LOGINประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมขบวนขันทีและนางกำนัลยาวเหยียด ที่นำขบวนมาคือหัวหน้าขันทีเฒ่าผู้หนึ่งชื่อว่า "จื่อกง" ชายชราในอาภรณ์สีสุภาพผู้มีใบหน้าแววตาเก๋าเกมและปากไวระดับตำนานไม่ผิดแน่หากตามบทที่หลี่หว่านชิงเคยปะทะคารมมาอีกทั้งขันทีผู้นี้ยังมีไฝติดที่ริมฝีปากเม็ดใหญ่โตมโหฬาร
ตามหลังเขาคือ ฮ่องเต้ "หลี่เซวียนอี้" ฮ่องเต้ผู้มีชื่อเสียงเรื่องการสงคราม รบจนเป็นฮ่องเต้ไร้พ่าย แต่กลายเป็นพ่อที่อ่อนยวบเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวคนโต
"หลี่หว่านชิง! ลูกพ่อออออออ" ฮ่องเต้โผเข้าหาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ท่าทีเคร่งขรึมตามตำราจักรพรรดิหายวับ เหลือไว้แต่สีหน้าร้อนรนเหมือนพ่อบ้านธรรมดาดวงตายิ่งอ่อนโยนยิ่งนัก
"พ่อได้ข่าวว่าเจ้าล้มป่วย แล้วจู่ ๆ ก็ส่งคนไปบอกว่าจะไปเรียนหนังสือ! เจ้าตื่นเช้าได้! เจ้าลุกจากเตียงได้! บอกพ่อมาเถอะลูก เป็นอะไรรึเปล่า! ฝืนรึเปล่า!ไหวหรือเปล่า เจ้าป่วยไข้หรือหัวไปกระแทกที่ไหนมาหรือเปล่าไหนให้พ่อดูหัวของเจ้ามีรอยบาดแผลไหม"จับตัวหลี่หว่านชิงมาพลิกซ้ายขวาหมุนรอบตัวและวิ่งวนดูรอบๆ ศีรษะของหลี่หว่านชิงค้นหาบาดแผล
ที่ตามมาด้วยนั่นคือขันทีอีกสิบคน ขนห่อหยก ห่อสมุนไพร กระติกยา และกระถางกำยานรักษาโรค จากสำนักโอสถหลวง เสียงถอนหายใจจากนางกำนัลดังเป็นระยะ ขณะหัวหน้าขันทีต้องคอยกวักมือให้ขบวนแถวหยุดวิ่งและจัดระเบียบไม่ให้หกล้มในห้ององค์หญิงใหญ่ให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท
หลี่หว่านชิงยิ้มบาง ๆ ก่อนแสดงสีหน้าตื้นตันและอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้
"ท่านพ่อ...ไม่ต้องห่วงหรอกเพคะ ข้าแค่...แค่รู้สึกว่าถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองตอนนี้ ข้าคงได้ทำร้ายความรักของท่านไปตลอด ท่านจะต้องคอยห่วงลูกคนนี้ตลอดไป"
หว่านชิงเอื้อมมือจับแขนฮ่องเต้ น้ำเสียงสั่นพอประมาณ ดวงตาพร่างพราวไปด้วยน้ำตา
“โธ่ลูกพ่อช่างมีจิตใจที่ดีเสียจริงนึกห่วงพ่อสินะลูกพ่อ”
"ลูกห่วงท่านพ่อกว่าใครอยู่แล้ว เพียงแต่อยาก...อยากทำให้ดีขึ้น อยากเป็นลูกสาวที่ท่านภูมิใจ ไม่ใช่คนที่วันหนึ่งท่านต้องทอดถอนใจว่า... ลูกพ่อมันโง่เหลือเกินจึงเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่"
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนทันทีจากกังวลเป็นสะเทือนใจอย่างแรง เขารีบโอบลูกไว้
"หว่านชิง! เจ้าไม่เคยโง่! อย่าได้ดูแคลนตนเองเด็ดขาด! เจ้าแค่...เกิดมาในโลกที่คนรอบตัวมันช่างโง่เขลาไม่เข้าใจความดีงามของเจ้าเท่านั้น!"
"ท่านพ่อ..." หลี่หว่านชิงเอียงคอซบไหล่ฮ่องเต้อย่างอ่อนโยน
“ข้าอยากเข้มแข็งพอที่จะไม่ให้ท่านต้องกังวลอีก...แม้แต่นิดเดียว”
“ลูกพ่อโตแล้ว..แต่ถ้าเจ้าเหนื่อยขึ้นมาเมื่อใด หรือคิดว่าไม่ไหว...ไม่ต้องฝืน! พ่อจะไม่บังคับลูกให้เรียน จะไม่บังคับให้กลายเป็นคนอื่น เจ้าแค่มีความสุข พ่อก็พอใจแล้ว พ่อคนนี้แค่อยากเห็นเจ้ามีความสุขดั่งคำมั่นที่ข้าเคยให้ไว้กับมารดาเจ้า…จิวอวี้เมียรักของข้าเจ้าดูสิลูกของเราน่ารักเพียงใด นางกลัวว่าข้าจะต้องขายหน้าถึงกลับเปลี่ยนตัวเอง”
เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังจากเหล่านางกำนัลและขันทีรอบข้าง จื่อกง กระซิบกับนางกำนัลข้างๆ ว่า
"อา...ถ้าข้าร้องไห้จะผิดมั้ยเนี่ย ข้าอยู่ในราชสำนักมาสี่สิบปี ไม่เคยเห็นฮ่องเต้ตามใจใครเท่านี้เลย"
ซื่อซื่อที่ยืนอยู่มุมห้อง ท่าทีตกใจในใจแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ใจหนึ่งไม่อยากจะเชื่อท่าทีน่าสงสารของหว่านชิง กับอีกใจคาดหวังว่าหว่านชิงจะดีขึ้น
หลี่หว่านชิงเหลือบตามองแล้วแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในใจ นักแสดงอย่างเธอ...ถ้าจะเล่นบทลูกกตัญญูผู้ใฝ่ดี หว่านชิงก็เล่นให้สมจริงจนคนดูน้ำตาไหลไปเลยสิ แผนการเริ่มต้นแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
“ท่านพ่อข้าสัญญาต่อนี้ไปข้าจะเป็นองค์หญิงที่ดีตั้งใจเล่าเรียนและ…และ… ไม่ทำให้ท่านผิดหวังจะงดงามดังหยกขาวและอ่อนหวานเยือกเย็นราวกับธารน้ำแข็ง”
“ไม่ต้องแล้วแค่นี้พ่อก็พอใจแล้วและเข้าใจเจ้าแล้ว”
“เช่นนั้นลูกอยากจะไปเล่าเรียนกับท่านราชครูจะได้ไหม”
บิดาผู้แสนจะโอ๋ลูกกลับเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน สีหน้าที่อ่อนโยนพลันแปรเป็นเด็ดขาด น้ำเสียงแผ่วเบาแต่ทรงอำนาจ กลับมาสู่โหมด “จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่” ในพริบตา
“แต่ถึงเจ้าจะมีใจกลับตัวกลับใจ พ่อ... ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากห้องเด็ดขาด!”
เสียงนั้นจริงจังจนขบวนขันทีที่กำลังหอบยาบำรุงอยู่สะดุ้งพร้อมกัน หัวหน้าขันที “จื่อกง” ที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่พลันเงยหน้าอย่างตื่นตระหนก
“จื่อกง ไปแจ้งไป๋เหวินหลง ให้นำองครักษ์มาประจำการที่เรือนนี้โดยทันที ห้ามให้ใครแม้แต่ลูกหมาหลุดเข้าออกได้โดยข้าไม่อนุญาต และอีกเรื่อง...ให้ไปบอกราชครูโม่ชิงเหยียน ให้มาสอนองค์หญิงใหญ่ที่ห้องนี้แทน”
หลี่หว่านชิงชะงักไปหนึ่งจังหวะ สมองอันเฉียบคมของอดีตนักแสดงสาวสาวแล่นวาบในพริบตา ให้พระรองโม่ชิงเหยียนมาเจอฉันในสภาพนั่งไขว่ห้างบนเตียงกับชุดนอนแบบนี้? พับผ่าสิ
หว่านชิงรีบเปลี่ยนโหมด เสียงหวานฉ่ำเอ่ยแผ่วเบา ยิ้มละมุนละไมแบบที่คนเป็นพ่อไม่มีวันต้านไหว
“ท่านพ่อเจ้าขา~ ลูกเข้าใจแล้วเพคะ ว่าท่านห่วงใย แต่พระอาจารย์โม่ก็งานยุ่งมาก อีกทั้งเป็นผู้ที่เคารพในกฎระเบียบ การให้เขาต้องละทิ้งตารางการสอนมาหาข้าเช่นนี้...นับว่ากระทบหลายฝ่ายนะเพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่หว่านชิงจะรีบยื่นมือไปจับปลายแขนเสื้อของบิดาอย่างแนบเนียน พร้อมส่งสายตาออดอ้อน
“ลูกคิดว่าวันนี้เพียงพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้หากร่างกายดีขึ้นแล้ว ลูกจะไปเรียนที่ตำหนักศึกษาด้วยตนเอง ดีหรือไม่เพคะ? อยู่ใกล้พี่น้อง อยู่ใกล้ท่านไท่จื่อ ย่อมได้เรียนรู้ทั้งวิชาและความกลมเกลียว...ลูกอยากทำให้ท่านภูมิใจจริงๆ นะเพคะ ไม่ใช่แค่ให้ท่านสบายใจเฉยๆ”
คำพูดนั้น อ่อนหวาน แต่ไม่อ่อนแอจริงใจ แต่ไม่บีบบังคับ หว่านล้อมได้พอดีจนฮ่องเต้ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
จื่อกงมองอากัปกิริยาแล้วลอบถอนหายใจอีกครั้ง โอ๊ย...จะมีองค์หญิงที่ไหนกล่อมฮ่องเต้เหมือนกล่อมแมวได้ขนาดนี้กันเล่า...
“อืม...ก็ได้” ฮ่องเต้ตอบรับในที่สุด แม้ยังมีแววกังวลอยู่บ้าง
“แต่ถ้าร่างกายยังไม่ฟื้นเต็มที่ จะไม่มีการฝืนตัวเองเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
“เพคะท่านพ่อ~” หลี่หว่านชิงยิ้มสว่างไสวเหมือนแสงอรุณรุ่ง
แดดยามเช้าทำให้ท้องฟ้าฉายแสงทองสุกสว่าง ลมเย็นพัดผ่าน ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ทอดยาวไปทั่วสนามซ้อม กระบี่ไม้เล่มยาวถูกหมุนไปตามจังหวะอันเฉียบคม เสียงไม้กระทบกันดังอย่างชัดเจนกลางการฝึกซ้อมหว่านชิงยืนอยู่ที่ข้างสนาม ดวงตาอ่อนหวานจ้องมองไปที่สองพ่อลูกที่กำลังซ้อมกระบี่อย่างตั้งใจ ไป๋เหวินหลงที่มั่นคงและมีท่าทีองอาจยืนเป็นคู่ฝึกให้กับลูกชายสุดที่รัก องค์ชายน้อยไป๋ชิงหลงลูกชายที่เป็นผลจากความรักของหว่านชิงกับไป๋เหวินหลง ยิ้มแย้มและเต็มไปด้วยพลังความมั่นใจ ท่าทางของเขายังสะท้อนถึงมารดาและรอยยิ้มของบิดา“ท่านพ่อข้าใกล้จะเก่งเท่าท่านแล้วนะ”เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ เมื่อไป๋ชิงหลงพลาดท่าล้มลงไปที่พื้น หว่านชิงหัวเราะออกมาเสียงเบา ยิ้มกว้างไปยังลูกชายที่กำลังลุกขึ้นมาจากพื้น ท่าทางขัดเขินน้อยๆ ของเขาทำให้หัวใจอบอุ่นและเต็มไปด้วยความสุขฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้มองไปที่หลานชายตัวน้อย หยุดก้าวเดิน ยืนห่างๆ จากหว่านชิง สายตาอ่อนโยนและภาคภูมิใจที่ได้เห็นครอบครัวของหว่านชิงที่เติบโตและงดงาม"มันงดงามมากเลยภาพที่ข้าเห้นนี้มันงดงามจริงๆ" เสียงฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ดังขึ้นแผ่วๆ พูดกับหว่านชิงที่ยืนอยู่ข้างๆหว่าน
ตำหนักกลางน้ำที่ตั้งอยู่ในที่ที่ลึกและห่างไกลจากความวุ่นวายภายในวังหลวง สถานที่แห่งนี้มีน้ำลึกเกือบ 30 เมตร ไม่มีสะพานเข้าออก มีเพียงการส่งอาหารและสิ่งของที่เชือกชักรอกตำหนักนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับฮองเฮาจงหลันซื่อและองค์หญิงเยี่ยนอิงหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตในวังได้อีก จึงถูกกักขังในที่แห่งนี้ ไม่มีโอกาสได้พบปะกับใครและการเข้าเยี่ยมก็ทำได้เพียงแค่เห็นจากระยะไกล ไม่มีการพูดคุยกัน“ถึงแล้วหรือ”ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้พร้อมด้วยกุ้ยเฟยหยุนชินและไท่จือหยางหลินเดินทางมาถึงตำหนักกลางน้ำที่เงียบสงัดและห่างไกลจากวังหลวงฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้เดินขึ้นไปบนเนินเล็กๆ ที่มองเห็นตำหนักในระยะไกล พอเห็นท่าทางสงบของสถานที่นี้ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับหยางหลินและกุ้ยเฟยหยุนชินด้วยสีหน้าหนักใจ“ในที่สุดแล้ว ข้าก็ไม่อาจตัดใจประหารพวกเขาได้…ถึงแม้ข้าจะบอกว่าไม่รัก แต่…ในใจข้ายังมีความผูกพันกับหลันซื่อ…ตอนนี้นางอยู่ไม่สู้ตายแล้ว ส่วนเยี่ยนอิงก็พูดจาเลอะเทอะไปหมด…จิตใจของเยี่ยนอิงเองคงบอบช้ำไม่น้อยข้าเองก็ไม่อาจทนเห้นพวกเขาต้องทนทุกข์” หลี่เซวียนอี้
เสียงพิณและขลุ่ยดังขึ้นเบาๆท่ามกลางความงดงามของสวนที่ประดับด้วยดอกไม้สีสันสดใส ทั้งท้องฟ้าและแสงแดดที่อ่อนโยนได้สร้างบรรยากาศอันแสนโรแมนติกขันทีจือกงพยุงฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ที่เป็นประธานในงานวันนี้ พยักหน้าให้แก่ผู้คนที่อยู่รอบข้าง ใบหน้ายิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง“ห่าวๆๆๆวันนี้วันดี”ส่งสียงหัวเราะดังลั่นโม่ชิงเหยียนยืนอยู่ในมุมหนึ่งของงาน ยิ้มเศร้าๆแม้ในใจเขาจะยินดีอย่างบริสุทธิ์ก็เจ็บปวดเล็กน้อยเช่นกัน แต่ในที่สุดเขาก็ยินดีให้กับความสุขของหว่านชิงกับเพื่อนรักจากใจ มือข้างหนึ่งล้วงหยิบเอาหยกพยัคฆ์ขาวออกมา นี่คือของขวัญวันแต่งงานของหว่านชิงที่เขาตั้งใจส่งคืนนางเสียหยางหลินที่ยืนอยู่ข้างๆไป๋เหวินหลงท่าทีองอาจภูมิใจ เขาเดินตรงไปยังตำแหน่งที่ถูกเตรียมไว้ในฐานะไท่จือผู้ที่จะช่วยปัดเป่าปัญหาภายในวังหลวง ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปและวันนี้ก็มั่นใจว่าเขาทำหน้าที่ได้ดีมากขึ้น เขาเป้นไท่จือที่ไร้ข้อบงพร่องแล้วในขณะที่ไป๋เหวินหลงในฐานะเจ้าบ่าวที่องอาจงดงาม ได้ขี่ม้าสีดำที่ประดับด้วยริ้วผ้าสีแดงสดใส ร่างสูงสง่าของเขาเหมือนเทพบุตร สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนในงานหว่านชิงในชุดเจ้าสาวสีแดงโดดเด่นที่ถูกปัก
ท่านโหวจงซื่อที่บาดเจ็บจากการโจมตีของไป๋เหวินหลงและหานเฟิงดึงตัวเองออกไปได้อย่าลำบากแต่ไม่อาจสู้ต่อไปได้อีกแล้ว ล้มลงไปข้างหน้า ไม่มีเสียงใดๆ จากท่านโหวเลือดสีแดงสดท่วมตัวเขาเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฮองเฮาหลี่หลันซือที่ถูกกักบริเวณแต่ผู้คุมกันข้างกายทำลายประตูตำหนักและช่วยออกมา เมื่อได้ยินข่าวก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางซีดเซียวเต็มไปด้วยความตกใจ และเมื่อเห็นท่านโหวจงซื่อล้มลงไปกับพื้น ร่างของฮองเฮาหลี่หลันซือสะดุดหยุดลงทันที"ท่านโหว!" ฮองเฮากรีดร้องเสียงดังวิ่งไปข้างหน้าแล้วประคองร่างอ่อนแรงของท่านโหวขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าตอนนี้ท่านโหวได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก หยดน้ำตาของฮองเฮาหลี่หลันซือไหลออกจากดวงตาหยดลงบนแก้มท่านโหวจงซื่อ ฮองเฮากล่าวเสียงอ่อนด้วยความเสียใจราวกับดวงใจแตกสลาย"ท่านโหว...ท่านโหว ข้าขอโทษ…ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะ…รุมทำร้ายท่านเช่นนี้…"หว่านชิงที่กอดหยางหลินอยู่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและหันไปมองไป๋เหวินหลงและโม่ชิงเหยียนที่ยังคงยืนเคียงข้าง“อาจาร์ย รีบตามหมอหลวงและทหารมา” หว่านชิงรีบพูดอย่างร้อนใจ มือกดห้ามเลือดหยางหลินแน่นโม่ชิงเหยียนเข้าใจทันทีร
แม้ว่าหยางหลินจะมีแผนอยู่แล้ว แต่การเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้เขาเกิดความกลัวและกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ท่านโหวหันไปมองหยางหลินด้วยท่าทางเย็นชาพลางส่ายหัวไปมา ใครจะอยากปล่อยหอกข้างแคร่นี้ไปกันเล่า ท่านโหวไม่ละสายตาจากหว่านชิง แม้จะเห็นความสับสนในน้ำเสียงของหยางหลินไป๋เหวินหลงจ้องท่านโหวด้วยสายตาเย็นเยียบและพยายามที่จะหาทางเอาตัวเองเข้าช่วยหว่านชิงให้ได้ แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับถูกหยุดยั้งด้วยกระบี่ที่กดคอหว่านชิงเอาไว้หว่านชิงที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ยากจะหนี ได้แต่กัดฟันแน่น"หยางหลิน...พี่หว่านชิงไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเจ้า" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจพยายามที่จะทำให้หยางหลินเข้าใจแต่ก็รู้ดีว่ามันคงยากในสถานการณ์แบบนี้ อาจจะสายไปแล้วไม่รู้หยางหลินจะยังรับฟังหรือไม่หรืออาจจะคิดว่าหว่านชิงเพียงพูดจาหลอกล่ออ้อนวอนขอชีวิต"ไท่จือไหนคนของท่าน เรียกคนของท่านและส่งสัญญาณถึงคนของข้าได้แล้ว!" ท่านโหวจงซื่อปายเหลียวรีบจะตะคอกขึ้นดังๆเสียงของท่านโหวที่ก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาพุ่งมาที่หยางหลินเป็นฉับพลันหยางหลินยิ้มมุมปากก้าวไปข้างหน้า มือข้างหนึ่งเลื่อนคมกระบี่ขึ้นอย่างเฉียบคม แววตาข
หยางหลินไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ยังคงยืนตรงอย่างสง่างาม ปัดเสื้อคลุมของตัวเองเบาๆ เหมือนไม่รู้ไม่สนใจ พูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ"ข้าคือไท่จือ แต่เสด็จพ่อก็ได้มอบตราผู้สำเร็จราชการให้กับพี่หว่านชิง" หว่านชิงที่ยืนอยู่ตรงกลางของสถานการณ์นี้หันไปมองหยางหลินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย หว่านชิงไม่อาจปิดบังสีหน้าเสียใจได้อีกแล้ว ไม่คิดเลยว่าหยางหลินจะมีความคิดเช่นนี้ต่อเรื่องนี้"หยางหลิน...เจ้าคิดผิดแล้ว""เขาเข้าใจถูกแล้ว" พูดเสียงต่ำด้วยความดูถูกท่านโหวจงซื่อปายเหลียวยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย เขาไม่ใช่คนหูหนวกตาบอดที่ผ่านมาได้รับฟังสถานะการณ์วังหลวงมาตลอด ความโปรดปรานของหลี่เซวียนอี้ต่อหว่านชิงที่หลายครั้งละเลยหยางหลินอย่างโหดร้าย เขาเองก็เคยนึกสงสัยหลายครั้งไท่จือผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่ ช่างจืดจางและเงียบเชียบ ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าเขาคือคนที่อดทนและเก็บกลั้นความไม่พอใจเช่นข้า ท่านโหวขมวดคิ้วแล้วมองหว่านชิงอย่างไม่พอใจ"เจ้ามันก็ไม่ต่างจากหลี่เซวียนอี้เลย เป็นพี่ที่จ้องเอาเปรียบน้อง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะยกบัลลังก์ให้กับหยางหลินหากทุกอย่างจบลง" เขากล่าวเสริมด







