แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: yourcaffeine
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-28 12:53:09

 

กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคล

จ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆ

ชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิต

เมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว นางมองเงาสะท้อนของตนในกระจกทองเหลืองอย่างสงบเงียบ สตรีในกระจกนั้นงดงามจนน่าใจหาย ทว่าดวงตากลับว่างเปล่าและเลื่อนลอย เป็นการแสดงบทสุดท้ายในจวนเสนาบดีที่นางจะต้องทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด

ก่อนจะออกจากเรือน ฮูหยินรองและจ้าวลี่ซินได้เข้ามาหานางตามธรรมเนียม ฮูหยินรองปั้นหน้าเศร้าสลด บีบน้ำตาออกมาสองสามหยดพลางลูบมือนาง "ถึงจวนอ๋องแล้ว จงปรนนิบัติท่านอ๋องให้ดีนะลี่อิง นั่นคือหน้าที่ของภรรยา" นางกระซิบ ทว่าแววตาที่มองมานั้นกลับเต็มไปด้วยความสมหวังและเย้ยหยัน จ้าวลี่ซินยืนอยู่ข้างหลังมารดา มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแห่งผู้ชนะอย่างไม่ปิดบัง

จ้าวลี่อิงเพียงพยักหน้ารับช้าๆ มิได้เอ่ยวาจาใด

เกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหามจอดรออยู่ที่หน้าจวน มันคือเกี้ยวเกียรติยศสูงสุดสำหรับพระชายาเอก ทว่าบรรยากาศกลับมิได้เปี่ยมด้วยความยินดี แต่เต็มไปด้วยความสงบจนน่าอึดอัด นางก้าวเข้าไปในเกี้ยวอย่างเชื่องช้า ม่านสีแดงสดถูกปลดลง ปิดกั้นนางจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์

เกี้ยวเริ่มเคลื่อนตัว นางได้ยินเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีจอมปลอมจากภายนอก ได้ยินเสียงประทัดที่ดังขึ้นเป็นระยะ ทว่าภายในเกี้ยวอันคับแคบและอบอ้าวนั้น มีเพียงความเงียบงันและความคิดของนางที่ล่องลอยไป การเดินทางครั้งนี้คือการย้ายจากคุกทองแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งที่ใหญ่กว่าและอันตรายกว่า จวนเสนาบดีนั้นเต็มไปด้วยแผนการร้ายอันซ่อนเร้น แต่จวนของฉินอ๋องเล่า...จะเป็นเช่นไร สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นรังของอสูรร้ายผู้พิการและมีพระชายาคนก่อนตายอย่างปริศนา มันคือสนามรบแห่งใหม่ที่นางจะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ของมันให้เร็วที่สุด

การเดินทางดูเหมือนจะยาวนานชั่วนิรันดร์ ในที่สุดเกี้ยวก็หยุดลง แต่สิ่งที่นางคาดหวังว่าจะได้ยิน...เสียงดนตรีมงคล เสียงต้อนรับขับสู้ กลับไม่มีเลย มีเพียงความเงียบที่หนักอึ้งเสียจนน่าพรั่นพรึง

ม่านเกี้ยวถูกเลิกขึ้นโดยสาวใช้จากจวนอ๋อง นางมีใบหน้าที่เรียบเฉยและเย็นชา จ้าวลี่อิงก้าวเท้าลงจากเกี้ยว สิ่งแรกที่นางสัมผัสได้ไม่ใช่ความอบอุ่นของการต้อนรับ แต่เป็นไอเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากทุกอณูของสถานที่แห่งนี้

จวนฉินอ๋องนั้นแตกต่างจากจวนเสนาบดีโดยสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีสวนบุปผาที่งดงาม ไม่มีศาลาริมน้ำที่อ่อนช้อย สถาปัตยกรรมทุกอย่างล้วนเป็นเส้นตรง แข็งแกร่ง และเคร่งขรึมประดุจค่ายทหารขนาดใหญ่ เสาแต่ละต้นสูงตระหง่าน หลังคาชายคากระดกขึ้นอย่างองอาจดุจปลายกระบี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีเทาและดำ ตัดกับสีแดงของชุดวิวาห์ที่นางสวมใส่อยู่ราวกับหยดเลือดบนคมดาบ บรรดาบ่าวไพร่และทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ตามรายทางต่างมีใบหน้าที่เรียบเฉยและสายตาที่คมปลาบ พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบและมีระเบียบวินัย กลิ่นอายที่อบอวลอยู่ในอากาศไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ แต่เป็นกลิ่นไม้จันทน์จางๆ กลิ่นโลหะ และกลิ่นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาอันฉุนเฉียว

นางถูกนำทางโดยสตรีอาวุโสผู้เป็นหัวหน้าแม่บ้านแห่งจวนฉินอ๋อง นางมีใบหน้าเย็นชาและดวงตาที่ประเมินนางอย่างไม่ปิดบัง นางเดินไปตามทางเดินหินอันกว้างขวาง ผ่านเหล่าทหารยามที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปสลัก จนกระทั่งมาถึงโถงประกอบพิธี

ภาพที่เห็นทำให้นางต้องสะกดกลั้นความประหลาดใจไว้ภายใน โถงพิธีอันกว้างใหญ่กลับดูโล่งโหวงเหวงแทบจะร้างผู้คน นอกจากนางและเสี่ยวชุ่ยที่เดินตามมาห่างๆ แล้ว ก็มีเพียงข้ารับใช้และทหารองครักษ์ไม่ถึงยี่สิบคนยืนประจำตำแหน่งอยู่เงียบๆ ไม่มีแขกเหรื่อผู้มีเกียรติ ไม่มีขุนนางผู้ใหญ่ ไม่มีแม้แต่ตัวแทนจากวังหลวง บ่งบอกอย่างชัดเจนว่านี่คือพิธีวิวาห์ที่ถูกจัดขึ้นเพียงให้ผ่านพ้นไปตามราชโองการเท่านั้น เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าเจ้าบ่าวหาได้ให้เกียรติเจ้าสาวของตนแม้แต่น้อยไม่

และณ ใจกลางโถงพิธีนั้นเอง...นางก็ได้เห็นเขาเป็นครั้งแรก

บุรุษผู้นั้นนั่งอยู่บนรถเข็นที่ทำจากไม้สีดำขลับประดับด้วยโลหะสีนิล เขาสวมอาภรณ์วิวาห์สีแดงสดเช่นเดียวกับนาง แต่สีแดงนั้นกลับขับเน้นให้ใบหน้าของเขาดูซีดขาวและเย็นชายิ่งขึ้นไปอีก แม้จะนั่งอยู่บนรถเข็น ทว่าแผ่นหลังของเขากลับตั้งตรงสง่า ท่วงท่ามิได้บ่งบอกถึงความอ่อนแอ แต่แผ่รังสีแห่งอำนาจอันน่าเกรงขามออกมาอย่างเงียบงัน

ใบหน้าของเขาประหนึ่งถูกสวรรค์บรรจงสลักเสลาขึ้นอย่างพิถีพิถัน สันกรามคมคาย จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักลึกที่เม้มสนิทเป็นเส้นตรง หากแต่สิ่งที่ตรึงสายตาที่สุดคือนัยเนตรคู่นั้น...ดวงตาของเขาดำสนิทและลึกล้ำราวกับทะเลสาบในฤดูเหมันต์ มันนิ่งสงบจนดูไร้ชีวิตชีวา ทว่าลึกลงไปภายใต้ความเยือกแข็งนั้นกลับซ่อนประกายแห่งปัญญาอันคมกริบและอำนาจการประหัตประหารที่พร้อมจะตื่นขึ้นทุกเมื่อ มือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนที่วางแขน เป็นมือของนักดาบอย่างไม่ต้องสงสัย...นิ้วเรียวยาว ข้อนิ้วหนาใหญ่ แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยพลัง

เขาคือฉินอ๋องเจิ้งหยาง...อสูรร้ายในบัลลังก์รถเข็น

พิธีเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว จ้าวลี่อิงทำตามคำสั่งของหัวหน้าแม่บ้านผู้นั้นอย่างเชื่องช้า นางก้มลงคำนับฟ้าดิน คำนับทิศทางที่ตั้งของวังหลวง และสุดท้ายคือการคำนับระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาว

ในช่วงเวลาที่นางย่อตัวลงคำนับเขา ศีรษะก้มต่ำตามธรรมเนียม สายตาของฉินอ๋องจึงได้ทอดมองนางอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก มันไม่ใช่สายตาของบุรุษที่มองภรรยา แต่เป็นสายตาของผู้บังคับบัญชาที่กำลังประเมินทรัพย์สินชิ้นใหม่ เขากวาดตามองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เห็นเพียงใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มจนหนาเตอะและท่าทีที่เหม่อลอยว่างเปล่าอันเป็นที่เลื่องลือ เขามองเห็น "คุณหนูโง่เขลา" ตามที่ข่าวลือว่าไว้ทุกประการ ประกายตาของเขาวาบขึ้นด้วยความดูแคลนและเบื่อหน่ายชั่วขณะ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเฉยเมยดังเดิม แล้วเขาก็เบือนสายตาหนีไป ราวกับว่านางไม่มีค่าพอให้เขามองนานกว่านั้น

เมื่อพิธีสิ้นสุดลง ความเงียบอันน่าอึดอัดก็เข้าครอบงำอีกครั้ง ฉินอ๋องไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ กับนางแม้แต่คำเดียว เขาเพียงยกมือขึ้นทำสัญญาณเล็กน้อยกับหัวหน้าแม่บ้านของเขา

สตรีผู้เป็นหัวหน้าแม่บ้านจึงก้าวออกมาข้างหน้า แล้วกล่าวกับจ้าวลี่อิงด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก "ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ส่งพระชายาไปพักผ่อนที่เรือนจื่อเวย ท่านอ๋องมีราชการต้องสะสาง จะมิทรงไปรบกวน"

ทุกถ้อยคำคือการประกาศกร้าวแห่งการปฏิเสธ คือความอัปยศที่มอบให้แก่เจ้าสาวในคืนวิวาห์

จ้าวลี่อิงก้มหน้ารับคำสั่งนั้นอย่างเงียบงัน นางมิได้แสดงอาการใดๆ ออกมา ยังคงสวมบทบาทของคุณหนูผู้ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งใดได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นนางก็ถูกนำตัวออกจากโถงพิธี เดินตามทางเดินอันเยียบเย็น ลึกเข้าไปในเขตของจวนอ๋องที่ห่างไกลออกไป

เรือนจื่อเวยตั้งอยู่เกือบท้ายสุดของอาณาบริเวณทั้งหมด มันเป็นเรือนขนาดกะทัดรัดที่งดงามและเงียบสงบ ถูกล้อมรอบด้วยสวนสวยที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทว่าความงดงามนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนถูกเนรเทศมากกว่าการให้เกียรติ

เมื่อนางก้าวเข้าไปในห้องหอที่ถูกจัดเตรียมไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสีแดงมงคลตามประเพณี มีผ้าปักลายมังกรหงส์ มีเทียนคู่มงคลจุดสว่างไสว มีผลไม้และสุรามงคลวางเตรียมไว้บนโต๊ะ ทว่าห้องทั้งห้องกลับให้ความรู้สึกว่างเปล่าและเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ เสี่ยวชุ่ยยืนรออยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดและดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

บานประตูไม้หนักอึ้งถูกปิดลงจากด้านนอก ตัดขาดนางจากโลกของจวนอ๋องโดยสมบูรณ์

บัดนี้ นางคือพระชายาจ้าวลี่อิงแห่งจวนฉินอ๋องโดยสมบูรณ์แล้ว

นางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต มันคือความเงียบแห่งการเริ่มต้น

 

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 9

    ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 8

    ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 7

    เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 6

    กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 5

    อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 4

    เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status