ท่านอ๋องมองหน้านางที่ยังเรียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับเย็นยะเยือกขึ้นอย่างน่าอึดอัดแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่เขาพบนางที่เมืองเหลียง นางมักจะทำให้เขาอึดอัดขึ้นมาจนน่าขนลุกได้เสมอโดยที่ตัวเขาก็ไม่ทราบสาเหตุ
“เยว่ซิน เจ้าคิดดีแล้วแน่หรือเอาเก็บไปคิดอีกหน่อยดีหรือไม่ การไปที่สำนักศึกษานั่นต้องไปถึงสี่ปี กว่าจะได้กลับลงมา”
“จะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกันหรอกเพคะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน เรื่องกำหนดการรบกวนเสด็จ…เอ่อ ท่านอ๋องให้คนนำส่งให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“หลันเยว่ซิน เหตุใดเจ้า…”
“ขอบพระทัยที่ทรงดูแลตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีนี้นะเพคะ”
“เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ข้าแค่นำเรื่องนี้มาหารือกับเจ้า แต่เหตุใดเจ้า....”
“ทูลลาเพคะ”
เยว่ซินเดินถอยออกมาและคำนับให้เขาเต็มพิธีการและเดินออกจากห้องอักษรไป นางคิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะตำหนักอ๋อง สำนักศึกษา หรือแม้กระทั่งข้างถนน ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง
เรือนพักของเยว่ซิน
“คุณหนู จะไปจริงๆหรือเจ้าคะ แล้ว…”
“แม่นม ท่านเองก็ชรามากแล้ว ท่านรอข้าอยู่นี่เถิดเจ้าค่ะ อีกไม่นานข้าก็กลับ ไม่ต้องติดตามข้าไปหรอกเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า…คุณหนูเจ้าคะ”
“เชื่อข้านะ”
วันส่งตัวหลันเย่วซิน
“ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าถึงสำนักศึกษาและนำจดหมายส่งตัวนี้ให้อาจารย์ที่นั่น เยว่ซิน ดูแลตัวเองด้วย”
ท่านอ๋องเดินเข้าไปเพื่อจะจับไหล่ของนาง แต่เยว่ ซินถอยออกมาพร้อมคำนับให้เขาอย่างเย็นชา จวินลู่หานรู้สึกราวกับว่าครั้งนี้เขาตัดสินใจผิดที่ส่งนางออกจากตำหนักไปยังสำนักศึกษา แต่มาถึงตอนนี้เขาคงเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้แล้ว
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันรบกวนฝากดูแลแม่นมเถียนจนกว่าหม่อมฉันจะกลับมาด้วยเพคะ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง แม่นมของเจ้าจะรออยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้ากลับมา”
นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นสิ่งยืนยันว่านางจะต้องกลับมายังตำหนักนี้อีกครั้งเพราะเขาต้องรั้งให้แม่นม เถียนอยู่รอนางที่นี่ ไม่ให้นางเดินทางไปกับหลันเยว่ซิน เขาไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็ทำไปแล้ว นางหันหลังเดินขึ้นรถม้าไป พร้อมกับเปิดหน้าต่างมาลาแม่นมพร้อมกับลาทุกคน ยกเว้น….ท่านอ๋องจวินลู่หาน
สำนักศึกษาป๋อเหวิน
เมื่อคนของตำหนักอ๋องส่งตัวคุณหนูหลันเยว่ ซินเรียบร้อยก็พากันลงเขาตามคำสั่งท่านอ๋อง ที่นั่นเยว่ซินมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนร่วมสำนักหลายๆคนและมีทั้งคนที่มาจากหลากหลายที่
“ฟู่หย่งเล่อ” บุตรชายแม่ทัพใหญ่ในเฉินโจวที่มาเรียนก่อนหน้านางหนึ่งปี นับเป็นศิษย์พี่ของนาง และ “ลี่หลานเฟิน” บุตรสาวคนเล็กของมหาบัณฑิตแห่งเฉินโจวที่มาหลังจากที่เยว่ซินอยู่ที่สำนักศึกษาได้สิบวัน เป็นเพียงสองคนที่นางสนิทในสำนักศึกษานี้เพราะทั้งสองอยู่ที่เฉินโจวเหมือนกัน
แม้ว่าในตอนนี้ไฟสงครามด้านล่างยังประทุอยู่เป็นระลอก ข่าวของสงครามทำให้สำนักศึกษาเริ่มไม่เป็นอันเรียนเต็มที่เพราะต้องให้นักเรียนเตรียมฝึกวิชาป้องกันตัวเป็นหลัก
พิธีปักปิ่นในวัยสิบเจ็ดที่แต่ละจวนจะส่งของขวัญมาให้้บุตรสาว แต่ละคนก็จะได้รับเหมือนๆกัน ยกเว้น …หลันเยว่ซิน
“นี่เยว่ซิน ท่านแม่ข้ารู้ว่าข้ามีเพื่อนสนิทที่แสนดีเช่นเจ้า นางจึงส่งปิ่นมาให้เจ้าด้วย เจ้ารับไปนะ”
“ขอบใจนะหลานเฟิน”
สองปีถัดมา
“อีกไม่นานจะได้ลงจากเขาแล้ว เฮ้อ คงคิดถึงที่นี่น่าดูเลยนะ”
“เจ้าอยากลงจากเขาหรือ”
“อยากสิ ข้างล่างนั่นยังมีอย่างอื่นให้ทำตั้งมากมาย อยู่บนนี้มาสี่ปี แม้ว่าจะได้กลับไปบ้านช่วงปิดพัก แต่เพราะข้างล่างนั่นมีสงคราม เราแทบจะไม่ได้ลงไปไหนเลย ตอนนี้เห็นว่าเสด็จอาของเจ้านำชัยชนะมาสู่เฉินโจวแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ”
“สงครามมีอะไรดี เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีพวกเรากี่คนที่ต้องลงเขาไปก่อนที่จะเรียนจบ”
เยว่ซินพูดได้ไม่ผิด ก่อนหน้านั้นเพื่อนนักเรียนบางคนก็ต้องลงจากเขาเพราะได้รับข่าวร้ายที่บ้าน และบางคนก็ไม่มีเงินส่งเสียต่อ
แม้ว่าอาจารย์จะบอกว่าเรื่องเงินนั้นไม่จำเป็น แต่ว่าพวกเขาก็ต้องกลับลงไปเพื่อทำงานหาเลี้ยงคนที่ยังเหลืออยู่จึงไม่สามารถอยู่ร่ำเรียนได้จนจบ
“เยว่ซิน แล้วเจ้าลงไปเจ้าอยากจะทำสิ่งใด”
“ข้า…”
“ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าต้องกลับไปที่ตำหนักอ๋องอยู่แล้วสินะ”
“ไม่ ข้าไม่อยากกลับไป ข้า…อยากอยู่ที่นี่”
“เยว่ซิน แต่เจ้าอยู่นี่มาเกือบสี่ปีโดยไม่ได้ลงจากเขาเลยนะ เจ้าไม่คิดถึงเสด็จอาเจ้าบ้างเลยหรือ”
“คิดถึง?? เหตุใดข้าต้องคิดถึงเขาด้วย”
“อ้าว ก็เขาคือเสด็จอาของเจ้า เป็นคนในครอบครัว เหตุสงครามที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะเป็นห่วงเขาเลยสักนิด หากข้าไม่รู้จักเจ้าดีกว่าคนอื่น คงคิดว่าเจ้าน่ะ ไม่มีความรู้สึกและใจดำเหลือเกิน”
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่ข้ามั่นใจว่าเสด็จอาจะนำชัยชนะกลับมาได้ต่างหาก เขาเก่งกาจมีวรยุทธ์สูงและยังเชี่ยวชาญการศึกเป็นอย่างดี ข้าเลยไม่ห่วงต่างหากเล่า”
“ข้านึกว่าเจ้ายังโกรธเสด็จอาของเจ้าที่ส่งเจ้ามาที่นี่ และยังไม่ส่งของขวัญมาให้เจ้าในพิธีปักปิ่น”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเสียหน่อย พิธีนี้ก็ไม่ได้สำคัญกับข้าขนาดนั้น ก็แค่บ่งบอกว่าต่อไปจะต้องวุ่นวายทำผมและเอาสิ่งนี้มาประดับก็เท่านั้น”
“เจ้านี่กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งเดินได้แล้วจริงๆ เสด็จอาเจ้าขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม เจ้าเองก็ขึ้นชื่อเรื่องเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่เหตุใดบุรุษในสำนักเอาแต่ชอบเจ้าคนเดียวกันนะ”
“เจ้าอยากให้คนมองเจ้าราวกับเป็นตัวประหลาดเหมือนที่ข้าถูกมองมาสามสี่ปีนี้นะหรือ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ดูเจ้าสิ ไม่เอาละไม่พูดดีกว่า อย่างไรแล้วข้าก็ต้องฉุดเจ้าลงจากเขาไปกับข้าจนได้”
“ฉุดเลยหรือ พวกเจ้าจะตั้งสำนักใหม่หรืออย่างไร เหตุใดต้องฉุดเยว่ซินด้วย”
“เจ้าคนปากเสีย ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“อ้าว ข้าก็ถามดีๆ เหตุใดมาว่าข้าเล่า นี่ ข้ามีของขวัญให้พวกเจ้า”
“ข้าไม่อยากได้”
“งั้นข้าก็ไม่ให้”
“เจ้า!!…”
ฟู่หย่งเล่อและลี่หลานเฟินมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแบบนี้เสมอ ทั้งๆที่เยว่ซินก็พอดูออกว่าหลานเฟินชื่นชอบฟู่หย่งเล่อ แต่ว่านางกลับเอาแต่ทะเลาะกับเขาทุกครั้งที่พบหน้ากัน ครั้งนี้เขายื่นเข็มกลัดไม้สองอันมาให้พวกนาง
“เข็มกลัด!!”
“ใช่ วันนี้เป็นวันเรียนจบของพวกเจ้า ถือว่าเป็นของขวัญจากศิษย์พี่อย่างข้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะศิษย์พี่หย่งเล่อ”
“เยว่ซินเจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าขนาดนั้น ดูหลานเฟินสิ ไม่มีขอบใจข้าสักคำ นี่ถ้าไม่บอกว่านางเป็นบุตรมาหาบัณฑิต ข้าคงไม่เชื่อ”
“ฟู่หย่งเล่อ ข้าจะจัดการเจ้า คนปากเสีย”
พวกเขาวิ่งไล่กันออกไปแล้ว เยว่ซินมองลงไปเบื้องล่างที่อีกไม่กี่วันนางจะต้องกลับไป นางไม่พบท่านอ๋องมาสีปีเต็ม ข่าวว่าเขากรำศึกอยู่นอกเมืองเฉินโจวหลังจากที่นางจากมาได้สองปี และไม่ค่อยได้กลับเมืองเฉินโจวเช่นกัน
ตั้งแต่ส่งนางขึ้นเขามา เขาไม่เคยสักครั้งที่จะมาเยี่ยมนางเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ และไม่เคยส่งแม้แต่จดหมายมาสักครั้ง ข่าวการศึกเยว่ซินก็อาศัยฟังจากเหล่าอาจารย์ที่มาเล่าให้ฟัง ครั้งนี้หากพบกันอีกครา ก็คงไม่ต่างจากเดิมกระมัง
“เสด็จอา….”
พิธีจบการศึกษาผ่านไปอย่างเต็มรูปแบบแต่ก็ไม่ได้มีความคึกคักเนื่องจากอยู่ในภาวะช่วงสงคราม แต่ละคนร่ำลาอาจารย์และทยอยลงเขาส่วนทางเยว่ซินนั้น ตำหนักอ๋องส่งจดหมายมาให้อาจารย์ที่สำนักและกำหนดวันที่จะมารับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว “เยว่ซิน น่าเสียดายที่เจ้าต้องกลับไปกับรถม้าของตำหนัก ข้าอยากลงเขาไปกับเจ้า”“เอาไว้พบกันที่เฉินโจวก็ได้ ข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆนะ”“เจ้าพูดจริงนะ อย่าลืมเสียละ”“ไม่ลืมแน่นอน รีบเก็บของเถอะ”“เฮ้อ ต้องจากไปแล้วจริงๆ คงคิดถึงที่นี่ไม่น้อยเลยนะ”“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าพึ่งมาที่นี่เจ้าร้องไห้อยู่เดือนหนึ่งเต็มๆเพราะคิดถึงบ้าน”“ก็ตอนนั้นข้ายังเด็ก ดูสิตอนนี้พวกเราโตแล้ว ดูเจ้าสิเยว่ซิน เจ้าไม่เคยส่งกระจกบ้างหรือว่าเจ้างดงามขนาดไหน สตรีอันดับหนึ่งของเฉินโจวคงต้องสะเทือนบ้างละหากเจ้ากลับไปครานี้”“สตรีอันดับหนึ่ง คือสิ่งใดกันชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน”“ตายละเยว่ซิน เจ้าคงไม่คิดจะบวชเป็นแม่ชีหรอกนะ ดูพูดเข้าสิ เหตุใดเจ้าพูดแต่ละคำราวกับไม่สนใจทางโลกแล้วเช่นนี้เล่า ไม่เอาๆ หลังจากลงเขาไปแล้วเจ้าต้องมาหาข้า แล้วเราจะไปเที่ยวข้างล่างนั่นให้สะใจไปเลย
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อหลันเยว่ซินพูดจบ มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นโดยรอบแม้แต่ท่านอ๋องและจงลี่เองก็อดขำไม่ได้ คำนี้ดูจะเหมาะกับชายคนนี้เสียจริงหวังเสิ่นอี้ไม่พอใจและรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เขาเงื้อมือขึ้นมาจะตบนาง เยว่ซินเองก็เตรียมอาวุธลับในมือแล้วเช่นกัน แต่พอเขายกมือขึ้นมา ท่านอ๋องดึงปลอกดาบของจงลี่พุ่งไปที่มือของหวังเสิ่นอี้ แรงนั้นทำให้แขนเขาพลิกไปทันที“โอ๊ย ใครลอบโจมตีข้า นี่เจ้า!! ฮึ้ย….”หวังเสิ่นอี้กำหมัดแน่นและพุ่งเข้าใส่หลันเยว่ซินแต่นางหลบทันพร้อมกับใช้ขาขวางทางเขาเอาไว้พร้อมกับดึงสายเสื้อเขาออกมาและรัดคอเขาและดึงไปรอบๆถนนและฟาดไปที่ต้นไม้อีกฝั่งหนึ่งทันทีพร้อมความสะใจของผู้ที่พบเห็น“ฝีมือไม่เลวนี่”“นี่เจ้า…เจ้า”“ทำไม คุณชายอยากจะลองอีกสักท่าหรือไม่”“เจ้า…หากว่าเจ้าไม่ยั่วยวนข้า ข้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้ามันหญิงแพศยา”“นี่เจ้า!!…..”“ผลัก!!..”หลันเยว่ซินไม่ทันได้ลงมือ ฝ่าเท้าท่านอ๋องพุ่งไปที่ใบหน้าของหวังเสิ่นอี้เต็มแรง ใบหน้าของเขาตอนนี้มีรอยเท้าของคนที่ส่งไปให้เต็มหน้า เลือดที่ออกจากทั้งปากและจมูกนั่นทำให้เขาสลบลงไปทันที“ขอบ…”“เขาพูดเรื่องจริงหรือไม่ที่แม่นางไปยั่วย
หญิงสาวได้แต่เดินไปโดยไม่ได้ตอบเขา เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบ ผู้เป็นเสด็จอาจึงได้รั้งแขนนั้นเอาไว้ บัดนี้ดูเหมือนนางจะไม่ใช่เด็กสาวในวัยเยาว์ที่เขารับมาจากเมืองเหลียงอีกต่อไป หากแต่ตอนนี้นางเติบโตเป็นสตรีเต็มวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ตกลงว่าข้าจะได้กิน…เกี๊ยวที่เจ้าทำใช่หรือไม่”เย่วซินหันไปมองหน้าบุรุษหนุ่มที่บัดนี้มองนางด้วยสายตาที่ไม่เหมือนกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรกับเขาดี ก่อนหน้านี้เห็นเขาเป็นเพียงท่านอาที่รับดูแลนางจากคนบ้านแตกแต่บัดนี้ดูเหมือนการมองพระพักตร์ของท่านอ๋องนั้นจะยากยิ่งกว่าเดิม หัวใจเจ้ากรรมนี้ก็เช่นกัน มันเต้นรัวไม่หยุดอย่างที่นางควบคุมไม่ได้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน“นั่น…ย่อมแน่นอนเพคะ หม่อมฉันตั้งใจ…จะทำให้พระองค์เสวยนี่เพคะ”“ได้ เช่นนั้นก็รีบกลับไปทำเถิด ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว ออกศึกครั้งนี้นานเหลือเกิน รสชาติอาหารที่ทำสุกใหม่ๆเป็นเช่นไรก็แทบจะจำไม่ได้แล้ว”“พระองค์คงลำบากมากเลยสินะเพคะ”“แล้วเจ้าเล่าเยว่ซิน ไปอยู่ที่สำนักศึกษาเสียตั้งนาน เจ้า….ลำบากหรือไม่”“ไม่เลยเพคะ
“หม่อมฉัน…”“อย่าดื้อ เจ้าก็ยังเป็นเจ้า ไม่ค่อยเชื่อฟังข้าอยู่ร่ำไป มานี่”เขาจับแขนนางและพาเดินเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อทำแผลให้ กล่องยาถูกนำมาวางโดยจงลี่ที่รู้หน้าที่ เขาจึงได้แกะผ้าที่เขาผูกเอาไว้ออกและเริ่มทาวยาให้นาง ใบหน้าน้อยๆนั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย“เจ็บหรือ ข้าทำแรงไปงั้นหรือ”“ปละ…เปล่าเพคะ หม่อมฉันทนได้”“ท่านอ๋องเพคะ คุณหนู เกี๊ยวพร้อมแล้วเพคะ”“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ เจ้าลุกไหวหรือไม่”“ไหวเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่มีดบาดนิดเดียวเองนะเพคะเสด็จอา”“อ้อ เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”เยว่ซินทำหน้าไม่ถูก ปกติแล้วก่อนหน้านี้เสด็จอาเคยเป็นเช่นนี้กับนางด้วยงั้นหรือ แต่นั่นจะนับเป็นอะไรได้ นางมาอาศัยที่ตำหนักอ๋องเพียงหนึ่งปีก็ถูกส่งไปที่สำนักศึกษา และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ท่านอ๋องไม่ค่อยว่างจากราชกิจในวังเลย เวลาพบหน้ากันก็พูดคุยและถกแค่การบ้านที่อาจารย์ที่เขาจัดมาสอนนางเท่านั้น เรื่องอื่นๆแทบจะไม่ได้คุยกันเลย“นี่คือเกี๊ยวที่เจ้าพูดสินะ ข้ากินได้เลยใช่หรือไม่”“เพคะ เสด็จอาลองชิมดูเพคะ”เขาตักเกี๊ยวที่พอดีคำขึ้นมาพร้อมกับชิมตามที่นางบอก สัมผัสของแผ่นเกี๊ยวที่พอดีคำเข้ากับน้ำต้มกระดูกหมอที่เคี่ยวจน
ท่านอ๋องจิบชาและลอบมองนางที่ทำสีหน้าไม่ใครสู้ดีนักอย่างนึกสนใจพร้อมกับวางถ้วยชาลง“ใช่ เยว่ซินของข้ากลับมาได้เดือนกว่าๆแล้ว น่าแปลกนะที่เจ้าไม่รู้ ทั้งๆที่ข้าพึ่งก้าวเข้าตำหนักไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้ากลับมาถึงหน้าตำหนักได้อย่างน่าแปลก”ซ่งเหมยลี่ทำหน้าตาเลิกลักพร้อมกับยิ้มด้วยท่าทางที่ฝืนเต็มที “เยว่ซินของข้า” งั้นหรือ นี่เขาลืมไปหรืออย่างไรว่านางมิได้เป็นอะไรกับเขาเสียหน่อย แค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยงจากเมืองเหลียงเท่านั้นเอง“ต้องขอประทานอภัย ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปถือศีลที่วัดและภาวนาขอให้พระองค์ออกรบและนำชัยชนะกลับมา พึ่งกลับมาถึงจวนไม่นานนี่เอง จึง…ไม่ทราบข่าวเรื่องที่คุณหนูหลันเยว่ซินกลับมาจึงมิได้มาเยี่ยมเพคะ”“ไม่จำเป็นหรอก เยว่ซินชอบอยู่อย่างสงบ ไม่ค่อยชอบรับแขกแปลกหน้าและไม่คุ้นเคย แต่ก็ต้องขอบใจเจ้าสำหรับน้ำแกงนี้ อ้อ อีกไม่กี่วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนาง เช่นไรแล้วข้าจะส่งเทียบเชิญไปที่จวนสกุลซ่งด้วย”ซ่งเหมยลี่นั่งบิดผ้าเช็ดหน้าอย่างอดกลั้น ถึงกับจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับนางเชียวหรือ“แต่ว่าเมื่อครู่ ท่านอ๋องพึ่งตรัสว่า…ไม่ควรจัดงานเลี้ยงที่เอิกเกริก นี่จะไม่เป็นการ…สิ้
จมูกเขาแดงขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าวซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขาแช่น้ำนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ขึ้นๆลงๆอยู่ด้านหลังนั่นจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ด้านนอกแล้วจึงขึ้นมาและพบว่าจมูกเริ่มจะไม่ได้กลิ่นอะไรเพราะเขาสูดไอน้ำในห้องน้ำไปมากนั่นเองห้องบรรทม“เสด็จอาเพคะ นี่น้ำขิงเพคะ ดื่มเสียก่อนเถิดเพคะ”“อืม ขอบใจเจ้ามาก เยว่ซิน มานั่งนี่สิ”เยว่ซินเดินเข้าไปที่โต๊ะทรงอักษรของท่านอ๋องที่บัดนี้เขาสวมเพียงเสื้อนอนและมีชุดคลุมด้านนอกอยู่ “มีสิ่งใดหรือเพคะ”“รายชื่อแขกที่จะเชิญมางานเลี้ยงอีกห้าวันข้างหน้า เจ้าอยากจะเชิญผู้ใดเพิ่มอีกหรือไม่”“หม่อมฉันมีสหายในเมืองเฉินโจวนี้เพียงสองคนเพคะ สามารถเชิญพวกเขามาด้วยได้หรือไม่เพคะ”“ย่อมได้อยู่แล้ว ผู้ใดกัน”ท่านอ๋องถามพลางยกน้ำขิงที่นางต้มนั้นขึ้นมาจิบ“ก็ลี่หลานเฟิน และศิษย์พี่ฟู่หย่งเล่อเพคะ”“แค่ก แค่ก”ท่านอ๋องสำลักน้ำขิงที่พึ่งดื่มเข้าไปในทันทีที่นางเอ่ยถึงบุรุษหนุ่มที่เรียนสำนักศึกษาเดียวกัน แต่บัดนี้เยว่ ซินตกใจและหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากให้เขา“แย่จริง น้ำร้อนเกินไปหรือเพคะ หม่อมฉันคงไม่ได้เตือนเสด็จอา…ก่อน….เอ่อ…”ใบหน้านางอยู่ใกล้เขาเพียงนิดเดียวเมื่อรีบพุ่
ท่านอ๋องรีบขยับตัวเพื่อให้นางได้จัดที่นอนของตัวเอง เขารีบหันไปมองหลันเยว่ซินที่เดินเอาหมอนและผ้าห่มในหีบที่ตั้งวางไว้เดินมา แต่ช่วงที่นางหันมา ท่านอ๋องเจ้าเล่ห์ก็พยายามทำสีหน้าเหมือนป่วยและไอถี่ๆพอเป็นพิธี“เสด็จอาแน่ใจนะเพคะว่าไม่ต้องการดื่มยาลดไข้ก่อนจะบรรทม”“ไม่ละ คงเพราะเดินทางมาไกลและอากาศเปลี่ยนกะทันหัน ก็เลยปรับตัวไม่ทัน เจ้าคงไม่รังเกียจคนแก่อย่างข้าหรอกกระมังเยว่ซิน”“เสด็จกล่าวเกินไปแล้วเพคะ อายุเพียงเท่านี้จะเรียกว่าแก่ได้เช่นไรเพคะ”“นั่นสิๆ ใช่ๆ ข้ากับเจ้าอายุห่างกันเพียงแค่แปดปีเอง เจ้าว่าหรือไม่ว่านี่มันช่าง….”“หม่อมฉันจะดับไฟแล้วนะเพคะ”“อ้อ….เช่นนั้นข้าจะนอนแล้ว”หลันเยว่ซินลุกขึ้นไปดับไฟพร้อมกับใช้ฝาครอบเพื่อมิให้มีควันออกมารบกวนท่านอ๋อง นางถอดชุดคลุมด้านนอกออกแล้วเดินมาที่เตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆเขาโดยมีหมอนข้างกั้นเอาไว้ระหว่างทั้งสอง ในตอนเด็กที่นางมาที่นี่ใหม่ๆ นางก็มักจะขอมานอนกับเขาเพราะฝันร้าย แม่นมเถียนจะพานางมาก่อนที่ท่านอ๋องจะบรรทม เขาก็จะอนุญาตให้นางนอนด้วยเพราะเห็นว่านางเป็นน้องสาว แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขา…ไม่ได้คิดกับนางแค่น้องสาวเหมือนเมื
“น้องเล็ก เจ้าอย่าพูดเหลวไหล ข้าก็แค่…”“เอาล่ะๆไม่พูดแล้ว เราไปคุยกันที่สวนเถอะ พี่ใหญ่ท่านจะไปที่ใดก็รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”“ข้า…วันนี้ข้าว่างแล้ว หากว่าคุณหนูหลันไม่รังเกียจ ให้พวกข้ารับรองท่านด้วยชาและของว่างดีๆกว่านี้เถิด”“ขอบคุณคุณชายลี่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเชิญคุณหนูทางนี้เลย”เยว่ซินเดินตามพวกเขาไปที่สวนด้านหลังพร้อมกับหลานเฟินที่กระทุ้งเอวพี่ใหญ่ของตัวเอง“พี่ใหญ่ ข้ารู้นะว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่”“น้องเล็กอย่าพูดเหลวไหล เจ้ารู้หรือไม่ว่าสหายเจ้าผู้นี้คือใคร หากรับรองไม่ดีจะเกิดข้อครหากับจวนมหาบัณฑิต ชื่อเสียงของท่านพ่อคงฝากเอาไว้ที่เจ้าไม่ได้”“พี่ใหญ่ อย่าทำเป็นเอาชื่อเสียงท่านพ่อมาอ้าง ข้ารู้ว่าท่านแอบมองสหายข้าอยู่ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่านางน่ะ เป็นที่สนใจของบุรุษอื่นๆมากมาย คู่แข่งของท่าน ท้ายแถวคงอยู่ประตูเมืองเฉินโจวโน่นเลยล่ะ”“เพราะข้ามีเจ้าอย่างไรเล่า จึงไม่จำเป็นต้องไปต่อแถว”“ท่านมันร้ายกาจเกินไปแล้ว”“รีบพานางไปนั่งเถอะ ข้าจะไปบอกเด็กให้นำชาหลงจิ่งและทำของว่างมาให้”“ข้าคิดค่าลัดแถวของท่านแพงแน่ๆ”“ข้าจะจ่ายค่าชุดใหม่ให้เจ้าพร้อมเครื่องประดับสี่ชุด ว่าอย่างไร”“เจ้าค่ะ ได้เลยแ
เมี่ยวเข่ออ้ายนิ่งไป นางรู้สึกตกใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง ลี่หยางจินผู้นั้น คนที่เอาแต่พูดหลักการมากมาย บัณฑิตที่พูดแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ บอกรักนางงั้นหรือ นางตกใจอีกครั้งเมื่อเขากระชับกอดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่วางที่ไหล่ของนาง“เข่ออ้าย ข้ารักท่านจริงๆ เรื่องนี้มิได้โกหก แม้ว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้จะร้ายกาจ แต่ที่พูดเรื่องเจ้ากับหย่งเล่อ เพราะว่าข้า…หึงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้กับบุรุษอื่น”เข่ออ้ายทำตัวไม่ถูก ลี่หยางจินผู้นั้น บัณฑิตน่ารำคาญนั่นบอกว่ากำลังหึงนางงั้นหรือ นี่เขาป่วยจนเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่“นี่ท่าน เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”“เรื่องที่ข้าป่วยเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องความรู้สึกของข้าเป็นความจริง เจ้าอย่าผลักใสข้าอีกเลยนะเข่ออ้าย”“นี่พวกท่าน…รวมหัวกันหลอกข้างั้นหรือ”“มันจำเป็น หากว่าครั้งนี้ไม่อาจคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว ดังนั้น…”“ดังนั้นพวกท่านจึงใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับความรู้สึกข้า มาหลอกข้า ท่านมัน…อุ๊บ…อื้มมม”ลี่หยางจินผลักนางลงที่เตียงและจูบนางทันทีเพื่อให้นางหยุดโมโห หากว่าเขาปล่อยนางไป ให้พบนางอีกครั้งคงยากแล้ว แผนแรกพูดไปแล้ว เหลือแค่แผนที
วังหลวงแคว้นฮั่วซู“องค์หญิง เอ่อ…กระหม่อม…”ลี่หยางจินเดินตามเมี่ยวเข่ออ้ายเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาทและจะเดินกลับไปยังตำหนัก ตั้งแต่ที่ทุ่งหญ้าเมื่อวานนี้พอกลับมาที่วังหลวง พวกเขาก็ไม่พบนางอีกเลย….“ท่านทูตเจ้าคะ องค์หญิงให้ข้าน้อยเรียนว่าวันนี้นางไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากรับแขกเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านทูตกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”“แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ ท่านไปหาเข่ออ้ายมาอีกแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่รอทำตามแผนการของข้าก่อนเล่าเจ้าคะ”“แต่เวลาอีกแค่สองวัน ข้าเกรงว่านางจะไม่ให้โอกาสข้าอีกแล้ว”“เฮ้อ….เช่นนี้แผนของพวกข้าก็ล่มหมดสิเจ้าคะ”“แผน แผนอันใดกัน”“เช่นนี้นะเพคะ…..”ตำหนักองค์หญิง“พี่เยว่ซิน พี่หลานเฟิน พวกท่านมาแล้ว”“เข่ออ้าย เหตุใดเจ้าดูซูบเช่นนี้เล่า เจ้า…อดอาหารงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะพี่เยว่ซิน ข้าเพียงแต่….”“อดนอน…นี่เข่ออ้าย เจ้าจะป่วยอีกคนไม่ได้นะ ให้พี่จอมอ่อนแอของข้าป่วยแค่คนเดียวก็พอ อุ่ย…”“หลานเฟิน ไหนเจ้ารับปากพี่ลี่แล้วอย่างไรว่าจะไม่…”เข่ออ้ายตกใจเมื่อได้ยินว่าลี่หยางจินล้มป่วย“เกิดสิ่งใดขึ้น พี่หยางจินป่วยงั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย”"เข่ออ้ายเจ้าใ
ลี่หยางจินยืนเฝ้ามองที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่านั้นเป็นเวลาเกือบสองเค่อ เมื่อมองออกไปอีกทีก็เห็นว่าองค์หญิงขี่ม้ากลับมาพร้อมกับม้าอีกตัว น่าจะเป็นม้าของฟู่หย่งเล่อ แต่ไม่เห็นอีกสองคน “องค์หญิง แล้ว…”“ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ฟู่ไม่หลงทางหรอก”“แต่ว่าหย่งเล่อไม่เคยมาที่นี่”“ข้าพาเขามาขี่ม้าสำรวจเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าจะมาหาที่ให้พี่หลานเฟินหัดขี่ม้า”“องค์หญิงเสด็จมากับเขาตามลำพังงั้นหรือ!!”เข่ออ้ายหันไปมองเขาอย่างนึกตกใจ เมื่อนางลงจากม้าและดื่มน้ำพักเหนื่อย เขาเดินตรงมาถามนางอย่างใคร่รู้จนนางเริ่มตกใจ“ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็แค่พาเขามาสำรวจทุ่งหญ้าเท่านั้น”“แต่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง เหตุใดท่าน…อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย นี่ท่านกล้าพาเขาออกมาสองต่อสองในที่เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนสตรี….”“พอที!!”“เลิกเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีในดวงใจของท่าน ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเรื่องที่ข้าจะไปไหนกับผู้ใดก็มิใช่กงการอะไรของท่าน ขอตัวก่อน”“เดี๋ยว องค์หญิง เหตุใดท่านออกมากับคุณชายฟู่ กระหม่อมจึงไม่ทราบเรื่องนี้”เขาเอื้อมมือไปจับนางไว้พร้อมกับดึงเข้ามาถาม เมี่ยวเข่ออ้ายตกใจเมื่อเขาดึง
ฟู่หย่งเล่อและหลานเฟินกลับมายังที่พักม้า เข่ออ้ายและหยางจินรอพวกเขาอยู่ที่นั่น องค์หญิงนั้นนั่งอยู่ห่างจากหยางจินคนละทางเมื่อสาวใช้ตะโกนบอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว“องค์หญิงเพคะ แม่นางกับท่านรองแม่ทัพมาถึงแล้วเพคะ”เข่ออ้ายรีบวิ่งไปที่ม้าของหย่งเล่อเพื่อรอพวกเขา หยางจินที่ยืนมองนางอยู่กำลังจะพูด แต่เข่ออ้ายหันมามองเขาและเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งของม้าเมื่อหลานเฟินถูกอุ้มลงมาจากหลังม้าแต่นางเหมือนกับเดินไม่ไหวจนหย่งเล่อตัดสินใจอุ้มนางเดินมาหาพวกเขา“พี่หลานเฟิน เหตุใดเป็นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”“เข่ออ้าย คือว่าข้า…”หลานเฟินนั้นไม่กล้าตอบ ใครจะกล้าพูดว่าฟู่หย่งเล่อรังแกนางจนนางเดินไม่ไหวจนเขาต้องอุ้มนางนั่งม้ามาด้วยกันเช่นนี้ แต่ฟู่หย่งเล่อนั้นเก็บอาการได้ดีกว่านางมากนัก เขาเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา“นางตกม้าน่ะ ข้าไปช่วยเอาไว้ทันแต่ขานางยังเจ็บอยู่ ช้าไปมากเพราะมัวแต่เรียกและตามหาม้าอยู่” (ม้าบอกโบ้ยความผิดมาที่ตรูเฉยเลย พวกเอ็งนั่นแหละ)“เช่นนั้น ท่านไปนั่งรถม้าดีหรือไม่”“ดีเหมือนกัน”“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หลานเฟินอยากจะขี่ม้า ให้กระหม่อมนั่งไปกับนางจะได้ช่วยสอนไปด้วย ไม่ต้องห่วงนะพี่ลี่”“เอ่อ น้
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร
สิบวันถัดมาพิธีอภิเษกท่านอ๋องและหลันเยว่ซินถูกจัดขึ้นหลังจากที่จัดการเรื่องกบฏซ่งเสวียนและลงโทษขุนนางที่เป็นผู้ร่วมมือซึ่งถูกจับมาได้หมด ทั้งหมดให้การรับสารภาพ แต่ก็ถูกปลดยศขุนนางและลงโทษเนรเทศออกจากเฉินโจว“พระชายาช่างงดงามยิ่งนัก”“ข้าเคยพบนางครั้งที่มาเดินตลาด ครั้งนั้นยังจ้องมองอยู่เลยแต่มิกล้าถามว่าเป็นบุตรสาวจวนใด ทั้งหน้าตาและผิวพรรณช่างแตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเหลือเกิน”“ช่างเหมาะสมกับท่านอ๋องยิ่งนัก”หลังพิธีอภิเษกที่ถูกจัดขึ้นที่ท้องพระโรงแล้ว ท่านอ๋องและพระชายาก็เดินออกมาพบปะกับประชาชนที่ระเบียงชั้นสามของวังหน้า ทั้งคู่ในชุดอภิเษกสีแดงสดยืนโบกมือให้กับประชาชนด้านล่าง“พระชายา วันนี้เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เพคะ เพียงแค่รอยยิ้มของทุกคนด้านล่างนั้นก็คุ้มค่าเพียงพอแล้วเพคะ”“ไปกันเถอะ เราต้องไปไหว้บรรพบุรุษและทำพิธีจารึกนามของพระชายาอีก”“เพคะ”ภารกิจหลายอย่างทั้งพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่งตั้งพระชายาและจารึกชื่อในศาลบรรพชนสกุลจวินอ๋องผ่านไปด้วยดี จนเมื่อถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องส่งตัวห้องส่งตัว“หลันเยว่ซิน ในที่สุดข้าก็ทิ้งฐานะเสด็จอาได้อย่างหมดสิ้นในวันนี้เอง”“ไม่คิดว่าพระองค์จะอย
จวินลู่หานถามชุนถง สาวใช้คนสนิทของเยว่ซินเมื่อเห็นนางเดินออกมาจากห้องของเยว่ซิน“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูไปอาบน้ำเพคะ”“อ่อ งั้นหรือ เข้าใจแล้วเจ้าไปเถอะ”“เพคะ”เขาเดินตามเยว่ซินเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที เมื่อเข้ามาก็เห็นว่านางนั่งพิงของสระอยู่ เขาจึงได้ค่อยๆเดินลงไปแช่น้ำกับนางทันที เมื่อลงไปแล้ว นางกลับไม่มีท่าทีตกใจหรือกล่าวว่าเขา อันที่จริง นางไม่พูดเลยต่างหาก“เยว่ซิน …เจ้ามาอาบน้ำนานแล้วงั้นหรือ”“…..”เยว่ซินมิได้ตอบเขานางหันข้างให้ท่านอ๋องเล็กน้อยแต่มิได้หนีไปที่ใด เขาจึงเดินไปอีกทางเพื่อดักนางเอาไว้“เยว่ซิน เหตุใดไม่ตอบข้า เจ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ”นางเดินและเตรียมจะขึ้นเมื่อเขาดึงแขนนางเอาไว้ได้ทัน“เดี๋ยวสิอย่าพึ่งไป เจ้า….หากว่าเจ้าโกรธข้าจะด่าข้าก็ได้ หรือตีข้าก็ได้ แต่อย่าเดินหนีแล้วไม่คุยกับข้าเช่นนี้”หลันเยว่ซินหันไปมองท่านอ๋องแวบนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เรียบไร้ความรู้สึก“รีบอาบแล้วตามขึ้นมา”“เยว่ซิน…”นางสลัดมือเขาออกและเดินขึ้นไปสวมเสื้อคลุมและเดินออกไปทันที ทิ้งให้ท่านอ๋องที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทีที่เย็นชานั้น เขาไม่เคยง้อสตรีที่มีอาการเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าต
มีดปลายแหลมซึ่งเป็นอาวุธลับของแคว้นอวิ๋น ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ซึ่งอาวุธนี้มีเพียงคนของแคว้นอวิ๋นเท่านั้นที่มีใช้เพราะพวกเขาทำขึ้นมาเอง ทั้งร้ายแรงและคมดุจกระบี่และยังอาบยาพิษร้ายแรงอีกด้วย ซ่งเหมยลี่พุ่งตัวเข้าไปบังท่านอ๋องไว้ พร้อมกับมีดสั้นสีเงินด้านหลังที่พึ่งปักไปที่กลางหลังของซ่งเสวียน“เยว่ซิน!!”“แม่นางซ่ง!!”ซ่งเหมยลี่ใช้ตัวบังท่านอ๋องไว้ ครานี้นางได้ปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ตามแผนการที่บิดานางวางไว้เสียทีในที่สุด แต่อาวุธที่ปักที่อกของนางกลับเป็นมีดที่พ่อนางซัดใส่เองกับมือ“เหมย…เหมยลี่ ทำไม!!”ร่างของนางล้มลงพร้อมกับบาดแผลจากเลือดสีแดงสด เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะยาพิษที่อาบเอาไว้ที่มีด ท่านอ๋องรับซ่งเหมยลี่เอาไว้ในอ้อมแขน ซ่งเสวียนถูกฟู่หย่งเล่อจับตัวเอาไว้ แต่เขาเองก็กำลังหายใจรวยรินอยู่เช่นกันเพราะมีดของหลันเยว่ซินที่พุ่งมาปักกลางหลังของเขา“ท่านฆ่าพ่อข้าสินะ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบ้านแตก หากมิใช่การกระทำของท่านในครั้งนั้น วันนี้ยังกล้าลอบสังหารท่านอ๋อง ท่านคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้ท่านทำเช่นนั้นหรือ!!”“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ นึกไม่ถึง….ว่าข้าจะถูกบุตรของศัตรูฆ่าเอาได้ เดิมทีคิดว่าจะตายเพร