“นี่เจ้า! กล่าววาจาเช่นนี้ตั้งใจบีบบังคับนางหรือ” เจิ้งเข่อชิงรีบลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างสหายคนใหม่ที่น่าเอ็นดู
“คุณหนูเจิ้งท่านกล่าววาจาว่าร้ายเมิ่งเอ๋อร์เช่นนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ” สวี่ลู่ฟาง หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ลุกขึ้นยืนบ้าง
“ข้าน่ะหรือกล่าวว่าร้ายนาง หากคุณหนูคุณชายในที่นี้ไม่โง่เง่าก็คงจะมองเห็นและได้ยินชัดเจนว่าเป็นคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวต่างหากที่พยายามจะลากชิงหนี่ว์ซึ่งกำลังบาดเจ็บที่มือให้ออกไปแสดงความสามารถ” เมื่อเห็นคุณหนูเจิ้งกล่าวเช่นนั้นนางจึงรีบเอ่ยวาจาต่อทันที
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิอาจฝืนร่างกายทำการแสดงให้ทุกคนได้ชื่นชม แต่หากคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวยืนยันอยากจะฟัง ข้าก็คงต้องทำร้ายตนเองด้วยการใช้มือที่บาดเจ็บนี้เล่นพิณแล้ว”
“เอาล่ะ คุณหนูจางบาดเจ็บเช่นนี้ เฟิงเหมียนเจ้าคงมิคิดจะให้นางต้องฝืนร่างกายแสดงความสามารถหรอกนะ” องค์รัชทายาทยื่นบันไดให้สหายได้ลง
“มิได้ๆ ข้าหลิวเฟิงเหมียนต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยที่ไม่รู้เรื่องการบาดเจ็บของเจ้า เป็นข้าที่อยากให้ทุกคนได้รู้จักเจ้ามากเกินไป แต่อย่างน้อยวันนี้ข้าก็ได้ประจักษ์ด้วยตนเองแล้วว่าคุณหนูจางชิงหนี่ว์งดงามมากเพียงใด สมแล้วที่ท่านราชเลขาธิการจางจะหวงแหนน้องสาว” คำกล่าวของหลิวเฟิงเหมียนทำให้ใครบางคนคิ้วกระตุกไปพร้อมกับเท้าที่อยากจะยื่นออกไปเพื่อถีบคนกล่าววาจาไม่เข้าหู
“ขอบคุณคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวเช่นกันที่วันนี้ทำให้ข้าได้ทราบว่าการพาน้องสาวมาร่วมงานเลี้ยงนั้นช่างไม่ปลอดภัยกับนางเสียจริง เพราะนอกจากจะมีการอิจฉาริษยาหวังกลั่นแกล้งกันในหมู่สตรีแล้ว ยังมีบุรุษที่หวังจะเชยชมโดยที่สตรีไม่เต็มใจ ต้องขอบคุณจวนหลิวแล้วที่ทำให้ข้าและน้องสาวได้ประจักษ์เรื่องราวเหล่านี้” คำกล่าวของราชเลขาธิการจางทำให้คนตระกูลหลิวแทบกระอักเลือด
แม้จางชิงเทียนดูเป็นคนเรียบง่าย สุภาพ อ่อนโยน แต่เมื่อชายผู้นี้ต้องออกหน้าปกป้องน้องสาว ก็สามารถทำให้คนที่คิด ไม่ดีกับแก้วตาดวงใจของเขาเจ็บแสบไม่น้อย
“เอาล่ะๆ ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ก็ให้มันจบเพียงเท่านี้เถิด วันนี้เจ้าอยากให้ทุกคนได้มาจิบชาชมดอกไม้ทำความรู้จักกันไม่ใช่หรือ” ยิ่งองค์รัชทายาทพยายามช่วยเหลือสหาย ยิ่งทำให้สตรีผู้หนึ่งลอบมองด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ใช่ๆ ข้าต้องขออภัยท่านราชเลขาธิการจางและคุณหนูจางที่ทำให้พวกท่านรู้สึกไม่ดี”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ” มีเพียงคุณหนูจางที่ตอบรับ ส่วนราชเลขาธิการจางมองคนกล่าวด้วยสายตานิ่งเฉย
“เชิญพวกท่านจิบชาชมดอกไม้กันตามสบายเลยนะขอรับ” สิ้นเสียงคุณชายจางคุณหนูคุณชายหลายคนก็ลุกขึ้นแล้วแยกย้ายกันไปสนทนากับคนที่ตนต้องการ
“ชิงหนี่ว์เรากลับจวนกันเถิด” จางชิงเทียนก้าวเท้าเดินไปหาน้องสาว
“พี่ใหญ่เจ้าขา ข้าขออยู่ต่ออีกหนึ่งเค่อได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากสนทนากับสหายอีกสักนิด”
“สหายเจ้าหรือใครกัน”
“นั่นอย่างไรเจ้าคะ” น้องน้อยชี้ไปที่คุณหนูสองคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“คนตระกูลหลิวนิสัยย่ำแย่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ” หวังเยว่ฉิงบ่น หากวันนี้ไม่เพราะท่านพ่อท่านแม่ขอให้นางมา นางก็คงไม่คิดจะมาร่วมงานที่จวนนี้
“เจ้าอย่าได้สนใจคนพวกนั้นเลยนะชิงหนี่ว์” คุณหนูเจิ้งเอ่ยทันทีที่เดินถึงตัวนาง
“พี่ใหญ่เจ้าขา นี่คือสหายใหม่ของข้าเจ้าค่ะ คุณหนูหวังเยว่ฉิง และคุณหนูเจิ้งเข่อชิง เจ้าค่ะ”
“คารวะท่านราชเลขาธิการจางเจ้าค่ะ” เพราะเป็นขุนนางมีตำแหน่งและศักดิ์สูงกว่า คุณหนูทั้งสองจึงแสดงความเคารพ
“อืม เมื่อครู่นี้ข้าต้องขอบคุณคุณหนูเจิ้งด้วยที่พยายามช่วยชิงหนี่ว์”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ เราเป็นสหายกันแล้ว มีเรื่องอันใดข้าย่อมต้องยื่นมือช่วยเหลือ” เจิ้งเข่อชิงตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อมแต่ทว่าสง่างาม ทำให้ดวงหน้าของบุรุษอย่างจางชิงเทียนเผยรอยยิ้มจางๆ
‘สมแล้วล่ะที่ฮ่องเต้หวังจะให้นางนั่งในตำแหน่งฮองเฮา’
“เจ้ามีสหายแล้วเช่นนั้นพี่ขอไปพูดคุยกับสหายก่อน อีกหนึ่งเค่อพี่จะมารับเจ้ากลับจวน อย่าลืมระวังตัวด้วยล่ะ”
“เจ้าค่ะ” เมื่อน้องสาวรับคำ พี่ใหญ่ก็หันไปส่งยิ้มให้กับสหายทั้งสองคนของนาง
“กรี๊ด...ได้เห็นท่านราชเลขาฯ จางยิ้มเช่นนี้ถือเป็นบุญตายิ่ง ต้องขอบคุณสหายอย่างเจ้าแล้วชิงหนี่ว์” จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรในเมื่อรอยยิ้มนั้นหาใช่รอยยิ้มเสแสร้งดั่งเช่นยามปกติ
“ท่านราชเลขาฯ จางหวงแหนน้องสาวยิ่งข้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองก็วันนี้” เจิ้งเข่อชิงกล่าว
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ