ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา
ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา
เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ
อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร
เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก