4
บุรุษสวมหน้ากากกับท่าทางแปลกๆ ของเขา (1)
ด้านชินอ๋องซื่อจื่อที่เดินแยกตัวออกไป เดินไปหยุดนิ่งที่ใต้ต้นเหมยนัยน์ตาดำฉายแววล้ำลึกเมื่อจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง
‘มีใครอยู่แถวนี้ไหมเจ้าคะ ข้าหกล้มเท้าบาดเจ็บ’ เสียงอ่อนหวานของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น
‘ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าเจ็บเท้า ลุกไม่ขึ้น’
พอเห็นอะไรบางอย่างที่ดูขัดสายตา จึงใช้กำลังภายในเล็กน้อยดีดผลเหอเถาออกไป
‘ช่วยข้าด้วย คุณชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น’
“...” โจวอันฉีไม่ตอบก่อนจะเดินออกจากจุดที่ยืนเมื่อครู่ไปทางต้นเสียง
“เป็นชินอ๋องซื่อจื่อเองหรือเพคะ หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ต้องรบกวนพระองค์” ดวงตารื้นน้ำตาฉายแววเจ็บปวดทอประกายความหวังเมื่อเห็นบุรุษเลิศล้ำกำลังเดินมาหาตน
“...” บุรุษรูปงามไม่กล่าวอันใด ฝีเท้ายังคงก้าวเดินอย่างมั่นคง
“หม่อมฉันพลาดพลั้งหกล้มจนเจ็บเท้า ต้องรบกวนท่านอ๋องแล้วเพคะ” โฉมงามอันดับหนึ่งกล่าวพลางกรีดนิ้วเช็ดน้ำตาที่ไม่มีจริงตรงหางตา ท่าทางอ่อนแอน่าปกป้องของสตรีที่มีดวงหน้างดงามทำให้บุรุษอยากปกป้อง
ในช่วงที่สวี่ลู่ฟางกำลังมั่นใจว่าตนเองสามารถดึงความสนใจของชินอ๋องซื่อจื่อได้นั้น จู่ๆ เขาก็เดินผ่านตัวนางที่นั่งกองอยู่บนพื้นหญ้าไป
“ชินอ๋องซื่อจื่อเพคะ ได้โปรดช่วยเหลือหม่อมฉันด้วยเพคะ” คุณหนูสวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแฝงอ้อนวอน
“...” โจวอันฉีไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองก่อนจะเดินจากไป
“เหตุใดถึงไม่เหมือนที่ข้าคิดไว้” โฉมสะคราญอันดับหนึ่งที่นั่งเจ็บอยู่เมื่อครู่ลุกยืนขึ้นก่อนจะค่อยๆ พาตนเองตามหลังบุรุษรูปงามไป
ทันทีที่เห็นท่าทางของสหาย คุณหนูหลิวก็วิ่งสวนกับชินอ๋องเข้ามาหา
“เจ้าไปทำอันใดมา เหตุใดถึงเดินเช่นนั้น”
“ข้าหกล้ม เจ็บเท้าเมื่อครู่”
“เจ็บเท้าแล้วมาเดินเช่นนี้ได้อย่างไร ชินอ๋องซื่อจื่อเพคะ สหายของหม่อมฉันเจ็บเท้า รบกวนพระองค์ช่วยพานางไปที่เรือนรับรองได้หรือไม่เพคะ” เพราะอีกฝ่ายเป็นสหายสนิทของพี่ชาย หลิวเมิ่งจึงค่อนข้างที่จะกล้ารบกวนอีกฝ่าย
“...” ชินอ๋องไม่ตอบก่อนจะเดินไปหาสหาย
“อย่าไปรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อเลยเมิ่งเอ๋อร์ เจ้าช่วยพยุงข้าก็พอ” ท่าทางของสตรีที่อ่อนแอแต่ทำเป็นเข้มแข็งมักจะสร้างความประทับใจให้บุรุษ
“แต่ชินอ๋องซื่อจื่อไม่ควรเพิกเฉยต่อสตรีที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นนี้” หลิวเมิ่งกล่าวพลางมองสหายด้วยความเห็นใจ หรือจะเป็นเพราะเขากำลังโกรธสหายนางที่วันนั้นองค์รัชทายาทเป็นคนไปส่งสวี่ลู่ฟางกลับจวน
ต้องเป็นดั่งที่สหายเคยเล่าให้นางฟังเป็นแน่
โป๊ก ผลเหอเถาอีกผลพุ่งเข้ามาชนบริเวณแก้มของคุณชายหลิวที่เพิ่งแยกตัวจากสตรีทั้งสามคน
“ใครมันปาผลเหอเถาใส่หน้าข้า” เมื่อครู่ก็ครั้งหนึ่งแล้ว ในขณะที่เขากำลังสนทนาและขอโทษสตรีทั้งสามคนโดยเฉพาะคุณหนูจางที่อาจจะรู้สึกไม่ดีหรือขุ่นเคืองต่อเขา แต่จู่ๆ ผลเหอเถาก็พุ่งมาจากทางใดไม่ทราบกระแทกเข้าที่หน้าผากของเขาจนเป็นรอยแดง สร้างความขายหน้าต่อโฉมสะคราญทั้งสามคน จนเขาต้องรีบกล่าวขอตัวเดินแยกออกมา
“ข้าเอง” โจวอันฉีกล่าว
“อันฉี อย่าบอกว่าเมื่อครู่ก็ฝีมือเจ้า”
“ใช่”
“นี่เจ้าทำร้ายข้าด้วยเหตุใด” หลิวเฟิงเหมียนถามด้วยสีหน้าโมโหแฝงความไม่เข้าใจ
“อบรมสั่งสอนน้องสาวไม่ดี”
“หากนางไปทำอันใดให้เจ้าไม่พอใจข้าต้องขออภัยแทนนางด้วย”
“ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าหน้าเจ้าควรมีรอยเสียบ้างจะได้ไม่ขัดตาข้า”
“ได้โปรดกล่าวมาตามตรงได้หรือไม่ ว่าข้าไปทำอันใดให้เจ้าไม่พอใจ”
“หึ...ถึงยามนั้นเมื่อใดแล้วเจ้าจะรู้เอง ช่วงนี้เจ้าก็ควรฟังให้มากๆ กล่าววาจาให้น้อย” ชินอ๋องกล่าวก่อนจะเดินตรงไปยังสตรีสามคนที่ยังคงจับกลุ่มสนทนากัน
“ท่านราชเลขาหวงแหนเช่นนั้นไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะยังไม่มีคู่หมาย” หวังเยว่ฉิงกล่าว
“แต่หากข้าเป็นบุรุษ ข้าคงยินดีที่จะรับดูแลน้องสาวต่อจากเขา ชิงหนี่ว์น่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ ใครบ้างจะไม่อยากแต่งเข้าจวน” คอยดูเถิดหากข้าหาวิธีที่จะทำให้ตนเองกลายเป็นบุรุษได้ ข้านี่แหละจะแต่งนางเข้าจวนเอง
คุณชายหน้าเหม็นพวกนั้นไม่เหมาะกับหยกล้ำค่าเช่นจางชิงหนี่ว์หรอก
“มันก็เป็นได้แค่เรื่องสมมติ เพราะสตรีอย่างไรก็กลายเป็นบุรุษไม่ได้” เสียงทุ้มของบุรุษที่แทรกเข้ามาในบทสนทนาทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ