ท่านอ๋องมองหน้านางที่ยังเรียบสงบ แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับเย็นยะเยือกขึ้นอย่างน่าอึดอัดแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่เขาพบนางที่เมืองเหลียง นางมักจะทำให้เขาอึดอัดขึ้นมาจนน่าขนลุกได้เสมอโดยที่ตัวเขาก็ไม่ทราบสาเหตุ
“เยว่ซิน เจ้าคิดดีแล้วแน่หรือเอาเก็บไปคิดอีกหน่อยดีหรือไม่ การไปที่สำนักศึกษานั่นต้องไปถึงสี่ปี กว่าจะได้กลับลงมา”
“จะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกันหรอกเพคะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน เรื่องกำหนดการรบกวนเสด็จ…เอ่อ ท่านอ๋องให้คนนำส่งให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“หลันเยว่ซิน เหตุใดเจ้า…”
“ขอบพระทัยที่ทรงดูแลตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีนี้นะเพคะ”
“เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ข้าแค่นำเรื่องนี้มาหารือกับเจ้า แต่เหตุใดเจ้า....”
“ทูลลาเพคะ”
เยว่ซินเดินถอยออกมาและคำนับให้เขาเต็มพิธีการและเดินออกจากห้องอักษรไป นางคิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะตำหนักอ๋อง สำนักศึกษา หรือแม้กระทั่งข้างถนน ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง
เรือนพักของเยว่ซิน
“คุณหนู จะไปจริงๆหรือเจ้าคะ แล้ว…”
“แม่นม ท่านเองก็ชรามากแล้ว ท่านรอข้าอยู่นี่เถิดเจ้าค่ะ อีกไม่นานข้าก็กลับ ไม่ต้องติดตามข้าไปหรอกเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า…คุณหนูเจ้าคะ”
“เชื่อข้านะ”
วันส่งตัวหลันเย่วซิน
“ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าถึงสำนักศึกษาและนำจดหมายส่งตัวนี้ให้อาจารย์ที่นั่น เยว่ซิน ดูแลตัวเองด้วย”
ท่านอ๋องเดินเข้าไปเพื่อจะจับไหล่ของนาง แต่เยว่ ซินถอยออกมาพร้อมคำนับให้เขาอย่างเย็นชา จวินลู่หานรู้สึกราวกับว่าครั้งนี้เขาตัดสินใจผิดที่ส่งนางออกจากตำหนักไปยังสำนักศึกษา แต่มาถึงตอนนี้เขาคงเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้แล้ว
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันรบกวนฝากดูแลแม่นมเถียนจนกว่าหม่อมฉันจะกลับมาด้วยเพคะ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง แม่นมของเจ้าจะรออยู่ที่นี่เพื่อรอเจ้ากลับมา”
นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นสิ่งยืนยันว่านางจะต้องกลับมายังตำหนักนี้อีกครั้งเพราะเขาต้องรั้งให้แม่นม เถียนอยู่รอนางที่นี่ ไม่ให้นางเดินทางไปกับหลันเยว่ซิน เขาไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็ทำไปแล้ว นางหันหลังเดินขึ้นรถม้าไป พร้อมกับเปิดหน้าต่างมาลาแม่นมพร้อมกับลาทุกคน ยกเว้น….ท่านอ๋องจวินลู่หาน
สำนักศึกษาป๋อเหวิน
เมื่อคนของตำหนักอ๋องส่งตัวคุณหนูหลันเยว่ ซินเรียบร้อยก็พากันลงเขาตามคำสั่งท่านอ๋อง ที่นั่นเยว่ซินมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนร่วมสำนักหลายๆคนและมีทั้งคนที่มาจากหลากหลายที่
“ฟู่หย่งเล่อ” บุตรชายแม่ทัพใหญ่ในเฉินโจวที่มาเรียนก่อนหน้านางหนึ่งปี นับเป็นศิษย์พี่ของนาง และ “ลี่หลานเฟิน” บุตรสาวคนเล็กของมหาบัณฑิตแห่งเฉินโจวที่มาหลังจากที่เยว่ซินอยู่ที่สำนักศึกษาได้สิบวัน เป็นเพียงสองคนที่นางสนิทในสำนักศึกษานี้เพราะทั้งสองอยู่ที่เฉินโจวเหมือนกัน
แม้ว่าในตอนนี้ไฟสงครามด้านล่างยังประทุอยู่เป็นระลอก ข่าวของสงครามทำให้สำนักศึกษาเริ่มไม่เป็นอันเรียนเต็มที่เพราะต้องให้นักเรียนเตรียมฝึกวิชาป้องกันตัวเป็นหลัก
พิธีปักปิ่นในวัยสิบเจ็ดที่แต่ละจวนจะส่งของขวัญมาให้้บุตรสาว แต่ละคนก็จะได้รับเหมือนๆกัน ยกเว้น …หลันเยว่ซิน
“นี่เยว่ซิน ท่านแม่ข้ารู้ว่าข้ามีเพื่อนสนิทที่แสนดีเช่นเจ้า นางจึงส่งปิ่นมาให้เจ้าด้วย เจ้ารับไปนะ”
“ขอบใจนะหลานเฟิน”
สองปีถัดมา
“อีกไม่นานจะได้ลงจากเขาแล้ว เฮ้อ คงคิดถึงที่นี่น่าดูเลยนะ”
“เจ้าอยากลงจากเขาหรือ”
“อยากสิ ข้างล่างนั่นยังมีอย่างอื่นให้ทำตั้งมากมาย อยู่บนนี้มาสี่ปี แม้ว่าจะได้กลับไปบ้านช่วงปิดพัก แต่เพราะข้างล่างนั่นมีสงคราม เราแทบจะไม่ได้ลงไปไหนเลย ตอนนี้เห็นว่าเสด็จอาของเจ้านำชัยชนะมาสู่เฉินโจวแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ”
“สงครามมีอะไรดี เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีพวกเรากี่คนที่ต้องลงเขาไปก่อนที่จะเรียนจบ”
เยว่ซินพูดได้ไม่ผิด ก่อนหน้านั้นเพื่อนนักเรียนบางคนก็ต้องลงจากเขาเพราะได้รับข่าวร้ายที่บ้าน และบางคนก็ไม่มีเงินส่งเสียต่อ
แม้ว่าอาจารย์จะบอกว่าเรื่องเงินนั้นไม่จำเป็น แต่ว่าพวกเขาก็ต้องกลับลงไปเพื่อทำงานหาเลี้ยงคนที่ยังเหลืออยู่จึงไม่สามารถอยู่ร่ำเรียนได้จนจบ
“เยว่ซิน แล้วเจ้าลงไปเจ้าอยากจะทำสิ่งใด”
“ข้า…”
“ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าต้องกลับไปที่ตำหนักอ๋องอยู่แล้วสินะ”
“ไม่ ข้าไม่อยากกลับไป ข้า…อยากอยู่ที่นี่”
“เยว่ซิน แต่เจ้าอยู่นี่มาเกือบสี่ปีโดยไม่ได้ลงจากเขาเลยนะ เจ้าไม่คิดถึงเสด็จอาเจ้าบ้างเลยหรือ”
“คิดถึง?? เหตุใดข้าต้องคิดถึงเขาด้วย”
“อ้าว ก็เขาคือเสด็จอาของเจ้า เป็นคนในครอบครัว เหตุสงครามที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะเป็นห่วงเขาเลยสักนิด หากข้าไม่รู้จักเจ้าดีกว่าคนอื่น คงคิดว่าเจ้าน่ะ ไม่มีความรู้สึกและใจดำเหลือเกิน”
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่ข้ามั่นใจว่าเสด็จอาจะนำชัยชนะกลับมาได้ต่างหาก เขาเก่งกาจมีวรยุทธ์สูงและยังเชี่ยวชาญการศึกเป็นอย่างดี ข้าเลยไม่ห่วงต่างหากเล่า”
“ข้านึกว่าเจ้ายังโกรธเสด็จอาของเจ้าที่ส่งเจ้ามาที่นี่ และยังไม่ส่งของขวัญมาให้เจ้าในพิธีปักปิ่น”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเสียหน่อย พิธีนี้ก็ไม่ได้สำคัญกับข้าขนาดนั้น ก็แค่บ่งบอกว่าต่อไปจะต้องวุ่นวายทำผมและเอาสิ่งนี้มาประดับก็เท่านั้น”
“เจ้านี่กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งเดินได้แล้วจริงๆ เสด็จอาเจ้าขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม เจ้าเองก็ขึ้นชื่อเรื่องเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่เหตุใดบุรุษในสำนักเอาแต่ชอบเจ้าคนเดียวกันนะ”
“เจ้าอยากให้คนมองเจ้าราวกับเป็นตัวประหลาดเหมือนที่ข้าถูกมองมาสามสี่ปีนี้นะหรือ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ดูเจ้าสิ ไม่เอาละไม่พูดดีกว่า อย่างไรแล้วข้าก็ต้องฉุดเจ้าลงจากเขาไปกับข้าจนได้”
“ฉุดเลยหรือ พวกเจ้าจะตั้งสำนักใหม่หรืออย่างไร เหตุใดต้องฉุดเยว่ซินด้วย”
“เจ้าคนปากเสีย ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“อ้าว ข้าก็ถามดีๆ เหตุใดมาว่าข้าเล่า นี่ ข้ามีของขวัญให้พวกเจ้า”
“ข้าไม่อยากได้”
“งั้นข้าก็ไม่ให้”
“เจ้า!!…”
ฟู่หย่งเล่อและลี่หลานเฟินมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแบบนี้เสมอ ทั้งๆที่เยว่ซินก็พอดูออกว่าหลานเฟินชื่นชอบฟู่หย่งเล่อ แต่ว่านางกลับเอาแต่ทะเลาะกับเขาทุกครั้งที่พบหน้ากัน ครั้งนี้เขายื่นเข็มกลัดไม้สองอันมาให้พวกนาง
“เข็มกลัด!!”
“ใช่ วันนี้เป็นวันเรียนจบของพวกเจ้า ถือว่าเป็นของขวัญจากศิษย์พี่อย่างข้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะศิษย์พี่หย่งเล่อ”
“เยว่ซินเจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าขนาดนั้น ดูหลานเฟินสิ ไม่มีขอบใจข้าสักคำ นี่ถ้าไม่บอกว่านางเป็นบุตรมาหาบัณฑิต ข้าคงไม่เชื่อ”
“ฟู่หย่งเล่อ ข้าจะจัดการเจ้า คนปากเสีย”
พวกเขาวิ่งไล่กันออกไปแล้ว เยว่ซินมองลงไปเบื้องล่างที่อีกไม่กี่วันนางจะต้องกลับไป นางไม่พบท่านอ๋องมาสีปีเต็ม ข่าวว่าเขากรำศึกอยู่นอกเมืองเฉินโจวหลังจากที่นางจากมาได้สองปี และไม่ค่อยได้กลับเมืองเฉินโจวเช่นกัน
ตั้งแต่ส่งนางขึ้นเขามา เขาไม่เคยสักครั้งที่จะมาเยี่ยมนางเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ และไม่เคยส่งแม้แต่จดหมายมาสักครั้ง ข่าวการศึกเยว่ซินก็อาศัยฟังจากเหล่าอาจารย์ที่มาเล่าให้ฟัง ครั้งนี้หากพบกันอีกครา ก็คงไม่ต่างจากเดิมกระมัง
“เสด็จอา….”
เมี่ยวเข่ออ้ายนิ่งไป นางรู้สึกตกใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง ลี่หยางจินผู้นั้น คนที่เอาแต่พูดหลักการมากมาย บัณฑิตที่พูดแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ บอกรักนางงั้นหรือ นางตกใจอีกครั้งเมื่อเขากระชับกอดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่วางที่ไหล่ของนาง“เข่ออ้าย ข้ารักท่านจริงๆ เรื่องนี้มิได้โกหก แม้ว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้จะร้ายกาจ แต่ที่พูดเรื่องเจ้ากับหย่งเล่อ เพราะว่าข้า…หึงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้กับบุรุษอื่น”เข่ออ้ายทำตัวไม่ถูก ลี่หยางจินผู้นั้น บัณฑิตน่ารำคาญนั่นบอกว่ากำลังหึงนางงั้นหรือ นี่เขาป่วยจนเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่“นี่ท่าน เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”“เรื่องที่ข้าป่วยเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องความรู้สึกของข้าเป็นความจริง เจ้าอย่าผลักใสข้าอีกเลยนะเข่ออ้าย”“นี่พวกท่าน…รวมหัวกันหลอกข้างั้นหรือ”“มันจำเป็น หากว่าครั้งนี้ไม่อาจคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว ดังนั้น…”“ดังนั้นพวกท่านจึงใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับความรู้สึกข้า มาหลอกข้า ท่านมัน…อุ๊บ…อื้มมม”ลี่หยางจินผลักนางลงที่เตียงและจูบนางทันทีเพื่อให้นางหยุดโมโห หากว่าเขาปล่อยนางไป ให้พบนางอีกครั้งคงยากแล้ว แผนแรกพูดไปแล้ว เหลือแค่แผนที
วังหลวงแคว้นฮั่วซู“องค์หญิง เอ่อ…กระหม่อม…”ลี่หยางจินเดินตามเมี่ยวเข่ออ้ายเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาทและจะเดินกลับไปยังตำหนัก ตั้งแต่ที่ทุ่งหญ้าเมื่อวานนี้พอกลับมาที่วังหลวง พวกเขาก็ไม่พบนางอีกเลย….“ท่านทูตเจ้าคะ องค์หญิงให้ข้าน้อยเรียนว่าวันนี้นางไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากรับแขกเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านทูตกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”“แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ ท่านไปหาเข่ออ้ายมาอีกแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่รอทำตามแผนการของข้าก่อนเล่าเจ้าคะ”“แต่เวลาอีกแค่สองวัน ข้าเกรงว่านางจะไม่ให้โอกาสข้าอีกแล้ว”“เฮ้อ….เช่นนี้แผนของพวกข้าก็ล่มหมดสิเจ้าคะ”“แผน แผนอันใดกัน”“เช่นนี้นะเพคะ…..”ตำหนักองค์หญิง“พี่เยว่ซิน พี่หลานเฟิน พวกท่านมาแล้ว”“เข่ออ้าย เหตุใดเจ้าดูซูบเช่นนี้เล่า เจ้า…อดอาหารงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะพี่เยว่ซิน ข้าเพียงแต่….”“อดนอน…นี่เข่ออ้าย เจ้าจะป่วยอีกคนไม่ได้นะ ให้พี่จอมอ่อนแอของข้าป่วยแค่คนเดียวก็พอ อุ่ย…”“หลานเฟิน ไหนเจ้ารับปากพี่ลี่แล้วอย่างไรว่าจะไม่…”เข่ออ้ายตกใจเมื่อได้ยินว่าลี่หยางจินล้มป่วย“เกิดสิ่งใดขึ้น พี่หยางจินป่วยงั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย”"เข่ออ้ายเจ้าใ
ลี่หยางจินยืนเฝ้ามองที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่านั้นเป็นเวลาเกือบสองเค่อ เมื่อมองออกไปอีกทีก็เห็นว่าองค์หญิงขี่ม้ากลับมาพร้อมกับม้าอีกตัว น่าจะเป็นม้าของฟู่หย่งเล่อ แต่ไม่เห็นอีกสองคน “องค์หญิง แล้ว…”“ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ฟู่ไม่หลงทางหรอก”“แต่ว่าหย่งเล่อไม่เคยมาที่นี่”“ข้าพาเขามาขี่ม้าสำรวจเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าจะมาหาที่ให้พี่หลานเฟินหัดขี่ม้า”“องค์หญิงเสด็จมากับเขาตามลำพังงั้นหรือ!!”เข่ออ้ายหันไปมองเขาอย่างนึกตกใจ เมื่อนางลงจากม้าและดื่มน้ำพักเหนื่อย เขาเดินตรงมาถามนางอย่างใคร่รู้จนนางเริ่มตกใจ“ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็แค่พาเขามาสำรวจทุ่งหญ้าเท่านั้น”“แต่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง เหตุใดท่าน…อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย นี่ท่านกล้าพาเขาออกมาสองต่อสองในที่เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนสตรี….”“พอที!!”“เลิกเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีในดวงใจของท่าน ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเรื่องที่ข้าจะไปไหนกับผู้ใดก็มิใช่กงการอะไรของท่าน ขอตัวก่อน”“เดี๋ยว องค์หญิง เหตุใดท่านออกมากับคุณชายฟู่ กระหม่อมจึงไม่ทราบเรื่องนี้”เขาเอื้อมมือไปจับนางไว้พร้อมกับดึงเข้ามาถาม เมี่ยวเข่ออ้ายตกใจเมื่อเขาดึง
ฟู่หย่งเล่อและหลานเฟินกลับมายังที่พักม้า เข่ออ้ายและหยางจินรอพวกเขาอยู่ที่นั่น องค์หญิงนั้นนั่งอยู่ห่างจากหยางจินคนละทางเมื่อสาวใช้ตะโกนบอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว“องค์หญิงเพคะ แม่นางกับท่านรองแม่ทัพมาถึงแล้วเพคะ”เข่ออ้ายรีบวิ่งไปที่ม้าของหย่งเล่อเพื่อรอพวกเขา หยางจินที่ยืนมองนางอยู่กำลังจะพูด แต่เข่ออ้ายหันมามองเขาและเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งของม้าเมื่อหลานเฟินถูกอุ้มลงมาจากหลังม้าแต่นางเหมือนกับเดินไม่ไหวจนหย่งเล่อตัดสินใจอุ้มนางเดินมาหาพวกเขา“พี่หลานเฟิน เหตุใดเป็นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”“เข่ออ้าย คือว่าข้า…”หลานเฟินนั้นไม่กล้าตอบ ใครจะกล้าพูดว่าฟู่หย่งเล่อรังแกนางจนนางเดินไม่ไหวจนเขาต้องอุ้มนางนั่งม้ามาด้วยกันเช่นนี้ แต่ฟู่หย่งเล่อนั้นเก็บอาการได้ดีกว่านางมากนัก เขาเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา“นางตกม้าน่ะ ข้าไปช่วยเอาไว้ทันแต่ขานางยังเจ็บอยู่ ช้าไปมากเพราะมัวแต่เรียกและตามหาม้าอยู่” (ม้าบอกโบ้ยความผิดมาที่ตรูเฉยเลย พวกเอ็งนั่นแหละ)“เช่นนั้น ท่านไปนั่งรถม้าดีหรือไม่”“ดีเหมือนกัน”“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หลานเฟินอยากจะขี่ม้า ให้กระหม่อมนั่งไปกับนางจะได้ช่วยสอนไปด้วย ไม่ต้องห่วงนะพี่ลี่”“เอ่อ น้
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร