังเป็นระยะ ขณะหัวหน้าขันทีต้องคอยกวักมือให้ขบวนแถวหยุดวิ่งและจัดระเบียบไม่ให้หกล้มในห้ององค์หญิงใหญ่ให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท
หลี่หว่านชิงยิ้มบาง ๆ ก่อนแสดงสีหน้าตื้นตันและอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้
"ท่านพ่อ...ไม่ต้องห่วงหรอกเพคะ ข้าแค่...แค่รู้สึกว่าถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองตอนนี้ ข้าคงได้ทำร้ายความรักของท่านไปตลอด ท่านจะต้องคอยห่วงลูกคนนี้ตลอดไป"
หว่านชิงเอื้อมมือจับแขนฮ่องเต้ น้ำเสียงสั่นพอประมาณ ดวงตาพร่างพราวไปด้วยน้ำตา
“โธ่ลูกพ่อช่างมีจิตใจที่ดีเสียจริงนึกห่วงพ่อสินะลูกพ่อ”
"ลูกห่วงท่านพ่อกว่าใครอยู่แล้ว เพียงแต่อยาก...อยากทำให้ดีขึ้น อยากเป็นลูกสาวที่ท่านภูมิใจ ไม่ใช่คนที่วันหนึ่งท่านต้องทอดถอนใจว่า... ลูกพ่อมันโง่เหลือเกินจึงเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่"
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนทันทีจากกังวลเป็นสะเทือนใจอย่างแรง เขารีบโอบลูกไว้
"หว่านชิง! เจ้าไม่เคยโง่! อย่าได้ดูแคลนตนเองเด็ดขาด! เจ้าแค่...เกิดมาในโลกที่คนรอบตัวมันช่างโง่เขลาไม่เข้าใจความดีงามของเจ้าเท่านั้น!"
"ท่านพ่อ..." หลี่หว่านชิงเอียงคอซบไหล่ฮ่องเต้อย่างอ่อนโยน
“ข้าอยากเข้มแข็งพอที่จะไม่ให้ท่านต้องกังวลอีก...แม้แต่นิดเดียว”
“ลูกพ่อโตแล้ว..แต่ถ้าเจ้าเหนื่อยขึ้นมาเมื่อใด หรือคิดว่าไม่ไหว...ไม่ต้องฝืน! พ่อจะไม่บังคับลูกให้เรียน จะไม่บังคับให้กลายเป็นคนอื่น เจ้าแค่มีความสุข พ่อก็พอใจแล้ว พ่อคนนี้แค่อยากเห็นเจ้ามีความสุขดั่งคำมั่นที่ข้าเคยให้ไว้กับมารดาเจ้า…จิวอวี้เมียรักของข้าเจ้าดูสิลูกของเราน่ารักเพียงใด นางกลัวว่าข้าจะต้องขายหน้าถึงกลับเปลี่ยนตัวเอง”
เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังจากเหล่านางกำนัลและขันทีรอบข้าง จื่อกง กระซิบกับนางกำนัลข้างๆ ว่า
"อา...ถ้าข้าร้องไห้จะผิดมั้ยเนี่ย ข้าอยู่ในราชสำนักมาสี่สิบปี ไม่เคยเห็นฮ่องเต้ตามใจใครเท่านี้เลย"
ซื่อซื่อที่ยืนอยู่มุมห้อง ท่าทีตกใจในใจแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ใจหนึ่งไม่อยากจะเชื่อท่าทีน่าสงสารของหว่านชิง กับอีกใจคาดหวังว่าหว่านชิงจะดีขึ้น
หลี่หว่านชิงเหลือบตามองแล้วแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในใจ นักแสดงอย่างเธอ...ถ้าจะเล่นบทลูกกตัญญูผู้ใฝ่ดี หว่านชิงก็เล่นให้สมจริงจนคนดูน้ำตาไหลไปเลยสิ แผนการเริ่มต้นแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
“ท่านพ่อข้าสัญญาต่อนี้ไปข้าจะเป็นองค์หญิงที่ดีตั้งใจเล่าเรียนและ…และ… ไม่ทำให้ท่านผิดหวังจะงดงามดังหยกขาวและอ่อนหวานเยือกเย็นราวกับธารน้ำแข็ง”
“ไม่ต้องแล้วแค่นี้พ่อก็พอใจแล้วและเข้าใจเจ้าแล้ว”
“เช่นนั้นลูกอยากจะไปเล่าเรียนกับท่านราชครูจะได้ไหม”
บิดาผู้แสนจะโอ๋ลูกกลับเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน สีหน้าที่อ่อนโยนพลันแปรเป็นเด็ดขาด น้ำเสียงแผ่วเบาแต่ทรงอำนาจ กลับมาสู่โหมด “จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่” ในพริบตา
“แต่ถึงเจ้าจะมีใจกลับตัวกลับใจ พ่อ... ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากห้องเด็ดขาด!”
เสียงนั้นจริงจังจนขบวนขันทีที่กำลังหอบยาบำรุงอยู่สะดุ้งพร้อมกัน หัวหน้าขันที “จื่อกง” ที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่พลันเงยหน้าอย่างตื่นตระหนก
“จื่อกง ไปแจ้งไป๋เหวินหลง ให้นำองครักษ์มาประจำการที่เรือนนี้โดยทันที ห้ามให้ใครแม้แต่ลูกหมาหลุดเข้าออกได้โดยข้าไม่อนุญาต และอีกเรื่อง...ให้ไปบอกราชครูโม่ชิงเหยียน ให้มาสอนองค์หญิงใหญ่ที่ห้องนี้แทน”
หลี่หว่านชิงชะงักไปหนึ่งจังหวะ สมองอันเฉียบคมของอดีตนักแสดงสาวสาวแล่นวาบในพริบตา ให้พระรองโม่ชิงเหยียนมาเจอฉันในสภาพนั่งไขว่ห้างบนเตียงกับชุดนอนแบบนี้? พับผ่าสิ
หว่านชิงรีบเปลี่ยนโหมด เสียงหวานฉ่ำเอ่ยแผ่วเบา ยิ้มละมุนละไมแบบที่คนเป็นพ่อไม่มีวันต้านไหว
“ท่านพ่อเจ้าขา~ ลูกเข้าใจแล้วเพคะ ว่าท่านห่วงใย แต่พระอาจารย์โม่ก็งานยุ่งมาก อีกทั้งเป็นผู้ที่เคารพในกฎระเบียบ การให้เขาต้องละทิ้งตารางการสอนมาหาข้าเช่นนี้...นับว่ากระทบหลายฝ่ายนะเพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่หว่านชิงจะรีบยื่นมือไปจับปลายแขนเสื้อของบิดาอย่างแนบเนียน พร้อมส่งสายตาออดอ้อน
“ลูกคิดว่าวันนี้เพียงพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้หากร่างกายดีขึ้นแล้ว ลูกจะไปเรียนที่ตำหนักศึกษาด้วยตนเอง ดีหรือไม่เพคะ? อยู่ใกล้พี่น้อง อยู่ใกล้ท่านไท่จื่อ ย่อมได้เรียนรู้ทั้งวิชาและความกลมเกลียว...ลูกอยากทำให้ท่านภูมิใจจริงๆ นะเพคะ ไม่ใช่แค่ให้ท่านสบายใจเฉยๆ”
คำพูดนั้น อ่อนหวาน แต่ไม่อ่อนแอจริงใจ แต่ไม่บีบบังคับ หว่านล้อมได้พอดีจนฮ่องเต้ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
จื่อกงมองอากัปกิริยาแล้วลอบถอนหายใจอีกครั้ง โอ๊ย...จะมีองค์หญิงที่ไหนกล่อมฮ่องเต้เหมือนกล่อมแมวได้ขนาดนี้กันเล่า...
“อืม...ก็ได้” ฮ่องเต้ตอบรับในที่สุด แม้ยังมีแววกังวลอยู่บ้าง
“แต่ถ้าร่างกายยังไม่ฟื้นเต็มที่ จะไม่มีการฝืนตัวเองเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
“เพคะท่านพ่อ~” หลี่หว่านชิงยิ้มสว่างไสวเหมือนแสงอรุณรุ่ง
เยี่ยนอิงยืนอยู่ที่หน้าจวนแม่ทัพ ดวงตาสอดส่ายมองไปยังทิศทางที่ไป๋เหวินหลงจะกลับมา รอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปาก เยี่ยนอิงรู้ว่าท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงจะกลับมาถึงจวนตรงนี้และครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวังเมื่อไป๋เหวินหลงเดินกลับมาและเห็นเยี่ยนอิงยืนรออยู่ ไม่แสดงท่าทีแปลกใจเดินตรงเข้าหาเยี่ยนอิงอย่างไม่รีบร้อน แต่ท่าทางของไป๋เหวินหลงมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง“ท่านแม่ทัพ...ข้าแวะมาถามไถ่เพราะเห็นว่าท่านแม่ทัพถูกคุมขัง เอ่อ….ท่านลำบากไหมตอนอยู่ในคุก” เยี่ยนอิงถามด้วยความสนใจ พยายามรักษาความสงบในน้ำเสียง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้จริงจังกับคำถามนี้นักเหมือนแค่ไม่รู้จะถามอะไรไป๋เหวินหลงไม่ได้ตอบคำถามนั้น ก้มมองเจ้าแมวขาวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา บางครั้งก็ยกมือขึ้นลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ราวกับมันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขาตอนนี้“ท่านแม่ทัพ...ตอนนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” เยี่ยนอิงถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นขณะที่ยิ้มบางๆ แต่กลับมองไปที่แมวระบบที่อยู่ในอ้อมแขนของไป๋เหวินหลง เจ้าแมวอ้วนตัวนี้คุ้นๆ จังเลยไป๋เหวินหลงเงียบไปครู่หนึ่ง พูดเบาๆ ขณะยังคงมองดูเจ้าแมวอ้วน “ข้าไม่รู้...คงไม่มีอะไรอยากกิน ขอ
ไป๋เหวินหลงประสานมือแนบอกด้วยท่าทางสงบ พร้อมกับรับบัญชาฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้อย่างระมัดระวังในขณะนั้น สายตาของเขาดูเฉียบขาด ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา แต่ใจภายในกลับแสนโศกเศร้า เขารับบัญชาฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยคำตัดสินมาไว้ในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้"ข้าน้อยไป๋เหวินหลงรับบัญชาฝ่าบาท" เสียงของไป๋เหวินหลงแหบแห้ง แม้จะพูดออกมาอย่างน้ำเสียงที่องอาจห้าวหาญ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเจ็บปวดที่ท่วมท้นอยู่ในใจได้ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง ฮองเฮาหลี่หลันซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นทันทีด้วยเสียงที่มั่นคงและหนักแน่นพอกัน "หากหาตัวคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่ หากเมื่อจับได้แล้ว ข้าคิดว่าควรใช้วิธีการที่สมควร แล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ เอาเกลือทา หรือถ้าไม่ก็ใช้ม้าแยกร่างไปเลยให้สาสมกับที่ทำให้ฝ่าบาทต้องหลั่งน้ำตา"คำพูดของฮองเฮาหลี่หลันซือทำให้ห้องเงียบลงชั่วขณะ ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับการลงทัณฑ์ที่รุนแรง แต่มีความสาแก่ใจอยู่ในนั้นฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ฟังคำพูดของฮองเฮาด้วยท่าทางเงียบงัน แล้วรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของพระองค์ พร้อมกับ
ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้มองอยู่ครู่หนึ่งเหมือนยังไม่ได้สติ สบตากับซื่อซื่อที่ท่าทางรีบร้อน ขันทีจื่อกงรับจดหมายจากซื่อซื่อส่งให้ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้เปิดอ่าน ภายในจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของหว่านชิงเอง มีข้อความที่เรียบง่ายแต่ทำให้หัวใจของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้สั่นไหว“จากองค์หญิงใหญ่หว่านชิง ผู้เลิฟๆเสด็จพ่อเสด็จพ่อลูกรู้นะว่าท่านรักและคิดถึงลูกละสิ ไม่ต้องคิดถึงนะ ลูกสบายดีและมีข้อหนึ่งอยากจะขอร้องเสด็จพ่อ ถ้าข้าตาย ห้ามฆ่าท่านแม่ทัพ…ย้ำ ห้ามฆ่า ห้ามประหาร ห้ามเนรเทศและห้ามปลดเขาจากตำแหน่งแม่ทัพถ้าเสด็จพ่อไม่เชื่อลูก…ลูกจะ…มาหลอกเสด็จพ่อ แฮร่ๆๆๆๆๆ” น้ำตาของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ที่ยังคงพยายามอดกลั้นมานานเริ่มไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหยุดได้ มือที่ถือจดหมายเริ่มสั่น มือที่จับจดหมายอยู่ปล่องลงมาอย่างอ่อนแรงพลางตะโกนออกมาด้วยเสียงสะอื้น “หว่านชิง...ลูกพ่อ ตายไปแล้วยังรู้จะหยอกเย้าพ่ออีกหรือนี่ โธ่ลูกรัก ฮือออออ”เสียงร้องไห้ของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ดังลั่น ทุกคนในห้องต่างยืนเงียบไม่กล้าพูดอะไร ฮองเฮาก้มหน้าซ่อนยิ้มขณะที่ซื่อซื่อและขุนนางหลายคนก็เริ่มสลดใจไปด้วยฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ก็พูดเสียงแห
"เจ็บตัวได้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่มีใครสามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว""ข้าทำไม่ได้... ข้าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว" ไป๋เหวินหลงเงยหน้าขึ้นมองโม่ชิงเหยียนโม่ชิงเหยียนมองเขานิ่งๆ ก่อนที่จะยื่นยาสมานแผลในมือให้เขาอย่างช้าๆ"เจ้าต้องลุกขึ้นมา เศร้าอยู่นานๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้"ไป๋เหวินหลงมองยาสมานแผลที่โม่ชิงเหยียนยื่นให้"เป็นเพราะข้าพลั้งมือ ข้าผิดเอง...""เจ็บปวดจริงๆ เจ็บปวดที่คิดถึง แต่ไม่มีคนที่คิดถึงอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีเวลาที่จะเสียไปอีกแล้ว เราจะต้องช่วยกัน มันไม่สามารถย้อนเวลาได้อีกแล้ว แต่เราต้องหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้ให้ได้ เราจะต้องทำให้ความตายของหว่านชิงมีความหมายและจะทำทุกอย่างให้สำเร็จจะต้องเริ่มจากการที่ท่านออกมาจากคุกหลวงให้ได้ก่อน" โม่ชิงเหยียนพูดเสียงเย็นๆคำพูดของโม่ชิงเหยียนทำให้ไป๋เหวินหลงเงียบลง รู้ดีว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ไม่สามารถอยู่ในความเศร้าตลอดไปได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการลุกขึ้นยืนและต่อสู้เพื่อสิ่งที่เสียไป"ข้ารู้... จะต้องหาทางออกจากคุกหลวงให้ได้" ไป๋เหวินหลง
ตำหนักผิงจื้อ“ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่าาาา” ฮองเฮาหลี่หลันซือนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้หัวเราะเสียงดังเต็มที่ หม่าอิ๋นฉิงที่ยืนรายงานเรื่องราวของหว่านชิงพร้อมกับการดำเนินการทุกอย่างที่สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่นรวมถึงสถาณะการณ์โดยรวมตอนนี้ ก็อดจะยิ้มตามไม่ได้“สำเร็จอย่างสวยงามจริงๆ!” ฮองเฮาหลี่หลันซือกล่าวด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและสะใจ เต็มไปด้วยความยินดี“หว่านชิง... เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดจากแผนนี้ได้หรือ มันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาที่เจ้าจะต้องตกไปอยู่ในมือของข้า หึหึหึ”หม่าอิ๋นฉิงยิ้มบางๆ แต่ยังไม่ทันที่จะตอบ ฮองเฮาก็หันไปถามว่า“แล้วฝ่าบาทกับรัชทายาทหยางหลินล่ะ”“ฝ่าบาทยังคงตรอมใจหนัก ในตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ทรงให้ความสำคัญไปที่การดำเนินการประหารท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงให้เร็วที่สุด และยังคงทำงานบ้านเมืองแต่ร่างกายก็ทรุดโทรม ส่วนรัชทายาทหยางหลินก็ยังร้องหาองค์หญิงใหญ่หว่านชิงตลอดเวลาคาดว่าจะเสียขวัญและเสียใจที่ช่วยหว่านชิงไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์รอบตัวฝ่าบาทยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ”ฮองเฮาหลี่หลันซือพยักหน้าช้าๆ อย่างพอใจ หัวเราะเสียงดังอีกครั้ง“แค่จับตัวหยางหลินไปซ่อน กลับได้ผลลัพธ
ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้นั่งอยู่ในตำหนักเฉิงเต๋อ ท่าทางเงียบงันและหมองหม่น ใบหน้าของซีดเซียวจากการตรากตรำทำงานหนักเป็นระยะเวลาหลายวันไม่พักผ่อน มีเอกสารราชกิจวางเต็มโต๊ะ ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ก็ไม่ยอมละสายตา ไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลยแม้แต่น้อยขันทีจื่อกงยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวล จื่อกงเปิดปากพูดอีกครั้งรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้“ฝ่าบาท... เสวยหน่อยดีไหมขอรับ ฝ่าบาททำงานหนักมาตลอดหลายวันแล้ว ข้าน้อยเห็นฝ่าบาทมิได้เสวยอาหารถูกต้องเลยหลายวันมานี้ ร่างกายของฝ่าบาทไม่สามารถทนต่อไปได้มากกว่านี้ หากฝ่าบาทยังคงฝืนเช่นนี้ ข้าน้อยกลัวว่าฝ่าบาท…จะล้มป่วยไปจริงๆ ขอเชิญฝ่าบาทโปรดพักผ่อนบ้างเถิดขอรับ เสวยเพียงนิดแล้วค่อยทำต่อ”ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ยังคงนั่งนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่จะหันมองขันทีจื่อกงที่ยืนอยู่ข้างๆ คำพูดของจื่อกงจึงไม่ได้รับการตอบรับ ขันทีจื่อกงยิ่งวิตกกังวลยิ่งขึ้น รีบพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น"ฝ่าบาท... ฝ่าบาทจะทำเช่นนี้มิได้นะขอรับ การงานเป็นสิ่งสำคัญแต่อย่าลืมว่าฝ่าบาทต้องรักษาสุขภาพให้ดีด้วย ตอนนี้องค์หญิงใหญ่หว่านชิงก็…จากไปแล้ว งานศพเสร็จสิ้นแล้ว ฝ่าบาทจึง