อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษ
เมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับ
นางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร่างกายด้วยตนเอง นางจะดื่มมันเข้าไปเพียงน้อยนิด พอให้ร่างกายยังคงแสดงอาการป่วยไข้เรื้อรังต่อไป เพื่อเป็นเกราะกำบังอันสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ไม่มากพอที่จะทำลายระบบภายในไปมากกว่าที่เป็นอยู่ มันคือการเดินบนเส้นด้ายอันบางเฉียบระหว่างความเป็นและความตาย เป็นการพนันที่นางต้องวางเดิมพันด้วยชีวิตของตนเอง
"คุณหนูเจ้าคะ ดื่มยาเถิดนะ" เสียงของเสี่ยวชุ่ยปลุกนางจากภวังค์
จ้าวลี่อิงเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ผู้ภักดี ดวงตาของนางดูเลื่อนลอยไร้ประกายเช่นเคย ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาบางเบา เป็นรอยยิ้มอันว่างเปล่าของคนสติไม่สมประกอบ นางพยักหน้าอย่างเชื่องช้า แล้วยื่นมือออกไปรับชามยามาถือไว้เอง
การกระทำนั้นทำให้เสี่ยวชุ่ยแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยินดีที่คุณหนูของนางดูจะว่าง่ายขึ้น
จ้าวลี่อิงยกชามขึ้นจรดริมฝีปากอย่างแช่มช้า บังคับมือที่สั่นเทาของตนให้นิ่งที่สุด นางใช้ริมฝีปากสัมผัสของเหลวในชาม รับรสขมขื่นและกลิ่นโลหะจางๆ ที่คุ้นเคยเข้ามาเต็มโพรงจมูก จากนั้นนางจึงค่อยๆ จิบมันเข้าไปเพียงอึกเล็กๆ เล็กจนแทบไม่มีปริมาณใดไหลผ่านลำคอลงไปได้จริง แต่ก็มากพอที่จะทิ้งคราบยาไว้บนริมฝีปากและในปากของนางได้ แล้วนางก็ยื่นชามที่พร่องไปเพียงน้อยนิดนั้นคืนให้เสี่ยวชุ่ย พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ พึมพำเสียงอู้อี้ว่า "ขม...ไม่เอาแล้ว"
เสี่ยวชุ่ยถอนหายใจอย่างอ่อนใจ แต่ก็มิได้บังคับอันใดอีก นางเห็นว่าอย่างน้อยคุณหนูของนางก็ยอมดื่มเข้าไปบ้างแล้ว จึงรับชามยาคืนแล้วนำออกไปแต่โดยดี
เมื่ออยู่ตามลำพัง จ้าวลี่อิงจึงใช้ผ้าเช็ดหน้ำที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อเช็ดริมฝีปากของตนอย่างแนบเนียน นี่คือฉากแรกของละครบทใหม่ที่นางจะต้องแสดงไปอีกนานแสนนาน
วันเวลาผันผ่านไปในจวนเสนาบดี ชีวิตของจ้าวลี่อิงดำเนินไปภายใต้หน้ากากแห่งความโง่เขลาที่นางบรรจงสร้างให้แนบเนียนขึ้นทุกวัน นางไม่ได้เป็นเพียงคุณหนูที่ป่วยไข้และเหม่อลอยอีกต่อไป แต่ยังเพิ่มมิติของความวิปลาสอันไร้เดียงสาเข้าไปด้วย บางวันนางจะนั่งหัวเราะคิกคักกับเงาของตัวเองที่ทอดอยู่บนพื้น บางครั้งก็ลุกขึ้นไล่จับละอองฝุ่นที่ลอยล่องอยู่ในลำแสงแดดอย่างสนุกสนาน พูดจาไม่เป็นประโยคกับเหล่าบุปผาในสวน การกระทำเหล่านี้ในสายตาของผู้อื่นคืออาการที่ทรุดหนักลงของคนสติฟั่นเฟือน แต่สำหรับนางแล้ว มันคือการสร้างเกราะป้องกันตัวที่หนาแน่นยิ่งขึ้น ทำให้ไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของนางได้ถูก
เป้าหมายหลักในการสังเกตการณ์ของนางคือฮูหยินรอง ผู้ซึ่งนางสันนิษฐานว่าเป็นผู้ควบคุมแผนการทั้งหมดนี้อยู่เบื้องหลัง ฮูหยินรองยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมนางเป็นประจำ พร้อมด้วยรอยยิ้มอันอ่อนหวานและถ้อยคำปลอบประโลมที่เคลือบไว้ด้วยน้ำผึ้ง
บ่ายวันหนึ่งขณะที่ฮูหยินรองกำลังนั่งลงข้างเตียงของนาง เอ่ยถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วงจอมปลอม จ้าวลี่อิงซึ่งกำลังนั่งมองเปลวเทียนในตะเกียงอย่างเลื่อนลอย ก็พลันหันขวับมาจ้องมองปิ่นหยกรูปหงส์ที่ประดับอยู่บนมวยผมของฮูหยินรองอย่างไม่วางตา ดวงตาของนางเบิกกว้างราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งเคยเห็นของเล่นชิ้นใหม่เป็นครั้งแรก
ก่อนที่ฮูหยินรองจะทันได้เอ่ยคำใดต่อ มือของจ้าวลี่อิงก็เอื้อมไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วของนางสัมผัสกับเนื้อหยกอันเย็นเฉียบของปิ่นนั้นอย่างแผ่วเบา เป็นการกระทำที่ข้ามผ่านมารยาทและระยะห่างอันเหมาะสมโดยสิ้นเชิง
แววตาของฮูหยินรองแข็งกระด้างขึ้นชั่ววูบ กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกอำพรางไว้ด้วยรอยยิ้มอันนุ่มนวลอย่างรวดเร็ว นางหัวเราะเบาๆ "เจ้าชอบปิ่นอันนี้หรือลี่อิง หากเจ้าหายดีแล้ว แม่จะหาอันที่สวยกว่านี้ให้เจ้านะ" นางค่อยๆ ปัดมือนางออกอย่างนุ่มนวล ทว่าสายตานั้นแฝงไว้ด้วยความรำคาญและรังเกียจอย่างปิดไม่มิด
จ้าวลี่อิงเก็บข้อมูลปฏิกิริยานั้นไว้ในใจอย่างเงียบงัน...นางได้เห็นรอยร้าวบนหน้ากากอันสมบูรณ์แบบของอสรพิษแล้ว
"ท่านแม่! ดูนางทำเข้าสิ ช่างไร้มารยาทเสียจริง!" เสียงแหลมของจ้าวลี่ซินดังขึ้นจากประตูห้อง นางเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้คนสนิท มองน้องสาวต่างมารดาด้วยแววตาหยามเหยียด
"ช่างเถิดซินเอ๋อร์ น้องป่วยอยู่ อย่าไปถือสานางเลย" ฮูหยินรองเอ่ยขึ้น พลางจัดมวยผมของตนให้เข้าที่
จ้าวลี่อิงแสร้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดของพี่สาว นางหันกลับไปสนใจเปลวเทียนดังเดิม ทว่าใบหูของนางกลับกางออกเพื่อรอรับฟังทุกถ้อยคำสนทนา
"อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงพิธีสมรสแล้ว สภาพของนางยังเป็นเช่นนี้ จะไม่ทำให้จวนเราขายหน้าหรือเจ้าคะ" ลี่ซินกล่าวอย่างไม่พอใจ
"ขายหน้าก็ดีกว่าเก็บไว้ให้รกหูรกตาในจวนมิใช่หรือ การที่นางได้ไปเป็นพระชายาของอ๋องฉินผู้พิการอารมณ์ร้ายนับว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว อย่างน้อยก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ดีกว่าตายอย่างอนาถาอยู่ในห้องนี้" ฮูหยินรองตอบด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลง แต่ยังคงดังพอที่จ้าวลี่อิงจะได้ยินอย่างชัดเจน
ทุกถ้อยคำกรีดลึกลงไปในใจ ทว่าบนใบหน้าของนางยังคงเรียบเฉย ว่างเปล่า ประหนึ่งว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น
ข่าวการสมรสของนางกับฉินอ๋องแพร่สะพัดไปทั่วทั้งจวน สร้างความปีติยินดีให้กับฝ่ายของฮูหยินรอง และสร้างความสมเพชเวทนาในหมู่บ่าวไพร่ สำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันคือเส้นตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะ
แล้ววันหนึ่งที่นางมิได้คาดคิดก็มาถึง...ท่านเสนาบดีจ้าว บิดาผู้ให้กำเนิด ได้มีรับสั่งให้นางเข้าพบ
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่บิดาเรียกหานางเป็นการส่วนตัว นางเดินตามมหาดเล็กไปยังเรือนหนังสือของเขาด้วยหัวใจที่สงบนิ่ง ทว่าก็อดรู้สึกถึงความประหม่าเล็กน้อยไม่ได้ เรือนหนังสือของเสนาบดีใหญ่คือศูนย์กลางอำนาจของจวนแห่งนี้ อบอวลไปด้วยกลิ่นกระดาษเก่า หมึก และอำนาจที่มองไม่เห็น ชั้นหนังสือสูงจรดเพดานอัดแน่นไปด้วยตำราและม้วนเอกสาร โต๊ะทำงานตัวใหญ่ทำจากไม้เนื้อดำขัดเงาวับตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง
เสนาบดีจ้าวนั่งอยู่หลังโต๊ะนั้น เขามิได้เงยหน้าขึ้นมองนางในทันทีที่นางเดินเข้าไป แต่ยังคงก้มหน้าเขียนสารฉบับหนึ่งต่อไป ปล่อยให้นางยืนรออยู่เช่นนั้น เป็นการแสดงอำนาจอย่างเงียบงัน
จ้าวลี่อิงยืนสงบนิ่งอยู่กลางห้อง สวมบทบาทคนโง่เขลาที่หวาดกลัวและสับสนได้อย่างไร้ที่ติ
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม เขาจึงวางพู่กันลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองนางเป็นครั้งแรก นัยเนตรของเขาคมกริบและเย็นชา ปราศจากความรักใคร่ฉันบิดาต่อบุตรีโดยสิ้นเชิง เขามองนางประหนึ่งกำลังประเมินราคาสินค้าชิ้นหนึ่ง
"ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ เพราะมีเรื่องจะกำชับ" น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและทรงอำนาจ "ราชโองการสมรสคือพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น แม้เจ้าจะมีสติปัญญาไม่สมประกอบ แต่ก็ยังนับว่ามีวาสนาที่ได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์"
เขามองลึกเข้ามาในดวงตาของนาง "ฉินอ๋องแม้จะพิการ แต่ก็ยังเป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้โปรดปราน การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนเสนาบดีของเรากับฝ่ายของเขาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น มันคือหน้าที่ของเจ้า คือชะตาของเจ้า และคือคุณูปการที่เจ้าจะทำให้แก่ตระกูลได้"
เขาไม่ถามถึงสุขภาพของนาง ไม่ถามว่านางเต็มใจหรือไม่ เขาพูดถึงเพียงผลประโยชน์และหน้าที่
จ้าวลี่อิงก้มหน้านิ่ง ดวงตาจ้องมองลายปักบนรองเท้าของตนเอง พยักหน้ารับเบาๆ แล้วเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "เจ้าค่ะ...ท่านพ่อ"
"ดี" เขากล่าวสั้นๆ "จงเตรียมตัวให้พร้อม อย่าสร้างเรื่องอันใดให้จวนเสนาบดีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอันขาด ออกไปได้แล้ว"
นั่นคือทั้งหมดของการสนทนา
จ้าวลี่อิงหมุนตัวเดินออกจากเรือนหนังสืออันน่าอึดอัดนั้นอย่างเชื่องช้า บานประตูไม้หนักอึ้งปิดลงเบื้องหลังนาง ตัดขาดนางออกจากบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาโดยสมบูรณ์
นางยังคงเดินต่อไปตามทางเดินที่ทอดยาว ใบหน้ายังคงเหม่อลอยและว่างเปล่าเพื่อตบตาทุกสายตาที่อาจจับจ้องมองมา ทว่าภายในใจของนางนั้น พายุแห่งความรู้สึกได้สงบลงแล้ว ความหวังริบหรี่สุดท้ายที่มีต่อสายใยครอบครัวได้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีชิ้นดี
ความรู้สึกที่เข้ามาแทนที่มิใช่ความเสียใจ แต่เป็นความรู้สึกอิสระอันเยือกเย็น ในเมื่อบิดาเห็นนางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งบนกระดานการเมือง เขาก็ไม่ต่างอะไรจากฮูหยินรองและจ้าวลี่ซิน...พวกเขาล้วนเป็นศัตรู
ในจวนเสนาบดีแห่งนี้ จ้าวลี่อิงไม่มีครอบครัวอีกต่อไป
มีเพียงศัตรู และหมากตาสุดท้ายที่นางต้องเดิน...เพื่อพลิกชะตากรรมของตนเอง
ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา
ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา
เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ
อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร
เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก