จวนสกุลฟ่าง
“เจ้า….เจ้าว่าอย่างไรนะ พูด…พูดใหม่อีกที”
“เรียนฮูหยิน…คุณหนูรอง….หาย…หายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”
“นางหายไปได้อย่างไร!! หายไปเมื่อใดเหตุใดไม่มีคนรู้เห็น”
“บ่าว…บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ เมื่อเช้าบ่าวไปเคาะเรียกตามปกติ แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงได้…เปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าคุณหนูรองไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
แม่ทัพฟ่างที่นั่งนิ่งสงบอยู่ไล่สาวใช้ออกไปพร้อมกับหันหน้ามามองที่ฮูหยินรองที่เป็นมารดาของบุตรีที่หายไป นางหันมามองหน้าท่านแม่ทัพราวกับจะขอความช่วยเหลือ
“ท่านพี่เจ้าคะ ได้โปรด…”
“เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งใด ข้า…เป็นคนปล่อยให้นางไปจากที่นี่เอง”
“แต่ว่า ราชโองการแจ้งว่าให้นางแต่งเข้าจวนอ๋อง”
“เรามิได้มีบุตรีแค่คนเดียว นางเป็นบุตรของเจ้าและข้า การส่งนางแต่งเข้าจวนอ๋องเจ้าเล่ห์ผู้นั้น ถือว่า….ส่งเนื้อเข้าปากเสือ”
“แต่เราจะทำอย่างไรเจ้าคะ แจ้งไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว หากว่าพวกเขาทราบ นี่เป็นอาญาแผ่นดิน ขัดราชโองการหมายถึงตัดหัวนะเจ้าคะท่านพี่”
“ข้า…ย่อมคิดหาวิธีได้จึงวางแผนเช่นนี้”
ฮูหยินหันมามองผู้เป็นสามีที่ยังมีสายตาเรียบสงบนิ่ง
“หรือว่า…ท่านพี่คิดจะ…”
“นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในยามนี้ ส่งฟ่างชิงเยี่ยนไปแต่งแทนฟ่างฝูเยว่ มารดานางสิ้นแล้ว อยู่ในจวนแม่ทัพก็ขาดคนดูแล สรรพวิชาทุกอย่างก็ร่ำเรียนเท่ากันกับพี่ๆน้องๆทั้งห้าคน นางมิได้ด้อยกว่าคนอื่นหรอก ถือว่า..ข้าตอบแทนแม่ของนางไปก็แล้วกัน”
“แล้วฝู่เยว่เล่าเจ้าคะ ลูกของข้าอยู่ที่ใด”
“ข้าให้นางไปที่เจียงหนาน เมื่อเสร็จเรื่องทางนี้แล้วค่อยสั่งให้นางกลับมา ต้องดูให้เรียบร้อยว่าชิงเยี่ยนแต่งเข้าจวนอ๋องนั่นเรียบร้อยก่อน”
“แต่ว่า จวนอ๋องลั่วนั่น ผู้ที่แต่งเข้าไปเห็นว่าไม่มีผู้ใดกลับออกมาสักคน ทั้งพระสนมที่แต่งตั้งโดยฮ่องเต้หรือผู้ที่ต้องการเป็นใหญ่และนำบุตรสาวให้เป็นสนม ทุกคน..ล้วนได้แต่ศพกลับมา….”
“เอาล่ะ ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ให้คนไปเรียกนางมาคุยเถอะ”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ….เจ้าน่ะ ไปเรียกคุณหนูห้ามาที่นี่”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
ฟ่างชิงเยี่ยน บุตรีคนที่ห้าของแม่ทัพฟ่างเฉินกับสุ่ยฮวา ภรรยารองคนที่สองของท่านแม่ทัพ หลานของพระสนมสุ่ยในฮ่องเต้องค์ก่อน นางแต่งเข้ามาในจวนแม่ทัพและถือกำเนิดบุตรีเพียงคนเดียว เมื่อชิงเยี่ยนอายุได้สิบปีนางก็จากโลกนี้ไปเพราะโรคประจำตัว
ครั้งนี้จวนแม่ทัพฟ่างได้รับราชโองการแต่งบุตรีพร้อมแต่งตั้งให้นางเป็นถึงพระชายาเอกในลั่วอ๋องแห่งซูโจวเนื่องจากท่านอ๋องลั่วหมิงจ้านผู้นี้กรำศึกมานานและห่างเหินจากสตรี แม้ว่าเขาไม่สนใจเรื่องการสืบทายาทสกุลอ๋อง แต่ฝ่าบาทก็ทรงเป็นห่วงเรื่องคู่ครองของเขา
แต่ข่าวลือแปลกประหลาดเกี่ยวกับตัวเขาก็มีมากมายเหลือเกิน ทั้งคนที่แต่งเข้าตำหนักอ๋องลั่วนั้น จู่ๆก็จะป่วย หรือตายลง หลายครั้งที่เขาแต่งงานแต่ก็ไม่เคยเกินสองเดือน พระสนมแต่ละคนล้วนแต่มีอันเป็นไปทั้งสิ้น
“ผ่านมาเจ็ดคนแล้ว ไม่มีผู้ใดรอดออกมาได้เลยสักคน หรือว่าฉายาอ๋องโลหิตนั่นจะเป็นเรื่องจริงเจ้าคะ”
“เขาเจ้าเล่ห์มากแผนการตั้งแต่เด็ก แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังมองเขาไม่ทะลุปรุโปร่ง เขาขอย้ายตัวเองมาที่นี่เพื่อหลีกความวุ่นวายในเมืองหลวง ไม่นึกว่าครั้งนี้จะเป็นจวนของสกุลฟ่างเราที่ฝ่าบาททรงเลือกให้เขา”
“นายท่าน ฮูหยิน คุณหนูห้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
ฟ่างชิงเยี่ยนเดินเข้ามาในห้องโถง สตรีในวัยยี่สิบสองเมื่อสามวันก่อนเดินอย่างนอบน้อมเข้ามาคารวะทั้งคู่อย่างนอบน้อม
“คำนับท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ เรียกลูกมีธุระอันใดเจ้าคะ”
“ชิงเยี่ยน เจ้าคงจะทราบเรื่องราชโองการเรื่องการอภิเษกของลั่วอ๋องแล้วใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อหมายจะบอกเรื่องนี้กับลูก หึ เกรงว่าพวกท่านคงกำลังคิดจะส่งลูกไปแทนพี่รองสินะเจ้าคะ”
“นี่เจ้า…กล้าดีเช่นไรมาพูดกับพ่อเจ้าเช่นนี้ ผู้ใหญ่ยังไม่ทัน…”
“อะแฮ่ม!! …ฮูหยิน ให้ข้าคุยกับนางตามลำพังเถอะ”
ฮูหยินเดินมามองหน้าฟ่างชิงเยี่ยน นางเองก็มองกลับด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เรื่องการตายของมารดา นางยังคงสงสัยว่าฟ่างฮูหยินมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะไม่มีหลักฐานแต่นางก็ไม่เคยเลิกสงสัย
“ชิงเยี่ยน นั่งลงก่อน”
“ท่านพ่ออยากพูดสิ่งใดก็รีบพูดเถอะเจ้าค่ะ ลูกต้องทำเช่นไรบ้าง ตอนนี้คาดว่าพี่ใหญ่คงออกจากซูโจวไปไกลแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้คือส่งข้าไปแทน เช่นนั้นท่านก็บอกมาเถิดว่าต้องทำอย่างไร”
“ชิงเยี่ยน…พ่อ…”
“หึ ท่านเลิกแสร้งทำสายตารักและห่วงใยข้าเสียทีเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยู่ที่นี่ด้วยความรู้สึกเช่นไร ท่านผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดา ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ”
“คุณชายใหญ่เจ้าคะ เข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ คุณชายใหญ่”
“ท่านพ่อ…ท่านจะส่ง….เอ่อ…น้องห้า เจ้าก็อยู่ด้วย”
ชิงเยี่ยนหันไปมองผู้ที่พึ่งเดินเข้ามาใหม่ เขาเป็นหนึ่งในสองคนที่ดีกับนางเสมอในจวนนี้ พี่ใหญ่ของสกุลฟ่าง ฟ่างหลิงเทียน อีกคนก็พี่สาม ฟ่างจื่อหนาน ทั้งสองคนเป็นบุตรของฮูหยินฟ่างจินจิน
“พี่ใหญ่”
“ท่านพ่อ โปรดไตร่ตรองก่อนด้วย ท่านจะส่งน้องห้าไปอภิเษกกับลั่วอ๋องผู้นั้นจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หลิงเทียน เจ้าเองก็รู้ดีว่าตอนนี้น้องรองเจ้ามิได้อยู่ที่นี่ ตอนนี้ในจวนของเราก็มีเพียงชิงเยี่ยนเท่านั้น เราขัดราชโองการนี้หาได้ไม่มิเช่นนั้นต้องถูกตัดหัวทั้งตระกูล ชิงเยี่ยน เรื่องนี้....”
“ข้าทราบแล้ว ข้าจะรีบไปเตรียมตัว สิ่งที่ควรเตรียม ก็ฝากท่านพ่อและฮูหยินของท่านจัดการให้ข้าด้วย วันและเวลาก็ให้คนส่งไปที่เรือนหลังก็แล้วกัน หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
“น้องห้า!!…เดี๋ยวสิ…แต่ว่าเรื่องนี้เจ้า..”
“หลิงเทียน!! ไม่ต้อง…พูดสิ่งใดอีก เจ้าก็เร่งเตรียมตัว อีกสามวันเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมารับที่หน้าจวนแล้ว”
ชิงเยี่ยนหันหลังเดินออกมาจากห้องโถงนั้นพร้อมกับหลับตาเพื่อไล่น้ำตาแห่งความอดสูนั้นออกไปโดยเร็ว หมดสิ้นกันทีกับสกุลฟ่างที่นางทนอยู่มานาน จะไปที่ใดย่อมไม่ได้ต่างกัน
สกุลฟ่างแห่งนี้ก็ไม่ได้ต่างกับนรกบนดิน นางทนอยู่มาได้นานขนาดนี้ก็นับว่ามากพอแล้ว หากไม่มีพี่ใหญ่และพี่สามอยู่ คิดว่านางคงหนีไปนานแล้ว
“น้องห้า รอก่อนสิ ชิงเยี่ยน!!”
ชิงเยี่ยนหยุดกึกลงเมื่อพี่ใหญ่วิ่งตามนางมาที่สวนตรงกลางจวนระหว่างทางกลับไปยังเรือนพักของนางที่อยู่ด้านในสุดซึ่งเก่าและห่างไกลผู้คนที่สุด
“เหตุใดเจ้า…ไม่ปฏิเสธเรื่องงานแต่งนี้ไป”
“ข้า…มีสิทธิ์ทำเช่นนั้นด้วยหรือเจ้าคะ ข้าก็แค่สินค้าที่รอวันถูกขายสำหรับท่านพ่อ แต่งไปที่ใดก็ไม่ต่างกัน”
“ไม่นะน้องห้า เหตุใดเจ้าจึงด้อยค่าตัวเองเช่นนั้น เจ้าเป็นสตรีงดงามอันดับต้นๆของซีโจว ความสามารถก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร ความรู้ก็มีมากกว่าน้องรองเสียอีกเจ้าไม่จำเป็นต้อง…”
“บางที ตำหนักลั่วอ๋อง…อาจจะเลวร้ายกว่าที่นี่ก็ได้ พี่ใหญ่ ข้าขอบคุณท่านที่คอยดูแลข้าตลอดเวลาสิบกว่าปีนี้นะเจ้าคะ หากมีโอกาส ชิงเยี่ยนจะกลับมาตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างแน่นอน”
“ชิงเยี่ยน อย่าพูดเช่นนั้น ยิ่งเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าซึ่งเป็นพี่ชายเจ้า ยิ่งรู้สึกผิดต่อเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อสกุลฟ่างถึงเพียงนี้”
“หากข้าไม่พูดวันนี้ เกรงว่าวันข้างหน้าที่ยังไม่อาจรู้ได้ จะมีโอกาสหรือไม่”
“นี่เจ้า…..รู้เรื่องอ๋องโลหิตนั่น…แต่ข้าว่า เรื่องนี้เราควรถามน้องสามจะรู้เรื่องมากกว่าผู้ใด เขาน่ะเป็นคนสนิทของลั่วอ๋อง ร่วมทำศึกด้วยกันหลายครั้ง พี่ว่า….”
“จะช้าหรือเร็วข้าก็ต้องออกเรือน พี่ใหญ่ร่วมยินดีให้ข้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
“น้องห้า…เจ้า…ตัดสินใจแน่แล้วงั้นหรือ”“เจ้าค่ะ"ชิงเยี่ยนคำนับให้พี่ใหญ่ก่อนจะเดินกลับมาที่เรือนพัก ของตนเอง นางมองไปรอบๆเรือนพักของนางอีกครั้ง ก่อนหน้านี้หลังจากมารดานางเสียไปนางก็ถูกย้ายมาที่เรือนหลังนี้ทันทีด้วยคำสั่งของฮูหยินใหญ่ ระหว่างที่บิดานางไปทำศึก แต่เมื่อเขากลับมาก็มิได้สั่งย้ายหรือช่วยเหลืออะไรนาง ทุกอย่างก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฮูหยินใหญ่จัดการทั้งหมด แม้ว่านางจะได้ร่ำเรียนทุกอย่างเหมือนกับพี่น้องทุกคน แต่ความแตกต่างกันก็เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับและสถานะในจวนสกุลฟ่าง“บางทีการไปตายเอาดาบหน้าเช่นนี้ก็อาจจะดีกว่า”วันแต่งงาน“ช่างน่าสงสารอะไรเช่นนี้นะ”“เห็นว่านางเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของท่านแม่ทัพ”“นางไม่มีแม่ จะว่าไปแล้วข้าแทบจะไม่เคยเห็นนางมาก่อนเลยนะ หากวันนี้มิได้แต่งออกไปข้าคงคิดว่าท่านแม่ทัพมีบุตรสาวเพียงคนเดียวเสียอีก”“จุดประทัดไล่เสียงน่ารำคาญนี่ที”ฟ่างหลิงเทียนรีบสั่งคนให้จุดประทัดที่หน้าจวนด้วยรำคาญเสียงพูดจาเกี่ยวกับน้องสาวของเขา ก่อนจะออกเรือนเขาไม่อยากให้นางได้ยินเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ เมื่อเสียงประทัดดังขึ้นเสียงครหานั้นก็เงียบลงไปท
“กระหม่อมคิดว่า….เรื่องนี้พระองค์ทรงตรัสกับพระชายาเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ผู้เป็นนายหันมามองหน้าองครักษ์หนุ่มคู่กายด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง เขาเดินออกจากห้องทรงงานและมุ่งตรงไปยังห้องส่งตัวที่ถูกจัดเตรียมไว้ดูยิ่งใหญ่กว่าเดิมก่อนหน้านั้นรับพระสนม เขาไม่เคยมาห้องส่งตัวพวกนางมาก่อนเลย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะเป็นการรับพระชายา พิธีส่งตัวจึงจำเป็นต้องทำ“เปิดประตู”“ท่านอ๋อง หากว่ากระหม่อมปิดประตูนี้แล้ว คืนนี้พระองค์ต้องอยู่ในห้องจนถึงเช้าวันพรุ่งขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ”“จางจื่อเจ้าอยากเปลี่ยนอาชีพไปเป็นพ่อสื่องั้นหรือ”“ท่านอ๋อง คือเรื่องนี้…”“ข้ารู้แล้ว ออกไปเถอะ”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องเดินเข้ามายังห้องส่งตัว เขามองไปยังเตียงที่มีเจ้าสาวในชุดสีแดงนั่งอยู่พร้อมกับผ้าปิดหน้า นางนั่งตัวเอียงแปลกๆเมื่อเทียบกับเจ้าสาวที่ตื่นเต้นในคืนส่งตัว “นี่นางคงไม่ใช่ว่า…กำลังหลับอยู่หรอกนะ”ลั่วอ๋องลำพึงเบาๆเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ เขายืนตรงหน้านางอยู่นานจนฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของคนตรงหน้า นางหลับไปแล้วจริงๆเขาจึงเดินไปหยิบไม้มงคลมาเพื่อเปิดดูหน้าของนาง อย่างน้อยเขาก็ควรจะรู้ว่าเขาแต่งงานกับผู้ใด เขาเด
ท่านอ๋องไม่เคยถูกจู่โจมเช่นนี้มาก่อน เขาไม่ทันระวัง ตอนนี้ชิงเยี่ยนเริ่มลงมือบางอย่างกับร่างเปลือยของเขาแล้วมังกรของเขาจากที่หลับใหลอยู่เริ่มผงาดขึ้นมาเพราะถูกถูไถไปมาจนมันเริ่มตื่น เจ้าสาวของเขาร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าเขาจะแข็งแรงกว่านาง แต่ดูเหมือนจะไม่อยากจะต่อต้านนางสักเท่าใด “ฟ่างชิงเยี่ยน ข้า….จะทนไม่ไหวแล้ว”“ไม่ไหว…ก็อย่าทน…สัมผัสข้าสิเพคะ ท่านอ๋อง….อย่ากลั้นสิ อ๊าาา”“ฟ่างชิงเยี่ยน!! ตั้งสติหน่อย นี่เรากำลังถูกวางยานะ!!”“วางยา แล้วอย่างไร ข้าแต่งมาท่านก็ต้องทำเช่นนี้ ไม่ต่างกับพระสนมก่อนหน้านี้ทุกคน และอีกไม่นานก็จะฆ่าข้า จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน จริงสิ ก่อนที่ท่านจะฆ่าข้า ก็ขอล้างแค้นก่อนก็แล้วกัน อยู่เฉย ๆ!!”“พระชายา ข้า..ขอเตือนเจ้า นั่นเจ้าจะทำอะไร!!”ชิงเยี่ยนดึงสายรัดผ้าม่านลงและดึงแขนของเขาตรึงขึ้นด้านบนพร้อมกับมัดเอาไว้“เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!! ข้าเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย…ฟ่างชิงเยี่ยน!!”นางไม่ฟังสิ่งใดจากเขาอีก ชิงเยี่ยนเริ่มล้วงลงไปเรื่อยๆลุกลามไปทั้งร่างของบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่น่าหลงใหลนี้ นางเผลอกัดเขาไปที่ไหล่ข้างหนึ่งอย่างนึกหมั่นเขี้ยว
“ข้ายังไม่รู้แน่ชัด เจ้ารีบให้คนของเราไปสืบดู ได้เรื่องแล้วรีบมารายงานข้า”“เอ่อ…แล้วเรื่องอีกสามเดือนจากนี้…”“รอสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยคิดกันต่อ ไปได้แล้ว”“แล้วพระองค์..”“ในตัวข้ายังหลงเหลือพิษอยู่ ข้าจะไปใช้ปราณขับออก ห้ามผู้ใดรบกวน”“พ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ จางจื่อ”“พ่ะย่ะค่ะ”“ไปบอกแม่นมว่า…หาสาวใช้มาคอยรับใช้นางด้วย”“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”ลั่วหมิงจ้านเดินกลับไปยังห้องบรรทมของตนเองทิ้งให้องครักษ์หนุ่มยืนยิ้มอย่างนึกพอใจ ในที่สุดภูเขาน้ำแข็งเช่นลั่วอ๋องก็เริ่มละลายแล้วสินะก่อนหน้านี้แม้ว่าจะเคยรับสนมเข้ามาหลายคน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะสั่งให้คนเอาใจใส่ดั่งที่ทำกับพระชายาวันถัดมาชิงเยี่ยนขยับตัวด้วยความเมื่อยล้าเต็มที เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าชุดที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดเจ้าสาว“นี่มัน!!….หรือว่า…”นางเริ่มลูบๆคลำๆตามตัวพร้อมกับรู้สึกว่ามิได้เจ็บปวดตรงที่ใด มีเพียงรอยจูบสองสามรอยที่เกิดขึ้นแต่รู้ทันทีว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้ว…“ท่านอ๋องโลหิตนั่น….หน้าตาเป็นเช่นไรแล้วนะ”นางจำหน้าตาเขาไม่ได้เพราะเพียงเห็นแค่แวบเดียวและรู้สึกว่าจะทำเครื่องประดับติดกับเข็มกลัดท
สาวใช้ถอยหลังพร้อมก้มหน้า ชิงเยี่ยนเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก นางจึงลุกขึ้นด้วยพร้อมกับยืนรอเขาในห้อง ขายาวนั้นก้าวเข้้ามาในห้องเสวยและหันมามองนาง แต่ว่า….เหตุใดวันนี้เขาจึงสวมหน้ากากครึ่งหน้าเช่นนั้นกันนะ!!""ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ""ชิงเยี่ยนก็ก้มคำนับเขาเช่นกัน ลั่วอ๋องหันมามองนางที่ยืนก้มหน้าและหันไปที่สาวใช้ เขานึกขำในใจที่นางคงทำตัวไม่ถูก แม้ว่าจะอยู่ในสกุลฟ่างแต่ดูเหมือนว่านางจะมิค่อยได้ออกงานทางการเท่าใดนัก“ตามสบายเถิด พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ไม่ต้องเฝ้าพวกข้า”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”ชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหันหาความช่วยเหลือแต่ไม่มีผู้ใดสบตานางเลยสักคน พวกเขารีบพากันออกไปจนหมด บัดนี้เหลือเพียงนางกับท่านอ๋องที่สวมเพียงหน้ากากสีเงินตรงหน้าเท่านั้น“พระชายา เจ้าไม่กินข้าวงั้นหรือ นั่งลงสิ ข้าหิวแล้ว”“เพคะ หม่อมฉันก็หิวแล้ว รอนานแล้วด้วยเช่นกัน พระองค์มาสายนะเพคะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว”“หุบปาก!!”ชิงเยี่ยนหยุดพูดทันที เมื่อใดที่นางตื่นเต้นนางมักจะพูดมากเกินความจำเป็น ไม่นึกว่าพอออกมาจากจวนสกุลฟ่างแล้วนางกลับรู้สึกว่าที่นี่ดูเป็นบ้านมากกว่าที่สกุลฟ่าง ขาดแต่เพียงว่า…คนตรงหน้านี้
“ป้าเจา…ข้าก็แค่….”“คุณชายคงดีใจที่คุณหนูจะทำให้นะเจ้าคะ”“รีบไปจ่ายเงินเถอะเจ้าค่ะ ยังมีอีกหลายร้านที่ต้องไปแวะ”“เจ้าค่ะๆ”“จงลี่ อู่ผิง ได้หรือยัง”“ได้แล้วเจ้าค่ะ งามหรือไม่เจ้าคะ”“อืม สีนี้ไม่สดไปหน่อยหรือ เจ้าเป็นสาวเป็นนางเหตุใดเลือกสีแสบตาเช่นนี้กัน”“คุณหนูเจ้าคะ ดูนี่สิเจ้าคะ ผ้าแพรผืนนี้สีเดียวกับชุดของคุณชายที่สวมวันนี้เลยเจ้าค่ะ”พวกนางหมายถึงฉลองพระองค์ของท่านอ๋องเมื่อเช้านี้ ชิงเยี่ยนหยิบผ้าแพรสีดำนั้นมามองดูพร้อมกับยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็เอาผืนนี้ด้วย”“คุณหนูจะซื้อไปทำสิ่งใดให้คุณชายหรือเจ้าคะ”“ผ้าที่งดงามเช่นนี้ หากว่าเสริมด้วยผ้าไหมสีทองแล้วปักลวดลายด้วยดิ้นสีเงินสลับทองคงงดงามนัก ข้าจะปักเสื้อคลุมให้ท่านพี่”“แค่พูดก็นึกอยากเห็นแล้วเจ้าค่ะ”“จงลี่ เจ้ามัวแต่พูด เลือกได้หรือยังจะได้เอาไปรวมให้ป้าเจาจ่ายเงิน”“ได้แล้วเจ้าค่ะ”“ไปกันได้แล้ว ยังมีร้านเข็มกับด้ายอีกไหนจะต้องแวะซื้อกรรไกรกับเครื่องมืออื่นอีก เร็วๆเข้า”พวกนางเดินไปแล้ว เมื่อป้าเจาจ่ายเงินเสร็จก็พากันออกจากร้านไป บ่าวผู้ชายก็นำกองผ้าที่พระชายาซื้อไปที่รถม้าเพื่อรอพวกนางซื้อของร้านต่อไปผู้ที่ยืนอยู่นอกร
ฟ่างชิงเยี่ยนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกด่ารุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่นึกว่าแค่เรื่องเข้าใจผิดนี่จะทำให้เขาถึงกับ…..“ท่านอ๋อง…เมื่อครู่พระองค์…”“สตรีมักมากหลายใจเช่นเจ้า มีสิ่งใดให้ข้าลุ่มหลงกัน”“หึ ชิงเยี่ยนเจ้าเห็นหรือยังว่าเขาเลือดเย็นเพียงใด คนเช่นนี้หรือที่เจ้้าอยากอยู่ร่วมกับเขา ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าอยู่ร่วมกับเขาเป็นอันขาด การแต่งงานนี้ ข้าไม่มีทางยอมรับ!!”“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู ว่าจะสามารถแย่งนางไปจากตำหนักอ๋องของข้าด้วยวิธีใด ข้าก็อยากจะเห็นเช่นกัน”ท่านอ๋องดันเขาไปจนติดกำแพงสุดแรงและหันมาฉุดฟ่างชิงเยี่ยนที่ยืนอยู่อีกด้านมากับเขา นางแน่นิ่งและสะบัดมือเขาออกเช่นกัน“เจ้าจะทำสิ่งใด จะไปกับมันงั้นหรือ”“ข้าไม่ไปที่ใดกับผู้ใดทั้งสิ้น ในเมื่อไม่นานก็ต้องตาย สู้ตายตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”ชิงเยี่ยนวิ่งสุดแรงเพื่อจะใช้ศีรษะชนกำแพงพร้อมกับเสียงร้องห้ามของจางลู่หยวน แต่ท่านอ๋องรวบเอวนางขึ้นมาได้ทันและจับนางพาดบ่าทันที“ชิงเยี่ยน!!”“อย่าได้ให้ข้าเห็นว่าเจ้ากล้าเข้ามาใกล้นางอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้จะมิใช่แค่บาดเจ็บแต่ข้าจะตัดหัวเจ้าแทน!!”“ปล่อยข้านะ”“เงียบ!!”“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ฆ่าข
สองชั่วยามผ่านไป“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเรียกข้ามาเก้าครั้งแล้ว หากว่าเจ้าเป็นห่วงนางนัก…”เขาพูดไม่ทันจบ เสียงฝนด้านนอกก็ตกลงมา ชิงเยี่ยนที่ยังนั่งอยู่ลานกลางตำหนักมองดูสิ่งที่สู้อุตส่าห์ซื้อมาจากตลาด หวังจะมาตัดชุดให้เขา กลับถูกเผาด้วยมือเขาเอง ในตอนนี้ฝนยังกระหน่ำตกลงมาราวกับจะบอกนางว่าคงถึงเวลาที่นางจะต้องตายแล้ว จึงส่งฝนมาช่วยให้นางได้ตายเร็วขึ้น“หึ แม้แต่สวรรค์ยังรู้เลยว่าไม่อยากอยู่แล้ว”ฟ่างชิงเยี่ยนหัวเราะให้กับโชคชะตาของตนเอง เดิมทีท่านพ่อนางตกลงยกนางให้หมั้นหมายกับจางลู่หยวน เพื่อนในวัยเด็กและเป็นบุตรของรองแม่ทัพของเขาเองจางลู่หยวนนั้นมีใจให้กับฟ่างชิงเยี่ยนมาตั้งแต่เด็กแม้ว่านางจะอยากแต่งกับเขาเพียงเพราะอยากจะออกจากสกุลฟ่างเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้จากต้องแต่งเข้าสกุลจาง เพียงแค่ราชโองการฉบับเดียว และพี่สาวคนรองที่หนีเอาตัวรอดจากการแต่งงาน บิดาของนางจึงส่งนางมาตายแทนที่พี่รองนางที่นี่ “ที่สุดแล้วอยากให้ข้าตายไปให้พ้นๆนี่เองสินะ”สายตานางพร่าเลือนไปทีละนิด นางไม่รู้ว่ายามใดแล้วเมื่อตานางเริ่มปิด และเห็นเพียงลางๆว่ามีคนวิ่งมาทางนี้ สัม
“เรื่องของข้างั้นหรือ เรื่องใดกัน”“เหตุใดสามในสี่ของยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉิน จึงไม่มีสมญานาม มีเพียงท่านที่ผู้คนเรียกว่าท่านอ๋องโลหิตเพคะ”“เรื่องนี้…น่าจะมาจากประวัติการแต่งงานที่ล้มเหลวของข้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเพียงเพราะครั้งที่เจ็ด ที่ข้าลงมือฆ่านางเอง”“มีคนรู้เรื่องนี้มากหรือเพคะ”“ใช่ ข้า…ฆ่านางตายที่หน้าตำหนัก ผู้คนพบเห็นมากมายแต่ในตอนนั้นข้าสวมหน้ากากน่ะ”“หน้ากากอันนั้น!!”“ใช่ เพราะนางข้าเลยสั่งทำหน้ากากมาเพื่อป้องกันตัว เพราะรู้แน่ว่านางมิใช่สตรีธรรมดาและเมื่อสืบรู้ว่านางเป็นกบฏของซุนหวง จวินอ๋องจึงเสด็จมาที่นี่เพื่อช่วยข้าจับนาง แต่ผู้คนที่นี่มิได้้มีผู้ใดรู้จักจวินอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าข้าฆ่าสตรีผู้นั้น พวกเขาจึงได้เรียกข้าว่าอ๋องโลหิต ฆ่าคนหน้าตายไร้ความรู้สึก”“แต่พวกเขามิได้รู้เลยว่าหากพระองค์ไม่ฆ่านางในวันนั้น นางจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านและแผ่นดินมากเพียงใด ผู้คนต่างชอบตัดสินคนจากสิ่งที่เห็นในครั้งแรกเสมอโดยมิได้ไตร่ตรอง”“แล้วเจ้าเล่าชิงเยี่ยน เจ้าเองก็กลัวข้ามิใช่หรือ”“เมื่อเทียบกับนรกบนดินที่สกุลฟ่าง หม่อมฉันในตอนนั้นตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้าเพคะ หม่อมฉันเลยล
“ท่านอ๋องเพคะ ไม่คิดว่านี่จะ…”“ไม่ดึกเกินไปหรอก ข้าจะไม่รบกวนเจ้านานและจะนิ่มนวลที่สุด อย่าห่วงเลยนะ”ท่านอ๋องพรมจูบไปทั่วจนมาหยุดที่ริมฝีปากของชิงเยี่ยน เขาเริ่มยั่วยวนเบาๆและเร่งจังหวะจูบมากขึ้นเป็นเร่าร้อน ชิงเยี่ยนบีบแขนเขาแน่นเพื่อเตือนไม่ให้เขารุกเร็วเกินไป ท่านอ๋องตั้งสติได้จึงค่อยๆปลดชุดนางออกทีละชิ้น ลิ้นของเขายังคงละเมียดอย่างช้าๆบนเรือนร่างที่น่าเย้ายวนตรงหน้า “ดูเหมือนว่า หน้าอกของเจ้ามันจะ….”ใช่ มันใหญ่ขึ้นและเต่งตึงมากขึ้นทุกครั้งที่เขาเห็น มิใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตแต่เขาพยายามหักห้ามใจเพราะเห็นว่านางตั้งครรภ์อยู่ แต่เมื่อถอดออกจนหมดเช่นนี้ มันยากจะหักห้ามใจเสียยิ่งนัก“อาาา ชิงเยี่ยน เหตุใดเจ้าช่าง….”“อื้ออ ท่านพี่…อ๊าาา หม่อมฉันร้อนมากเพคะ ช่วยด้วย”“ข้ามาแล้ว รอเดี๋ยวนะ…”ลิ้นและนิ้วของเขาทำงานประสานกันอย่างดีโดยที่นางไม่ต้องบอก เขารู้ว่านางชอบให้เขาทำสิ่งใดและสัมผัสนางตรงไหนถึงจะเรียกเสียงครางที่ร้องขอสัมผัสจากเขามากขึ้น ร่างนางเอนแอ่นขึ้นตามสัมผัสจากลิ้นหนานั้นเมื่อมันเริ่มล้วงเข้าไปจนสุดด้านในร่องชื้นจนเกิดเสียง“อ๊าา ไม่ไหวแล้วเพคะ อ๊าา…”น้ำบางอย่างไหลออกมาสมทบ
สี่เดือนผ่านไป / ตำหนักท่านอ๋อง“ชิงเยี่ยน!! ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุดปักผ้าเสียที”“แต่หม่อมฉันยังปักชุดลูกยังไม่เสร็จนี่เพคะ”“ข้าบอกให้เก็บเดี๋ยวนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อนักหากยังไม่หยุดมือ…”“โอ๊ย!!”“นั่นอย่างไร เร็วเข้า ส่งผ้ามามาให้ข้า!!”ท่านอ๋องรีบคว้าผ้าและพุ่งเข้าไปหาพระชายาที่ถูกเข็มปักนิ้วมืออีกครั้ง“ข้าบอกแล้วเห็นหรือไม่ นิ้วเจ้าแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว พอเถอะนะชิงเยี่ยนถือว่าข้าขอร้อง เจ้าเจ็บถึงเพียงนี้…ข้าปวดใจนะ”“ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันสัญญาว่า…ผืนนี้จะเป็นชุดสุดท้าย…”“เจ้าบอกข้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าว่าลูกเราจะสวมหมดนั่นจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่เผื่อให้เขาได้โตบ้างเลยหรือ”ท่านอ๋องตรัสพลางให้นางหันไปดูชุดที่นางปักเสร็จและถูกพับเก็บเอาไว้เกือบสี่ตะกร้าใหญ่ๆ ด้านในนั้นมีทั้งชุดสวม หมวก ถุงมือถุงเท้าและรองเท้าสำหรับเด็กอีกหนึ่งตะกร้า ทั้งสี่ตะกร้านั้นล้วนเป็นฝีมือการตัดเย็บของนางทั้งสิ้น“แต่ว่า…”“หากเจ้ายังดื้อเช่นนี้ ข้าคงต้องให้คนนำสิ่งพวกนี้ทิ้งไปเสีย หากเจ้ายังมิฟังต่อไปผ้า เข็มและด้ายจะเป็นสิ่งต้องห้ามในตำหนักของพวกเรา”“ท่านพี่เพคะ ทำเช่นนั้นออกจะเกินไปเพคะ หม่อมฉันหยุดก็ได้เพ
“ท่านพี่เพคะ แต่นี่มัน….”“อย่าร้องไห้สิ จะเป็นแม่คนอยู่แล้วนะ”“แต่ว่า…”“ข้าไหวน่า อาการเช่นนี้เป็นกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะเป็นตลอดจนเจ้าคลอดเสียเมื่อไหร่กันเล่า”“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์…”“อืมม พอได้กอดแล้วก็หอมเจ้าเช่นนี้ เหมือนกับว่าอาการเหล่านั้นจะเบาบางลงเลย”“งั้นหรือเพคะ เช่นนั้น….”“เจ้าก็กอดแล้วเข้ามาคลอเคลียข้าบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นนี้ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”“เพคะ”วันถัดมา“เอ่อ…ป้าเจา พวกเราบอกให้ท่านอ๋องเพลาๆลงบ้างดีหรือไม่ มิเช่นนั้นจะเสาะท้องเอานะเจ้าคะ”“อาการคนแพ้ท้องก็เป็นเช่นนี้ เจ้ากล้าเข้าไปทูลหรือไม่เล่าอู่ผิง”“ไม่เจ้าค่ะ แต่พระชายา…”“ท่านพี่เพคะ เอาแต่เสวยของหมักของดองกับผลไม้เชื่อมเช่นนี้มิได้นะเพคะ ดื่มน้ำแกงนี่หน่อยเพคะ”“ข้า…หยุดไม่ได้น่ะ เจ้าลองหน่อยหรือไม่”“ไม่เอาละเพคะ แค่เห็นก็เข็ดฟันแล้วเพคะ”“แต่ว่าข้าไม่นึกเลยนะว่ามันจะอร่อยมากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยลิ้มลองเลย”“อย่ากินมากเพคะ เอาแต่พอดี”“แต่พอกินของพวกนี้แล้วข้าก็ไม่คลื่นไส้อาเจียนอีกเลยนะ”“เฮ้อ…..อ้าวจางจื่อ มีสิ่งใดงั้นหรือ….เอ่อ เช่นนั้นข้า…”นางทำท่าจะลุกเมื่อเห็นว่าม
ความตกใจและความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นนับบัดนั้น ท่านอ๋องเอาแต่อาเจียนไม่หยุด จางจื่อสรุปได้ว่าท่านอ๋องคงเร่งขี่ม้าจากเฉินตูเพื่อกลับมาที่ซูโจวจึงทำให้พักผ่อนน้อย ส่วนชิงเยี่ยนเอาแต่โทษตัวเองเพราะคิดว่าท่านอ๋องคงใช้แรงหนักเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่ายจนถึงช่วงเย็น ป้าเจาเองก็คิดว่าอาหารที่ทำมามีปัญหาจนจงลี่ต้องเป็นผู้ให้คนไปตามหมอหลวงเข้ามาดูอาการท่านอ๋อง“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ทูลพระชายา…กระหม่อมคิดว่า….เอ่อชีพจรเต้นหนักแน่นมั่นคง ลมหายใจมิได้มีสิ่งผิดปกติ ร่างกายมิได้ถูกพิษ ทุกอย่างปกติดีแต่ว่าเพราะเหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้….”แม้แต่ท่านหมอก็มิอาจวินิจฉัยอาการแปลกประหลาดนี้ได้ ทั้งตำหนักพากันวุ่นวาย ท่านหมอทำได้เพียงระบุอาการว่าท่านอ๋องอาจจะเพลียสะสมจากการเดินทางและพักผ่อนน้อยจึงทำให้ปรับสภาพร่างกายยังไม่ดีพอจึงให้ต้มยาบำรุงให้ดื่ม แต่เมื่อสาวใช้นำยานั้นมาให้ ท่านอ๋องกลับเริ่มอาเจียนอีกครั้ง จนคราวนี้ท่านหมอถึงกับกุมขมับเพราะไม่สามารถวินิจฉัยได้“ท่านหมอเจ้าคะ…”“ท่านป้าแม่นม ข้าเป็นหมอมายี่สิบกว่าปียังไม่เคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน สุขภาพภายนอกมิได้มีอันใดผิดปกติเลย เช่นนี้ข้าจะ..”“มิใช่เ
ท่านอ๋องคว้าร่างของพระชายาขึ้นมาอุ้มและพาเดินขึ้นไปที่ห้องบรรทมทันที เมื่อเขาวางร่างของพระชายาลงถึงเตียงทั้งคู่ก็แทบจะไม่ห่างกันแต่ละคนเริ่มสาละวนกับการดึงทึ้งชุดเสื้อผ้าที่เกะกะออก ปากของทั้งคู่แทบจะไม่ห่างกันจนถึงตอนนี้ เมื่อสองร่างไร้ซึ่งสิ่งปิดบังท่านอ๋องเองก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าครอบครองนางด้วยลิ้นทันที“อื้ออ ท่านพี่….เบาหน่อยเพคะ”“เบางั้นหรือ เจ้าทำให้ข้าแทบบ้าเมื่อคืนผู้ใดปล่อยให้ข้านอนคนเดียว”“อ๊าา เดี๋ยวก่อน อ๊าา …”ไม่ทันที่นางจะห้ามแต่เขากลับสอดลิ้นเข้ามาในร่องกลีบชื้นของนางและเริ่มใช้มือบดขยี้ปลายยอดปทุมสีสดนั้นอย่างมันมือ ทั้งเร่งเร้าและร้อนเร่าดุจพยัคฆ์ที่หิวโหยมาแสนนาน ร่างของพระชายาสั่นเกร็งไปชั่วขณะเมื่อเขาเริ่มเร่งกระตุ้น เสียงครางที่ดังขึ้นทำเอาพระทัยท่านอ๋องแตกกระเจิง“อ๊าา…จุก อื้อ…อย่าเร็วนักเพคะ หม่อมฉัน อ๊าา …”เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ฟังคำร้องขอใดๆ อย่างที่เตือนนางเอาไว้เมื่อครู่ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆของทั้งคู่และเสียงกล้ามเนื้อที่กระทบกันและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อทั้งสองจะถึงปลายทาง…..“พระองค์จะเกินไปแล้วนะเพคะ”“เจ้ายังมีแรงต่อว่าข้าอย
“เช่นนั้น….เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”“แต่ข้ากับเหล่าท่านอ๋องมิได้แตะต้องพวกนาง”ชิงเยี่ยนชะงักลงเมื่อกำลังจะเดินออกจากประตู ท่านอ๋องดึงแขนนางไว้ แต่ไม่ได้ดึงแรงหรือกระชากเช่นก่อนหน้านี้“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”ท่านอ๋องดูท่าทีของนางและน้ำเสียงที่สับสนเล็กน้อยเขาจึงตัดสินใจค่อยๆเดินเข้าไปหานางและดึงนางให้หันมาพร้อมกับจับมือนางเอาไว้ น้ำตายังคงไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของนางด้วยความน้อยใจเขาก่อนหน้านี้เมื่อเขาเอื้อมมือไปเช็ดให้นาง“เป็นปกติธรรมเนียมปฏิบัติที่ฝ่าบาทจะทรงประทานสตรีมาปรนนิบัติพวกเราเวลาที่เข้าเฝ้าเพื่อดูแลและเพื่อให้สกุลอ๋องแต่ละเมืองได้มีทายาทสืบทอด ข้าซึ่งเป็นท่านอ๋องเพียงคนเดียว หนึ่งในสี่ของอ๋องที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทที่มีเพียงพระชายาแต่ยังไม่มีบุตร ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงประทานสตรีมาให้ถึงสามคนด้วยกัน”เขารู้ว่าชิงเยี่ยนกำลังจะถอยหนีเพราะคำกล่าวนี้ สตรีถึงสามคนที่ร่วมกันปรนนิบัติพระสวามีในยามที่นางไม่อยู่ แค่ได้ฟังก็คงเจ็บใจแล้วแต่เขาไม่ยอมให้นางมีโอกาสหนี วันนี้นางต้องฟังเขาให้จบ“แต่ข้า….ท่านอ๋องทั้งสามเองก็ทราบดี แม้ว่าชิงอ๋องและเฟิ่งอ๋องจะมีบุตรแล้ว จวินอ๋องแม้จะยังไม่มีบุตรแต่พระชาย
จางลู่หยวนเดินเข้าไปหานางพร้อมกับมือที่สั่นเทาเมื่อค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดนาง กลิ่นกายนางช่างหอมนัก แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้สัมผัสเลยก็ตาม ครั้งนี้จะเป็นเพียงครั้งเดียวที่เขาจะมีโอกาสได้ทำเช่นนี้ เขาค่อยๆคลายอ้อมกอดนั้นออกอย่างมีมารยาทพร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างรู้สึกขอบคุณ“ขอบใจเจ้ามากชิงเยี่ยน จากนี้ขอให้เจ้าโชคดีเช่นกัน”“วันเดินทาง ข้าจะไปส่งท่านนะ”“ไม่ต้องหรอก เกรงว่า…ท่านอ๋องคงไม่ปล่อยให้เจ้าไป”“แต่พวกท่านก็เป็นกองทัพของเขาเช่นกัน”“ชิงเยี่ยน เจ้าคงไม่รู้ว่าในตอนนี้ทั่วทั้งซูโจวต่างกล่าวขานเรื่องท่านอ๋องที่ทรงหวงพระชายาราวจงอางหวงไข่ อย่าได้ทำให้พระองค์ระคายพระทัยเลย ท่านอ๋องเป็นคนดี พระองค์จะปกป้องเจ้าและรักเจ้าไปทั้งชีวิต สายพระเนตรของพระองค์ที่มองเจ้าข้าเข้าใจได้ดี”"ขอบคุณพี่ลู่หยวนเจ้าค่ะ"“เช่นนั้นข้าขอลาก่อน”“เจ้าค่ะ แล้วพบกันใหม่”“แล้วพบกันใหม่”ชิงเยี่ยนยืนส่งเขาที่หน้าห้องโถง จางลู่หยวนเดินออกมา เขาเงยหน้าและกะพริบตาถี่ๆเพื่อไล่บางอย่างออกไป พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมากกว่าตอนที่เขามาถึง “แสบตายิ่งนัก”มือของเขาปาดไปที่ดวงตาที่มีน้ำรื้นผุดออกมา ครั้งนี้เขาจะไม่ได้พบเจอช
ท่านอ๋องมีท่าทีโมโหทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้ เขาหันไปมองหน้าชิงเยี่ยนที่เพียงแค่ยกผ้ามาเช็ดปากและวางลงไป ชิงเยี่ยนเองก็ตกใจแต่นางรักษาท่าทีได้ดีกว่าท่านอ๋อง แต่ในใจนางนั้นกังวลอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ใคร่รู้ว่าเหตุใดจางลู่หยวนจึงเลือกมาพบนางในวันนี้“พระชายาเพคะ…ให้หม่อมฉัน…”“ไปบอกเขาให้รอข้าสักครู่ อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบเขา”ท่านอ๋องตกใจและหันมามองหน้านาง เขาไม่คิดว่านางจะกล้าไปพบจางลู่หยวนอีกในเมื่อนางรับปากกับเขามั่นเหมาะแล้วก่อนหน้านี้“พระชายา นี่เจ้าจะ….”“หม่อมฉันอิ่มแล้วเชิญท่านอ๋องเสวยเถิดต่อเพคะ”มีหรือที่เขาจะกินลงได้อีก ท่านอ๋องลุกขึ้นและดึงแขนนางเอาไว้ จนชิงเยี่ยนทำหน้ามุ่ยด้วยความเจ็บแต่นางก็มิได้ร้องออกมา ท่านอ๋องเองก็พอจะรู้ตัวว่าทำรุนแรงเกินไปจึงรีบคลายออกแต่ยังไม่ยอมปล่อย“เจ้าจะไปพบเขาเช่นนั้นหรือ”ชิงเยี่ยนหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องสายตาของนางในตอนนี้เขาไม่อาจเดาได้เลยว่านางคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เขาทั้งไม่แน่ใจ หวาดระแวง และกลัวไปหมดเรื่องเมื่อคืนที่เขากับนางทะเลาะกันก็ยังมิได้ปรับความเข้าใจ นี่นางยังไปพบกับศัตรูหัวใจอันดับหนึ่งที่เป็นดั่งหนามยอกอกเขาและยิ่งกว่านั้นคือเขากล้า