เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น
"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"
จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียว
นางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต มันคือความเงียบแห่งการเริ่มต้นบทใหม่ที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่เสี่ยวชุ่ยยังคงจมอยู่กับความหวาดกลัว จ้าวลี่อิงกลับเริ่มต้นการ "ชันสูตร" สภาพแวดล้อมของนางอย่างเงียบเชียบ จิตวิญญาณของแพทย์นิติเวชในร่างของนางตื่นขึ้นทำงานอย่างเต็มรูปแบบ
นางหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อแยกแยะกลิ่นในอากาศ... กลิ่นแรกคือกลิ่นของเครื่องเรือนไม้ที่เพิ่งลงรักใหม่ๆ กลิ่นผ้าไหมผืนใหม่ และกลิ่นสีแดงของเครื่องตกแต่งมงคลที่ยังสดใหม่อยู่ แต่ภายใต้กลิ่นฉาบฉวยเหล่านั้น นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นจางๆ ที่เก่ากว่า... กลิ่นอับชื้นเล็กน้อยของสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย กลิ่นยาต้มสมุนไพรที่ดูเหมือนจะซึมลึกเข้าไปในเนื้อไม้ และ... กลิ่นหอมหวานของบุปผาชนิดหนึ่งที่อบอวลอยู่อย่างแผ่วเบาจนแทบจับไม่ได้ มันเป็นกลิ่นที่หวานเลี่ยนจนผิดที่ผิดทาง ไม่เข้ากับบรรยากาศอันเคร่งขรึมของจวนแห่งนี้เลย
นางลืมตาขึ้น เดินไปรอบๆ ห้องอย่างเชื่องช้า แสร้งทำเป็นชื่นชมความงามของเครื่องเรือน ทว่าปลายนิ้วของนางกลับลูบไล้ไปตามผิวไม้ทุกชิ้นอย่างมีเป้าหมาย นางสัมผัสได้ถึงฝุ่นละอองบางๆ ที่เกาะอยู่ตามซอกหลืบของโต๊ะและเก้าอี้ เป็นฝุ่นที่บ่งบอกว่าแม้ห้องนี้จะถูกทำความสะอาดอย่างดีเพื่อรับนาง แต่ก็ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานพอสมควร
สายตาของนางกวาดไปทั่วทุกตารางนิ้ว ไม่ใช่เพื่อชื่นชมลายสลัก แต่เพื่อมองหาร่องรอย... รอยขีดข่วนบนพื้นไม้, รอยบิ่นบนขอบโต๊ะ, ตำแหน่งของหน้าต่างและประตู, ความแข็งแรงของตัวล็อค นางกำลังสร้างแผนผังของเรือนจื่อเวยขึ้นในใจอย่างละเอียด
แล้วนางก็เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าไม้ขนาดใหญ่ มันเป็นตู้ที่งดงาม ทว่าให้ความรู้สึกหนักอึ้งและน่าเกรงขาม นางเปิดมันออกอย่างช้าๆ ภายในนั้นว่างเปล่า มีเพียงกลิ่นการบูรจางๆ ทว่าจมูกของนางกลับจับกลิ่นหอมหวานของบุปผาชนิดเดิมได้ชัดเจนขึ้นจากในตู้นี้ นางเริ่มต้นสำรวจภายในอย่างพิถีพิถัน... และแล้วปลายนิ้วของนางก็สัมผัสเข้ากับบางสิ่ง...
ที่มุมในสุดของลิ้นชักล่างสุด มีถุงผ้าไหมขนาดเล็กเท่าฝ่ามือซุกซ่อนอยู่ มันเป็นถุงเครื่องหอมที่เก่าและสีซีดจาง เมื่อนางหยิบมันขึ้นมา กลิ่นหอมหวานนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น มันคือกลิ่นของดอกการ์ดิเนีย หรือดอกพุดซ้อนที่ถูกตากแห้งไว้... กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์และติดทนนาน
นี่คือร่องรอยของผู้อยู่อาศัยคนก่อน... พระชายาที่สิ้นใจไปอย่างปริศนา นางคงจะโปรดปรานกลิ่นหอมนี้มากจนกลิ่นของมันยังคงหลงเหลืออยู่จนบัดนี้ จ้าวลี่อิงกำถุงหอมนั้นไว้ในมือ ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นผ่านร่างของนางไปวูบหนึ่ง... นี่คือคำเตือนที่ไร้สุ้มเสียงจากผู้ที่จากไป
วันเวลาในเรือนจื่อเวยผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเงียบเชียบ ทุกเช้า หัวหน้าแม่บ้านหวัง สตรีอาวุโสผู้มีใบหน้าเย็นชาคนเดิม จะมาเยือนนางพร้อมกับสาวใช้ที่นำสำรับอาหารมาให้ นางจะกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ท่านอ๋องยังคงติดราชการสำคัญ" และแจ้งกฎเกณฑ์ต่างๆ ว่าห้ามพระชายาออกนอกเขตเรือนจื่อเวยโดยไม่ได้รับอนุญาต จ้าวลี่อิงจะตอบสนองด้วยท่าทีเหม่อลอยและหวาดกลัวเล็กน้อย เป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ "คุณหนูโง่เขลา" ในสายตาของคนทั้งจวนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
นางใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการ "เดินเล่น" อย่างไร้จุดหมายภายในสวนของเรือนจื่อเวย ในสายตาของเสี่ยวชุ่ยและสาวใช้คนอื่นๆ นางเป็นเพียงคุณหนูผู้น่าสงสารที่ถูกทอดทิ้งและกำลังเบื่อหน่าย ทว่าแท้จริงแล้ว ทุกย่างก้าวของนางคือการวัดระยะ ทุกการหยุดชะงักคือการสังเกตการณ์ นางกำลังจดจำเส้นทางการเดินของทหารยามที่อยู่นอกกำแพง ประเมินความสูงของกำแพง และมองหาจุดอับสายตาที่อาจใช้เป็นประโยชน์ได้ในอนาคต
จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง... วันที่อากาศขมุกขมัวและมีหมอกลงจางๆ ความเงียบสงบอันจอมปลอมของจวนฉินอ๋องก็ได้ถูกทำลายลง
ขณะที่จ้าวลี่อิงกำลังนั่งอยู่ในศาลาริมสวน แสร้งทำเป็นโปรยอาหารให้ปลาในสระบัว นางก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของกำแพงที่กั้นเขตเรือนของนางไว้ มันไม่ใช่เสียงดังโจ่งแจ้ง แต่เป็นเสียงของความโกลาหลที่ถูกพยายามกดให้เงียบที่สุด
สัญชาตญาณของนางตื่นตัวขึ้นทันที นางลุกขึ้นเดินไปตามแนวกำแพง ทำทีเป็นเดินชมดอกไม้ แต่สายตากลับสอดส่ายหาช่องทางที่จะมองเห็นเหตุการณ์ภายนอกได้ และแล้วนางก็พบ...ช่องว่างเล็กๆ ระหว่างพุ่มไม้หนาทึบกับกำแพงหิน
นางแอบมองผ่านช่องว่างนั้น...
ภาพที่เห็นทำให้นางต้องสะกดลมหายใจ กลุ่มคนรับใช้ชายหญิงสี่ห้าคนกำลังออกแรงช่วยกันดึงร่างของใครบางคนขึ้นมาจากบ่อน้ำเก่าท้ายจวน ร่างนั้นเปียกโชกและอ่อนปวกเปียก เมื่อถูกนำขึ้นมาวางบนพื้นหญ้าได้สำเร็จ นางจึงเห็นว่าเป็นร่างของสาวใช้คนหนึ่งในชุดสีเทาซีด
"นางตายแล้ว! นางตายแล้ว!" เสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก
"เงียบนะ! เดี๋ยวคนก็ได้ยินกันทั่วพอดี!" อีกเสียงหนึ่งตวาดปราม "นางคงจะลื่นพลัดตกลงไปเอง รีบไปรายงานท่านหัวหน้าแม่บ้านเร็วเข้า!"
อุบัติเหตุ... ทุกคนสรุปเช่นนั้น
ทว่าดวงตาของจ้าวลี่อิง ซึ่งบัดนี้คมกริบดุจมีดหมอ กลับมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น...
สมองของนางประมวลผลภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวกับภาพถ่ายทางนิติเวช...
หนึ่ง สภาพศพ... แม้จะมองจากระยะไกล แต่ลักษณะการเกร็งของกล้ามเนื้อบางส่วนดูผิดปกติสำหรับคนจมน้ำตายทั่วไป
สอง ร่องรอย... ขณะที่คนอื่นๆ กำลังมุงดูใบหน้าที่ซีดขาวของเหยื่อ สายตาของนางกลับจับจ้องไปที่ข้อมือและลำคอของศพ นางเห็นรอยช้ำสีคล้ำเป็นจ้ำๆ ที่บริเวณข้อมือทั้งสองข้าง...เป็นรอยที่เหมือนถูกบีบหรือจับกดอย่างรุนแรง และที่ลำคอ...มีรอยแดงจางๆ เป็นทางยาว
สาม สิ่งแวดล้อม... บริเวณขอบบ่อน้ำมีร่องรอยการดิ้นรน มีเศษหินเล็กๆ กระเด็นไปผิดที่ผิดทาง และมีรอยครูดบนพื้นดินที่ชื้นแฉะ
และข้อสังเกตสุดท้ายที่สำคัญที่สุด... มือข้างหนึ่งของผู้ตายกำแน่นผิดปกติ... กำแน่นราวกับว่ากำลังกำอะไรบางอย่างไว้ข้างในจนวาระสุดท้ายของชีวิต
อุบัติเหตุหรือ? ไม่มีทาง!
จ้าวลี่อิงถอยห่างออกมาจากกำแพงอย่างเงียบเชียบ กลับมานั่งลงในศาลาด้วยท่าทีสงบนิ่งดังเดิม หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความตื่นตัวของสัญชาตญาณนักสืบสวน
รอยช้ำจากการถูกพันธนาการที่ข้อมือ... รอยรัดที่ลำคอ... ร่องรอยการต่อสู้... และมือกำแน่น... ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ไปในทิศทางเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ไม่ใช่การพลัดตกบ่อน้ำ... แต่นี่คือการฆาตกรรม!
เหยื่อถูกสังหาร ณ ที่อื่น หรือถูกทำให้หมดสติที่ขอบบ่อ ก่อนจะถูกโยนทิ้งลงไปเพื่อจัดฉากให้เป็นการจมน้ำตาย
ไม่นานนัก ทหารองครักษ์สองนายก็มาถึงที่เกิดเหตุ พวกเขาสั่งให้ทุกคนสลายตัว แล้วนำร่างของสาวใช้ผู้โชคร้ายนั้นไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ เรื่องราวทั้งหมดถูกจัดการให้จบลงอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จ้าวลี่อิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม โปรยอาหารปลาต่อไปราวกับมิได้รับรู้สิ่งใด ทว่าในใจของนางนั้นกลับไม่สงบอีกต่อไป
ความเงียบสงบในจวนฉินอ๋อง...ได้ถูกฉีกกระชากด้วยเสียงกรีดร้องที่ไร้สุ้มเสียงของคนตาย และนาง...คือคนเดียวที่ได้ยิน
ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา
ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา
เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ
อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร
เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก