“แต่ว่าท่านมิได้เป็นน้องชายบิดาข้า เหตุใดข้าถึงต้องเรียกท่านว่าท่านอาด้วย”
“เช่นนั้นเจ้าอยากเรียกว่าอะไรเล่า”
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”
“ข้ากับบิดาเจ้าสนิทสนมกันมาก ช่วงสงครามเคยติดตามเขาออกรบบ่อยๆ เขาเป็นแม่ทัพผู้กล้าที่ยากจะมีใครล้มได้ หากมิใช่แผนชั่วของซุนหวง เขาคง….”
“พวกเขาเรียกท่านว่าท่านอ๋อง นั่นแสดงว่าท่านคือผู้ที่ปกครองเฉินโจว ท่านอ๋องจะมาเป็นท่านอาของข้าได้อย่างไรกัน”
เขาหันมามองหน้าหลันเยว่ซิน นางฉลาดและมีความกล้าจริงๆ เขายิ้มให้นางเป็นยิ้มแรกที่ทำให้ หลันเยว่ซินมองแล้วรู้สึกอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า แสงแรกที่ให้ชีวิตใหม่กับนาง แสงแรกที่เปิดออกจากห้องหนังสือตอนที่เขามาช่วยนางเอาไว้
“ข้าอยากให้เจ้าเรียกท่านอา เจ้าก็เรียกท่านอา เอาไว้อีกหน่อยเจ้านึกได้แล้วว่าจะเปลี่ยนคำเรียก เราค่อยมาคุยกันใหม่ ดีหรือไม่”
หลันเยว่ซินเงยหน้ามองท่านอ๋องที่ยืนสบตานาง สุดท้ายนางจึงคุกเข่าลง ท่านอ๋องตกใจเพราะนางทำเรื่องนี้กะทันหัน
“หลันเยว่ซินคารวะท่านอา จากนี้ไปเยว่ซินจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านอาเจ้าค่ะ”
จวินลู่หานถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาพึ่งจะอายุยี่สิบสองแต่ต้องมาเป็นอาของเด็กที่อายุห่างจากเขาแค่แปดปี แต่ด้วยความจำเป็นและให้นางไว้ใจเขา จึงต้องทำเช่นนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะตอบแทนสกุลหลันของแม่ทัพใหญ่ หลันเว่ยได้
“ลุกขึ้นเถอะ อย่าทำเช่นนี้เลยหลันเยว่ซิน”
เขาดึงนางขึ้นมา แขนนางเล็กนิดเดียวจนเขาคิดว่าหากเขาดึงนางแรงกว่านี้แขนนางคงจะหักเอาได้
“เยว่ซิน กลับเฉินโจวกับข้านะ ที่นี่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ข้าจะจัดงานศพให้แม่ทัพหลันอย่างสมเกียรติก่อนจะจากไป เจ้าไม่ต้องห่วง ป้ายวิญญาณของเขาจะถูกนำไปที่สุสานวีรชนที่เขาเซิ่งหวาง”
“ขอบคุณท่านอาเจ้าค่ะ”
“นี่ก็สายแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
มือที่เปื้อนเลือดข้างเดิมยื่นมาให้นาง ครั้งนี่เยว่ซินเอื้อมไปจับ แม้ว่าจนถึงตอนนี้เด็กน้อยจะไม่เคยยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง แต่เรื่องที่นางเจอก็ทำให้เขาเข้าใจได้ดี จากนี้คงต้องให้คนจัดการดูแลนางอีกมาก
เฉินโจ ตำหนักอ๋องจวิน หนึ่งปีต่อมา
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาเรียนแล้วเจ้าค่ะ”
“เสด็จอาออกไปประชุมราชสำนักแล้วหรือเจ้าคะแม่นม”
“ออกไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะเจ้าค่ะ"
หลันเยว่ซินมาอยู่ที่ตำหนักอ๋องนี้ได้หนึ่งปีแล้ว แม้ว่านางจะพูดน้อยและไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดมากนัก แต่ท่าทางและมารยาทของนางที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็ทำให้คนที่ตำหนักอ๋องนี้เกรงใจและรักนางเป็นอย่างยิ่ง
เพราะบุคลิกที่โตเกินวัยเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน ทำให้นางค่อนข้างจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่น ที่สำคัญคือ นางงดงามขึ้นตามวัย
“คุณหนูวันนี้พอแค่นี้ก่อน อย่าลืมการบ้านที่สั่ง พรุ่งนี้เราค่อยพบกัน”
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
นางยังคงเขียนงานที่อาจารย์ให้ไว้ต่อในสวนสำหรับที่เรียน ซึ่งคนอื่นๆลุกไปจนหมดแล้ว มีเพียงนางที่ยังนั่งอยู่ ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากว่าราชกิจเห็นจึงได้แวะทักทายนาง
“เจ้าคิดจะเรียนจบเป็นบัณฑิตภายในครึ่งปีนี้เลยหรือเยว่ซิน”
“เยว่ซินถวายบังคมเสด็จอาเพคะ”
“ตามสบายเถอะ ว่าอย่างไร ข้าถามเจ้าอยู่ เจ้าสนใจเรียนปราชญ์และการเมืองขนาดนี้เชียว”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่…ใคร่รู้ให้มากเท่านั้น ความรู้มากมายในใต้หล้า แต่หม่อมฉันมีแค่ตัวคนเดียว มิอาจเรียนรู้สรรพสิ่งเหล่านั้นได้หมด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อยากเรียนนี่เพคะ”
“พูดได้ดี”
“วันนี้เสด็จอากลับเร็ว แสดงว่ามีผู้ยั่วโมโหน้อยลงไปอีกแล้ว”
“ฮ่าๆ ยังเป็นเจ้าที่ดูออกสินะ ก็ไม่เชิงหรอก เพียงแต่ว่ามีบ้างที่ความเห็นไม่ตรงกันจนต้องถกเถียง”
“พวกขุนนางที่เอาแต่สบาย นอนอยู่บนกองเงินไม่ได้เห็นความลำบากของผู้อื่น เอาแต่ใช้ปากทำงาน น่ารังเกียจ”
“เอ๋ เยว่ซิน เจ้าอย่าได้เหมารวมต่อว่าเช่นนั้นสิ แต่ละคนมีหน้าที่ต่างกัน จะไปว่าพวกเขาเช่นนั้นหาได้ไม่ เฉินโจวน่ะ มีขุนนางหลายฝ่าย แต่ก็ไม่มีคนที่ชั่วเกินจะเป็นภัยต่อราชสำนักได้หรอกนะ”
“ท่านอ๋อง เอ่อ…”
“มีอะไร”
“คุณหนูซ่งมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“นางมาทำไม”
“เห็นบอกว่า นำขนมและชาดอกท้อมาถวายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ให้นางเข้ามาสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องมีแขก เยว่ซินก็รีบเก็บของทันทีจนท่านอ๋องหันไปถามนางอย่างนึกแปลกใจ
“เหตุใดเจ้าเร่งรีบนักเล่า ทำไมไม่รอดื่มชากับข้าก่อน”
“ไม่ดีกว่าเพคะ หม่อมฉันไม่สันทัดวิถีสตรีที่มีจริตมากเช่นพวกนาง ขอตัวก่อนเพคะ”
“อ้าว เยว่ซิน เดี๋ยวก่อนสิ”
หลันเยว่ซินเดินออกจากศาลาทันที นางเห็นว่าซ่งเหมยลี่เดินมาอีกฝั่งจึงเดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง นางรู้ว่าซ่งเหมยลี่และท่านอ๋องน่าจะชอบพอกันเพราะเห็นสาวใช้ในตำหนักพูดเรื่องนี้ และนางเองก็ไม่อยากอยู่ขวางทางพวกเขา และไม่อยากนั่งฟังคำสะอิดสะเอียนเหล่านั้น
“นั่น…ใช่....เด็กคนนั้นหรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู นั่นคือหลานท่านอ๋องที่เก็บมาจากเมืองเหลียง”
“นางไม่ใช่เด็กแล้วนี่ นางโตพอที่จะรู้ความแล้ว”
“คุณหนูพูดได้ถูกต้องเจ้าค่ะ”
“หากปล่อยให้โตกว่านี้คงไม่ดีแน่”
“คุณหนูมีแผนการเช่นไรเจ้าคะ”
“หึ ไม่ยากหรอกเรื่องนี้ ข้าจัดการเอง”
ห้องอักษร
“เสด็จอาตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
"ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะอยากร่ำเรียนสรรพอาวุธอย่างอื่น ก็เลยคิดว่าจะส่งไปเรียนที่สำนักศึกษาป๋อเหวิน"
“พระองค์คงไม่สะดวกใจที่หม่อมฉันอยู่ที่นี่”
“ไม่ใช่นะเยว่ซินเหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น แต่ว่าหากว่าเจ้ายังไม่พร้อม ข้าก็ไม่ได้จะบังคับเจ้า เอาไว้ปีหน้า หรือว่า…ให้พ้นพิธีปักปิ่นไปก่อนก็ได้เจ้าค่อยไปศึกษาดีหรือไม่”
“….”
นางไม่ตอบสิ่งใด แต่ใบหน้านั้นสลดลงเล็กน้อย เขาพานางมาอยู่ที่ตำหนักนี้ได้หนึ่งปีแล้ว แต่เด็กสาวตรงหน้านี้ไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง แม้ว่านางจะเคยยิ้มเมื่อถูกอาจารย์หญิงเอ่ยชมว่านางชงชาด้วยท่าทางที่อ่อนช้อย หรืออาจารย์ที่สอนกระบี่นางเอ่ยชมว่านางเรียนรู้เร็ว แต่กับเขา นางแทบไม่เคยยิ้มให้เลยเท่าที่จำได้
“ข้าเพียงเรียกเจ้ามาปรึกษาเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง ข้าก็คิดว่าเจ้า…อยากเรียนอย่างอื่นเพราะวิชาที่อาจารย์ที่นี่สอน เจ้าก็ร่ำเรียนจนหมดแล้ว”
หรือว่าเขาอาจจะนำเรื่องนี้มาพูดเร็วไป เขาพึ่งได้คำแนะนำจากซ่งเหมยลี่เมื่อตอนบ่ายนี้เองเรื่องสำนักศึกษาที่เขาอี้เหวินที่ชื่อป๋อเหวิน ซึ่งเขาเห็นว่านางชอบร่ำเรียนวิชาศาสตร์ต่างๆ จึงคิดว่านางจะตื่นเต้นเมื่อได้ฟังเรื่องนี้
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะทำหน้าเช่นนี้ มาคิดอีกทีราวกับว่านางกำลังคิดว่าเขารังเกียจนางที่อยู่ตำหนักอ๋อง แต่เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยจริงๆ
“เยว่ซิน เหตุใดเจ้าเงียบไป ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกตกลงหรือไม่ หากว่าเจ้ายังไม่พร้อมข้าก็ยังไม่ให้เจ้าไป”
“หม่อมฉันตกลงเพคะ เสด็จอาโปรดเขียนจดหมายส่งตัวให้หม่อมฉันทีเถิดเพคะ”
เมี่ยวเข่ออ้ายนิ่งไป นางรู้สึกตกใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง ลี่หยางจินผู้นั้น คนที่เอาแต่พูดหลักการมากมาย บัณฑิตที่พูดแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ บอกรักนางงั้นหรือ นางตกใจอีกครั้งเมื่อเขากระชับกอดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่วางที่ไหล่ของนาง“เข่ออ้าย ข้ารักท่านจริงๆ เรื่องนี้มิได้โกหก แม้ว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้จะร้ายกาจ แต่ที่พูดเรื่องเจ้ากับหย่งเล่อ เพราะว่าข้า…หึงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้กับบุรุษอื่น”เข่ออ้ายทำตัวไม่ถูก ลี่หยางจินผู้นั้น บัณฑิตน่ารำคาญนั่นบอกว่ากำลังหึงนางงั้นหรือ นี่เขาป่วยจนเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่“นี่ท่าน เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”“เรื่องที่ข้าป่วยเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องความรู้สึกของข้าเป็นความจริง เจ้าอย่าผลักใสข้าอีกเลยนะเข่ออ้าย”“นี่พวกท่าน…รวมหัวกันหลอกข้างั้นหรือ”“มันจำเป็น หากว่าครั้งนี้ไม่อาจคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว ดังนั้น…”“ดังนั้นพวกท่านจึงใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับความรู้สึกข้า มาหลอกข้า ท่านมัน…อุ๊บ…อื้มมม”ลี่หยางจินผลักนางลงที่เตียงและจูบนางทันทีเพื่อให้นางหยุดโมโห หากว่าเขาปล่อยนางไป ให้พบนางอีกครั้งคงยากแล้ว แผนแรกพูดไปแล้ว เหลือแค่แผนที
วังหลวงแคว้นฮั่วซู“องค์หญิง เอ่อ…กระหม่อม…”ลี่หยางจินเดินตามเมี่ยวเข่ออ้ายเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาทและจะเดินกลับไปยังตำหนัก ตั้งแต่ที่ทุ่งหญ้าเมื่อวานนี้พอกลับมาที่วังหลวง พวกเขาก็ไม่พบนางอีกเลย….“ท่านทูตเจ้าคะ องค์หญิงให้ข้าน้อยเรียนว่าวันนี้นางไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากรับแขกเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านทูตกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”“แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ ท่านไปหาเข่ออ้ายมาอีกแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่รอทำตามแผนการของข้าก่อนเล่าเจ้าคะ”“แต่เวลาอีกแค่สองวัน ข้าเกรงว่านางจะไม่ให้โอกาสข้าอีกแล้ว”“เฮ้อ….เช่นนี้แผนของพวกข้าก็ล่มหมดสิเจ้าคะ”“แผน แผนอันใดกัน”“เช่นนี้นะเพคะ…..”ตำหนักองค์หญิง“พี่เยว่ซิน พี่หลานเฟิน พวกท่านมาแล้ว”“เข่ออ้าย เหตุใดเจ้าดูซูบเช่นนี้เล่า เจ้า…อดอาหารงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะพี่เยว่ซิน ข้าเพียงแต่….”“อดนอน…นี่เข่ออ้าย เจ้าจะป่วยอีกคนไม่ได้นะ ให้พี่จอมอ่อนแอของข้าป่วยแค่คนเดียวก็พอ อุ่ย…”“หลานเฟิน ไหนเจ้ารับปากพี่ลี่แล้วอย่างไรว่าจะไม่…”เข่ออ้ายตกใจเมื่อได้ยินว่าลี่หยางจินล้มป่วย“เกิดสิ่งใดขึ้น พี่หยางจินป่วยงั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย”"เข่ออ้ายเจ้าใ
ลี่หยางจินยืนเฝ้ามองที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่านั้นเป็นเวลาเกือบสองเค่อ เมื่อมองออกไปอีกทีก็เห็นว่าองค์หญิงขี่ม้ากลับมาพร้อมกับม้าอีกตัว น่าจะเป็นม้าของฟู่หย่งเล่อ แต่ไม่เห็นอีกสองคน “องค์หญิง แล้ว…”“ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ฟู่ไม่หลงทางหรอก”“แต่ว่าหย่งเล่อไม่เคยมาที่นี่”“ข้าพาเขามาขี่ม้าสำรวจเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าจะมาหาที่ให้พี่หลานเฟินหัดขี่ม้า”“องค์หญิงเสด็จมากับเขาตามลำพังงั้นหรือ!!”เข่ออ้ายหันไปมองเขาอย่างนึกตกใจ เมื่อนางลงจากม้าและดื่มน้ำพักเหนื่อย เขาเดินตรงมาถามนางอย่างใคร่รู้จนนางเริ่มตกใจ“ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็แค่พาเขามาสำรวจทุ่งหญ้าเท่านั้น”“แต่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง เหตุใดท่าน…อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย นี่ท่านกล้าพาเขาออกมาสองต่อสองในที่เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนสตรี….”“พอที!!”“เลิกเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีในดวงใจของท่าน ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเรื่องที่ข้าจะไปไหนกับผู้ใดก็มิใช่กงการอะไรของท่าน ขอตัวก่อน”“เดี๋ยว องค์หญิง เหตุใดท่านออกมากับคุณชายฟู่ กระหม่อมจึงไม่ทราบเรื่องนี้”เขาเอื้อมมือไปจับนางไว้พร้อมกับดึงเข้ามาถาม เมี่ยวเข่ออ้ายตกใจเมื่อเขาดึง
ฟู่หย่งเล่อและหลานเฟินกลับมายังที่พักม้า เข่ออ้ายและหยางจินรอพวกเขาอยู่ที่นั่น องค์หญิงนั้นนั่งอยู่ห่างจากหยางจินคนละทางเมื่อสาวใช้ตะโกนบอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว“องค์หญิงเพคะ แม่นางกับท่านรองแม่ทัพมาถึงแล้วเพคะ”เข่ออ้ายรีบวิ่งไปที่ม้าของหย่งเล่อเพื่อรอพวกเขา หยางจินที่ยืนมองนางอยู่กำลังจะพูด แต่เข่ออ้ายหันมามองเขาและเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งของม้าเมื่อหลานเฟินถูกอุ้มลงมาจากหลังม้าแต่นางเหมือนกับเดินไม่ไหวจนหย่งเล่อตัดสินใจอุ้มนางเดินมาหาพวกเขา“พี่หลานเฟิน เหตุใดเป็นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”“เข่ออ้าย คือว่าข้า…”หลานเฟินนั้นไม่กล้าตอบ ใครจะกล้าพูดว่าฟู่หย่งเล่อรังแกนางจนนางเดินไม่ไหวจนเขาต้องอุ้มนางนั่งม้ามาด้วยกันเช่นนี้ แต่ฟู่หย่งเล่อนั้นเก็บอาการได้ดีกว่านางมากนัก เขาเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา“นางตกม้าน่ะ ข้าไปช่วยเอาไว้ทันแต่ขานางยังเจ็บอยู่ ช้าไปมากเพราะมัวแต่เรียกและตามหาม้าอยู่” (ม้าบอกโบ้ยความผิดมาที่ตรูเฉยเลย พวกเอ็งนั่นแหละ)“เช่นนั้น ท่านไปนั่งรถม้าดีหรือไม่”“ดีเหมือนกัน”“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หลานเฟินอยากจะขี่ม้า ให้กระหม่อมนั่งไปกับนางจะได้ช่วยสอนไปด้วย ไม่ต้องห่วงนะพี่ลี่”“เอ่อ น้
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร