“น้องห้า…เจ้า…ตัดสินใจแน่แล้วงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ"
ชิงเยี่ยนคำนับให้พี่ใหญ่ก่อนจะเดินกลับมาที่เรือนพัก ของตนเอง นางมองไปรอบๆเรือนพักของนางอีกครั้ง ก่อนหน้านี้หลังจากมารดานางเสียไปนางก็ถูกย้ายมาที่เรือนหลังนี้ทันทีด้วยคำสั่งของฮูหยินใหญ่ ระหว่างที่บิดานางไปทำศึก แต่เมื่อเขากลับมาก็มิได้สั่งย้ายหรือช่วยเหลืออะไรนาง
ทุกอย่างก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฮูหยินใหญ่จัดการทั้งหมด แม้ว่านางจะได้ร่ำเรียนทุกอย่างเหมือนกับพี่น้องทุกคน แต่ความแตกต่างกันก็เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับและสถานะในจวนสกุลฟ่าง
“บางทีการไปตายเอาดาบหน้าเช่นนี้ก็อาจจะดีกว่า”
วันแต่งงาน
“ช่างน่าสงสารอะไรเช่นนี้นะ”
“เห็นว่านางเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของท่านแม่ทัพ”
“นางไม่มีแม่ จะว่าไปแล้วข้าแทบจะไม่เคยเห็นนางมาก่อนเลยนะ หากวันนี้มิได้แต่งออกไปข้าคงคิดว่าท่านแม่ทัพมีบุตรสาวเพียงคนเดียวเสียอีก”
“จุดประทัดไล่เสียงน่ารำคาญนี่ที”
ฟ่างหลิงเทียนรีบสั่งคนให้จุดประทัดที่หน้าจวนด้วยรำคาญเสียงพูดจาเกี่ยวกับน้องสาวของเขา ก่อนจะออกเรือนเขาไม่อยากให้นางได้ยินเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ เมื่อเสียงประทัดดังขึ้นเสียงครหานั้นก็เงียบลงไปทันที เจ้าสาวในชุดสีแดงอยู่บนหลังของเขา
“น้องห้า หากว่ามีสิ่งใดให้พี่ช่วย รีบส่งคนมาบอกพี่จะไปทันที”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ …ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“เจ้าเป็นน้องสาวข้า ไม่ว่าจะแต่งไปที่ใด เจ้าก็ยังเป็นน้องห้าของข้า ไม่ต้องห่วงพี่ไม่ทิ้งเจ้าแน่”
ชิงเยี่ยนกอดคอเขาเอาไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ด้วยเกรงว่าหากไม่ทำเช่นนี้ หลังจากนี้นางอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว ชื่อเสียงของลั่วอ๋อง อ๋องโลหิตที่รับพระสนมเข้าตำหนักไปเจ็ดครั้งแต่ก็ไม่เคยมีสตรีคนใดได้กลับออกมาจากตำหนักอ๋องโลหิตผู้นั้นอย่างมีลมหายใจเลยสักครั้ง
“ได้เวลาแล้ว พระชายาขึ้นเกี้ยวได้”
ครั้งนี้ราชโองการทรงแต่งตั้งให้บุตรแม่ทัพฟ่างไม่ต้องเป็นพระสนม แต่เป็นพระชายาตามคำทำนายของโหรในวังหลวงว่าหากยังแต่งตั้งให้เป็นพระสนม พวกนางอาจจะไม่มีชีวิตรอด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลั่วอ๋องไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเพราะเป็นพระราชโองการจากฮ่องเต้
“น้องห้า ข้าจะไปส่งเจ้าให้ถึงตำหนักอ๋อง”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
ตำหนักลั่วอ๋อง
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่ตำหนัก มีเพียงแม่นมและสาวใช้อีกสี่คนมายืนรอรับพระชายาอยู่ด้านหน้าตำหนัก
ทั้งหมดทำหน้าตาเรียบเฉยแต่ดูมีมารยาทพร้อมกับรับหนังสือส่งตัวพระชายามาจากคุณชายใหญ่สกุลฟ่างและส่งตัวเจ้าสาวให้กับแม่บ้านผู้นั้น
“คารวะพระชายาเพคะ จากนี้หม่อมฉัน แม่บ้านเจาจะเป็นผู้ดูแลพระองค์เอง หากมีสิ่งใดให้รับใช้โปรดเรียกหม่อมฉันนะเพคะ”
“ขอบคุณแม่บ้านเจาเจ้าค่ะ”
เสียงนั้นลอดออกมาจากผ้าแดงคลุมหน้าพร้อมกับเดินเข้าไปในตำหนัก ฟ่างหลิงเทียนมองดูน้องสาวครั้งสุดท้ายเมื่อส่งนางเข้าไปแล้ว พร้อมกับขบวนเกี้ยวที่ตามเข้าไปพร้อมกันจนประตูด้านหน้าตำหนักท่านอ๋องปิดลง
“พระชายา นี่คือห้องส่งตัวของพระองค์ เมื่อถึงเวลาฤกษ์ส่งตัวท่านอ๋องจะเป็นผู้ที่มาเปิดหน้าพระองค์เพคะ”
“ขอบคุณแม่บ้านเจาเจ้าค่ะ”
“พระชายาเรียกหม่อมฉันว่าป้าเจาก็ได้เจ้าค่ะ จะได้สะดวกเวลาเรียกใช้งาน”
“ขอบใจป้าเจ้า”
เมื่อประตูปิดลง ฟ่างชิงเยี่ยนนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวนั้น ไม่ทราบเวลาว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว และไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยามใด นางเผลอพิงตัวหลับที่เสาเตียงห้องส่งตัวเพราะความเหนื่อยล้า
ห้องทรงงาน
“ทูลท่านอ๋อง แม่นมเจาให้คนมาแจ้งว่าได้เวลาส่งตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หมึกจากปลายพู่กันหยดลงกระดาษที่กำลังจะเขียนเมื่อองครักษ์ประจำกายกล่าวจบ ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันที่เขาได้รับแต่งตั้งพระชายาเข้าจวนมา พระชายาที่ได้รับการพระราชทานจากฮ่องเต้
พระชายาที่เป็นบุตรีของแม่ทัพใหญ่ที่ทรงอำนาจในซูโจว และเป็นพระชายาที่เขาไม่ต้องการ
“ข้ารู้แล้ว”
“ท่านอ๋อง…..พระองค์ตรัสเช่นนี้….มาสี่รอบแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
พู่กันในมือถูกวางลงอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อลงชื่อด้านล่างรายงานจบพร้อมกับกระดาษที่ปิดลง ชายเสื้อชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั้นถูกดึงขึ้นและจับรายงานนั้นส่งให้องครักษ์คนสนิท
“ส่งรายงานนี้ไปวังหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมสวมฉลองพระองค์มงคลให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ข้าจัดการเอง มิใช่ครั้งแรกที่ข้าสวมนี่ ข้าย่อมจำได้ว่าต้องใส่อะไรบ้าง”
บุรุษหนุ่มเดินไปยังชุดเจ้าบ่าวที่ถูกแขวนอยู่ริมห้องพร้อมกับหยิบมาสวมอย่างไม่นึกใส่ใจมากนัก เมื่อเขาจัดชุดแล้ว จางจื่อจึงได้นำเข็มขัดมาสวมทับให้เขาอีกที
“ไม่ต้องแน่นมาก อีกเดี๋ยวก็ถอดออกแล้ว”
“แต่ว่า ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้แต่งตั้งพระชายา มิใช่พระสนม ฉะนั้นคืนส่งตัวมีกฎว่า….”
บุรุษหนุ่มที่ยืนฟังเพียงแค่ปรายตามองผู้พูด เขาจึงรีบหยุดพูดทันที เขารู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ งานแต่งที่เขาไม่ได้ต้องการ เขาแสดงออกมาเจ็ดครั้งแล้วว่าไม่ต้องการสตรีในตำหนักอ๋องแห่งนี้
แต่เหมือนกับฮ่องเต้ทรงเกรงว่าท่านอ๋องจะไม่มีทายาทเพื่อสืบสกุลจึงได้ตัดสินใจแต่งตั้งพระชายาให้เขาแทนที่จะเป็นพระสนม
“นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพฟ่าง เขาได้ส่งอะไรมาบอกหรือไม่”
“แม่ทัพฟ่างมีเพียงจดหมายฉบับเดียวเพื่อส่งให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เอามาให้ข้าอ่าน”
จางจื่อสวมเข็มขัดให้ท่านอ๋องเสร็จแล้วจึงได้ล้วงเข้าไปในปกเสื้อเพื่อดึงจดหมายจากแม่ทัพฟ่างออกมาส่งให้ผู้เป็นนาย
สายตาคมดุจพยัคฆ์ที่จ้องไปในจดหมาย แม้ว่าจะดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม แต่ก็โดดเดี่ยวอยู่ด้วยไม่น้อย เมื่อเขาอ่านจดหมายจบจึงนำจดหมายนั้นลนไฟไปในทันที
“ท่านอ๋อง….”
“หึ สุดท้ายก็แค่เพิ่มคนเข้ามาในตำหนักมิใช่หรือ”
“ท่านอ๋องแต่ว่าครั้งนี้..จะทำแบบเดิมหาได้ไม่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไม จะพระสนม หรือพระชายาก็ไม่ต่างกัน ข้าไม่ได้ต้องการคนไม่มีประโยชน์ มีพวกนางไปก็เกะกะ สู้ฆ่าให้ตายเสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องผูกพันธะสืบเนื่องกันต่อไป”
“แต่นางเป็นบุตรของแม่ทัพฟ่างนะพ่ะย่ะค่ะ หากข่าวพระชายาแพร่ออกไป เรื่องนี้เกรงว่า….ชาวบ้านคงจะ…”
“ข้าเคยสนใจคำพูดของชาวบ้านพวกนั้นงั้นหรือ ที่ทำอยู่นี่ก็มิใช่ว่าปกป้องพวกเขาหรืออย่างไร ใต้หล้านี้มีเพียงบุรุษที่เข้มแข็งหนักแน่นเท่านั้นที่ปกครองได้ หากมีสตรีมายุ่งเกี่ยว พาลแต่จะทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย เจ้าไม่เห็นพวกวังหลวงนั่นหรือ พอแต่งงานก็ไม่ได้เรื่อง ลุ่มหลงแต่ชายาจนไม่เอาการเอางาน การศึกไม่ยุ่งเกี่ยว การทหารไม่ใส่ใจ”
“แต่ว่าชิงอ๋องแห่งเฉินตูแม้ว่าจะมีพระชายาแต่พวกเขากลับสามารถปกครองเฉินตูไปพร้อมๆกับดูแลเมืองหลวงช่วยฝ่าบาทได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพี่เย่หานเป็นเพียงหนึ่งในกี่คนเล่า เจ้าลองดูสิ”
“ท่านอ๋องเฟิ่งกับพระชายาเองก็มิได้รักกันมาก่อน แต่ภายหลังพวกเขาก็….”
“นั่นเพราะพี่เฟิ่งและนางเข้าใจผิดกันแต่แรก แต่เมื่อทราบความจริงพวกเขาจึงเข้าใจกัน”
“เช่นนั้นท่านอ๋องจวินกับพระชายาที่เคยเป็นอาหลานกันมาก่อน….”
“พวกเขาทั้งสองมีใจผูกพันกันมาหลายปี ไม่แปลกหากว่าจะรักกัน”
“ท่านอ๋อง เหตุใดพระองค์จึงไม่ยอมลองเปิดพระทัย….”
“เจ้าพอเสียที พวกเขามิได้เหมือนข้า ข้าแต่งงานมาเจ็ดครั้งแล้ว…..”
“กระหม่อมเพียงแค่คิดว่า…บางที….”
“ไม่ต้องพูดมาก ได้เวลาแล้วมิใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหลังจากนี้เจ้าก็ไปถามนางว่า…”
“ท่านอ๋อง พระองค์คงไม่คิดที่จะ…”
“ไปถามนาง…ว่าหลังจากนี้อีกสองเดือน นางอยากจะตายเช่นไร”
“เรื่องของข้างั้นหรือ เรื่องใดกัน”“เหตุใดสามในสี่ของยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉิน จึงไม่มีสมญานาม มีเพียงท่านที่ผู้คนเรียกว่าท่านอ๋องโลหิตเพคะ”“เรื่องนี้…น่าจะมาจากประวัติการแต่งงานที่ล้มเหลวของข้า ไม่สิ ต้องบอกว่าเพียงเพราะครั้งที่เจ็ด ที่ข้าลงมือฆ่านางเอง”“มีคนรู้เรื่องนี้มากหรือเพคะ”“ใช่ ข้า…ฆ่านางตายที่หน้าตำหนัก ผู้คนพบเห็นมากมายแต่ในตอนนั้นข้าสวมหน้ากากน่ะ”“หน้ากากอันนั้น!!”“ใช่ เพราะนางข้าเลยสั่งทำหน้ากากมาเพื่อป้องกันตัว เพราะรู้แน่ว่านางมิใช่สตรีธรรมดาและเมื่อสืบรู้ว่านางเป็นกบฏของซุนหวง จวินอ๋องจึงเสด็จมาที่นี่เพื่อช่วยข้าจับนาง แต่ผู้คนที่นี่มิได้้มีผู้ใดรู้จักจวินอ๋อง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าข้าฆ่าสตรีผู้นั้น พวกเขาจึงได้เรียกข้าว่าอ๋องโลหิต ฆ่าคนหน้าตายไร้ความรู้สึก”“แต่พวกเขามิได้รู้เลยว่าหากพระองค์ไม่ฆ่านางในวันนั้น นางจะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านและแผ่นดินมากเพียงใด ผู้คนต่างชอบตัดสินคนจากสิ่งที่เห็นในครั้งแรกเสมอโดยมิได้ไตร่ตรอง”“แล้วเจ้าเล่าชิงเยี่ยน เจ้าเองก็กลัวข้ามิใช่หรือ”“เมื่อเทียบกับนรกบนดินที่สกุลฟ่าง หม่อมฉันในตอนนั้นตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้าเพคะ หม่อมฉันเลยล
“ท่านอ๋องเพคะ ไม่คิดว่านี่จะ…”“ไม่ดึกเกินไปหรอก ข้าจะไม่รบกวนเจ้านานและจะนิ่มนวลที่สุด อย่าห่วงเลยนะ”ท่านอ๋องพรมจูบไปทั่วจนมาหยุดที่ริมฝีปากของชิงเยี่ยน เขาเริ่มยั่วยวนเบาๆและเร่งจังหวะจูบมากขึ้นเป็นเร่าร้อน ชิงเยี่ยนบีบแขนเขาแน่นเพื่อเตือนไม่ให้เขารุกเร็วเกินไป ท่านอ๋องตั้งสติได้จึงค่อยๆปลดชุดนางออกทีละชิ้น ลิ้นของเขายังคงละเมียดอย่างช้าๆบนเรือนร่างที่น่าเย้ายวนตรงหน้า “ดูเหมือนว่า หน้าอกของเจ้ามันจะ….”ใช่ มันใหญ่ขึ้นและเต่งตึงมากขึ้นทุกครั้งที่เขาเห็น มิใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตแต่เขาพยายามหักห้ามใจเพราะเห็นว่านางตั้งครรภ์อยู่ แต่เมื่อถอดออกจนหมดเช่นนี้ มันยากจะหักห้ามใจเสียยิ่งนัก“อาาา ชิงเยี่ยน เหตุใดเจ้าช่าง….”“อื้ออ ท่านพี่…อ๊าาา หม่อมฉันร้อนมากเพคะ ช่วยด้วย”“ข้ามาแล้ว รอเดี๋ยวนะ…”ลิ้นและนิ้วของเขาทำงานประสานกันอย่างดีโดยที่นางไม่ต้องบอก เขารู้ว่านางชอบให้เขาทำสิ่งใดและสัมผัสนางตรงไหนถึงจะเรียกเสียงครางที่ร้องขอสัมผัสจากเขามากขึ้น ร่างนางเอนแอ่นขึ้นตามสัมผัสจากลิ้นหนานั้นเมื่อมันเริ่มล้วงเข้าไปจนสุดด้านในร่องชื้นจนเกิดเสียง“อ๊าา ไม่ไหวแล้วเพคะ อ๊าา…”น้ำบางอย่างไหลออกมาสมทบ
สี่เดือนผ่านไป / ตำหนักท่านอ๋อง“ชิงเยี่ยน!! ข้าบอกว่าให้เจ้าหยุดปักผ้าเสียที”“แต่หม่อมฉันยังปักชุดลูกยังไม่เสร็จนี่เพคะ”“ข้าบอกให้เก็บเดี๋ยวนี้ เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อนักหากยังไม่หยุดมือ…”“โอ๊ย!!”“นั่นอย่างไร เร็วเข้า ส่งผ้ามามาให้ข้า!!”ท่านอ๋องรีบคว้าผ้าและพุ่งเข้าไปหาพระชายาที่ถูกเข็มปักนิ้วมืออีกครั้ง“ข้าบอกแล้วเห็นหรือไม่ นิ้วเจ้าแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว พอเถอะนะชิงเยี่ยนถือว่าข้าขอร้อง เจ้าเจ็บถึงเพียงนี้…ข้าปวดใจนะ”“ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันสัญญาว่า…ผืนนี้จะเป็นชุดสุดท้าย…”“เจ้าบอกข้ามากี่ครั้งแล้ว เจ้าว่าลูกเราจะสวมหมดนั่นจริงๆน่ะหรือ เจ้าไม่เผื่อให้เขาได้โตบ้างเลยหรือ”ท่านอ๋องตรัสพลางให้นางหันไปดูชุดที่นางปักเสร็จและถูกพับเก็บเอาไว้เกือบสี่ตะกร้าใหญ่ๆ ด้านในนั้นมีทั้งชุดสวม หมวก ถุงมือถุงเท้าและรองเท้าสำหรับเด็กอีกหนึ่งตะกร้า ทั้งสี่ตะกร้านั้นล้วนเป็นฝีมือการตัดเย็บของนางทั้งสิ้น“แต่ว่า…”“หากเจ้ายังดื้อเช่นนี้ ข้าคงต้องให้คนนำสิ่งพวกนี้ทิ้งไปเสีย หากเจ้ายังมิฟังต่อไปผ้า เข็มและด้ายจะเป็นสิ่งต้องห้ามในตำหนักของพวกเรา”“ท่านพี่เพคะ ทำเช่นนั้นออกจะเกินไปเพคะ หม่อมฉันหยุดก็ได้เพ
“ท่านพี่เพคะ แต่นี่มัน….”“อย่าร้องไห้สิ จะเป็นแม่คนอยู่แล้วนะ”“แต่ว่า…”“ข้าไหวน่า อาการเช่นนี้เป็นกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะเป็นตลอดจนเจ้าคลอดเสียเมื่อไหร่กันเล่า”“เช่นนั้นตอนนี้พระองค์…”“อืมม พอได้กอดแล้วก็หอมเจ้าเช่นนี้ เหมือนกับว่าอาการเหล่านั้นจะเบาบางลงเลย”“งั้นหรือเพคะ เช่นนั้น….”“เจ้าก็กอดแล้วเข้ามาคลอเคลียข้าบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นนี้ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”“เพคะ”วันถัดมา“เอ่อ…ป้าเจา พวกเราบอกให้ท่านอ๋องเพลาๆลงบ้างดีหรือไม่ มิเช่นนั้นจะเสาะท้องเอานะเจ้าคะ”“อาการคนแพ้ท้องก็เป็นเช่นนี้ เจ้ากล้าเข้าไปทูลหรือไม่เล่าอู่ผิง”“ไม่เจ้าค่ะ แต่พระชายา…”“ท่านพี่เพคะ เอาแต่เสวยของหมักของดองกับผลไม้เชื่อมเช่นนี้มิได้นะเพคะ ดื่มน้ำแกงนี่หน่อยเพคะ”“ข้า…หยุดไม่ได้น่ะ เจ้าลองหน่อยหรือไม่”“ไม่เอาละเพคะ แค่เห็นก็เข็ดฟันแล้วเพคะ”“แต่ว่าข้าไม่นึกเลยนะว่ามันจะอร่อยมากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยลิ้มลองเลย”“อย่ากินมากเพคะ เอาแต่พอดี”“แต่พอกินของพวกนี้แล้วข้าก็ไม่คลื่นไส้อาเจียนอีกเลยนะ”“เฮ้อ…..อ้าวจางจื่อ มีสิ่งใดงั้นหรือ….เอ่อ เช่นนั้นข้า…”นางทำท่าจะลุกเมื่อเห็นว่าม
ความตกใจและความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นนับบัดนั้น ท่านอ๋องเอาแต่อาเจียนไม่หยุด จางจื่อสรุปได้ว่าท่านอ๋องคงเร่งขี่ม้าจากเฉินตูเพื่อกลับมาที่ซูโจวจึงทำให้พักผ่อนน้อย ส่วนชิงเยี่ยนเอาแต่โทษตัวเองเพราะคิดว่าท่านอ๋องคงใช้แรงหนักเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่ายจนถึงช่วงเย็น ป้าเจาเองก็คิดว่าอาหารที่ทำมามีปัญหาจนจงลี่ต้องเป็นผู้ให้คนไปตามหมอหลวงเข้ามาดูอาการท่านอ๋อง“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ทูลพระชายา…กระหม่อมคิดว่า….เอ่อชีพจรเต้นหนักแน่นมั่นคง ลมหายใจมิได้มีสิ่งผิดปกติ ร่างกายมิได้ถูกพิษ ทุกอย่างปกติดีแต่ว่าเพราะเหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้….”แม้แต่ท่านหมอก็มิอาจวินิจฉัยอาการแปลกประหลาดนี้ได้ ทั้งตำหนักพากันวุ่นวาย ท่านหมอทำได้เพียงระบุอาการว่าท่านอ๋องอาจจะเพลียสะสมจากการเดินทางและพักผ่อนน้อยจึงทำให้ปรับสภาพร่างกายยังไม่ดีพอจึงให้ต้มยาบำรุงให้ดื่ม แต่เมื่อสาวใช้นำยานั้นมาให้ ท่านอ๋องกลับเริ่มอาเจียนอีกครั้ง จนคราวนี้ท่านหมอถึงกับกุมขมับเพราะไม่สามารถวินิจฉัยได้“ท่านหมอเจ้าคะ…”“ท่านป้าแม่นม ข้าเป็นหมอมายี่สิบกว่าปียังไม่เคยพบเห็นอาการเช่นนี้มาก่อน สุขภาพภายนอกมิได้มีอันใดผิดปกติเลย เช่นนี้ข้าจะ..”“มิใช่เ
ท่านอ๋องคว้าร่างของพระชายาขึ้นมาอุ้มและพาเดินขึ้นไปที่ห้องบรรทมทันที เมื่อเขาวางร่างของพระชายาลงถึงเตียงทั้งคู่ก็แทบจะไม่ห่างกันแต่ละคนเริ่มสาละวนกับการดึงทึ้งชุดเสื้อผ้าที่เกะกะออก ปากของทั้งคู่แทบจะไม่ห่างกันจนถึงตอนนี้ เมื่อสองร่างไร้ซึ่งสิ่งปิดบังท่านอ๋องเองก็ไม่รั้งรอที่จะเข้าครอบครองนางด้วยลิ้นทันที“อื้ออ ท่านพี่….เบาหน่อยเพคะ”“เบางั้นหรือ เจ้าทำให้ข้าแทบบ้าเมื่อคืนผู้ใดปล่อยให้ข้านอนคนเดียว”“อ๊าา เดี๋ยวก่อน อ๊าา …”ไม่ทันที่นางจะห้ามแต่เขากลับสอดลิ้นเข้ามาในร่องกลีบชื้นของนางและเริ่มใช้มือบดขยี้ปลายยอดปทุมสีสดนั้นอย่างมันมือ ทั้งเร่งเร้าและร้อนเร่าดุจพยัคฆ์ที่หิวโหยมาแสนนาน ร่างของพระชายาสั่นเกร็งไปชั่วขณะเมื่อเขาเริ่มเร่งกระตุ้น เสียงครางที่ดังขึ้นทำเอาพระทัยท่านอ๋องแตกกระเจิง“อ๊าา…จุก อื้อ…อย่าเร็วนักเพคะ หม่อมฉัน อ๊าา …”เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ฟังคำร้องขอใดๆ อย่างที่เตือนนางเอาไว้เมื่อครู่ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อยๆของทั้งคู่และเสียงกล้ามเนื้อที่กระทบกันและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อทั้งสองจะถึงปลายทาง…..“พระองค์จะเกินไปแล้วนะเพคะ”“เจ้ายังมีแรงต่อว่าข้าอย