Share

บทที่ 9

Author: yourcaffeine
last update Last Updated: 2025-06-28 13:00:21

ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้น

คำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขา

มันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบ

จ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกัน

เขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาของเขาเสมอ ทว่ามันก็ยังมีเงามืดที่แม้แต่สายตาของเขาก็ยังส่องไปไม่ถึง...เงามืดที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจที่สูงส่งกว่าจากในวังหลวง การตายของนางกำนัลชุนเถานี้อาจเป็นเพียงคลื่นใต้น้ำลูกเล็กๆ ที่กำลังจะนำไปสู่มหันตภัยที่ใหญ่กว่านั้น

และคลื่นลูกนี้...จ้าวลี่อิงมองเห็นมันได้อย่างไร?

เขายกมือขึ้นเคาะโต๊ะเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงเคาะนั้นเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงไม่กี่คน แทบจะในทันที เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากมุมมืดของห้องอย่างเงียบกริบราวกับภูตผี เป็นบุรุษในชุดสีดำสนิทผู้มีนามว่า เฟยหลง เงาของฉินอ๋อง...ผู้เป็นทั้งหัวหน้าองครักษ์ลับและผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองของเขา

"ท่านอ๋อง" เฟยหลงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เสียงของเขาแหบต่ำและไร้ความรู้สึก

"ไปสืบเรื่องการตายของชุนเถาอีกครั้ง" ฉินอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยอำนาจเยียบเย็น "อย่างลับที่สุด"

เฟยหลงรับคำโดยไม่ถามเหตุผล

"ไม่ต้องชันสูตรศพอย่างเป็นทางการ" ฉินอ๋องกล่าวต่อ นัยน์ตาจับจ้องไปยังเปลวเทียนที่สั่นไหว "แต่ให้หาทางตรวจสอบ...ตามคำถามนั้น"

เฟยหลงชะงักไปเล็กน้อย เขาย่อมได้รับรายงานเรื่องพฤติกรรมประหลาดของพระชายาคนใหม่มาแล้ว แต่เขาก็ยังคงรับคำอย่างหนักแน่น "พ่ะย่ะค่ะ"

"และอีกเรื่อง" ฉินอ๋องเว้นจังหวะ "จับตาดูพระชายา...ทุกฝีก้าว ทุกคำพูด ทุกการกระทำ แต่อย่าให้นางรู้ตัวเด็ดขาด ข้าต้องการรู้ว่านางเป็นใครกันแน่...เป็นหมากที่ถูกส่งมา หรือเป็นผู้เล่นที่ซ่อนตัวอยู่"

"พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง" สิ้นเสียงรับคำ ร่างของเฟยหลงก็สลายหายไปในความมืดราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้นมาก่อน

ในขณะเดียวกัน จ้าวลี่อิงในเรือนจื่อเวยกำลังดำเนินชีวิตภายใต้หน้ากากของนางต่อไปอย่างสงบ นางรู้ดีว่าได้โยนหินลงไปในบ่อน้ำที่นิ่งสงบแล้ว สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือรอคอย...รอคอยดูว่าแรงกระเพื่อมนั้นจะส่งผลเช่นไร

สองวันต่อมา เฟยหลงกลับมารายงานผลในเรือนหนังสืออีกครั้งในยามดึกสงัดเช่นเคย

"เรียนท่านอ๋อง จากการตรวจสอบศพของชุนเถาอย่างลับที่สุด...ในปอดของนางไม่มีน้ำอยู่จริงพ่ะย่ะค่ะ" ทุกถ้อยคำของเฟยหลงคือการยืนยันข้อสงสัยของฉินอ๋อง "และพบบาดแผลเพิ่มเติมคือ กระดูกไฮออยด์ที่ลำคอแตกหัก ลักษณะสอดคล้องกับการถูกบีบรัดคออย่างรุนแรง"

ฉินอ๋องยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาของเขาทอประกายลึกล้ำขึ้น

"และที่สำคัญที่สุด...ในมือขวาของนางที่กำแน่นอยู่ บ่าวพบสิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ" เฟยหลงยื่นห่อผ้าเล็กๆ ส่งให้เจ้านายของตน

ฉินอ๋องรับมาแล้วคลี่ออกอย่างช้าๆ สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือกระดุมเม็ดหนึ่ง...มันไม่ใช่กระดุมธรรมดา แต่เป็นกระดุมที่ทำจากกระดูกสัตว์แกะสลักเป็นรูปเมฆมงคลอย่างประณีต เป็นงานฝีมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

"กระดุมชนิดนี้..." ฉินอ๋องพึมพำเสียงเย็น "เป็นกระดุมบนเสื้อคลุมของทหารยามหน่วยเหยี่ยวคำรณ...หน่วยที่ขึ้นตรงต่อจางซื่อเฟย"

ภาพทั้งหมดกระจ่างชัดในบัดดล...จางซื่อเฟยคงจะลงโทษนางกำนัลปากไวของตนรุนแรงเกินกว่าเหตุจนถึงแก่ความตาย แล้วจึงสั่งให้ทหารคนสนิทนำศพไปทิ้งบ่อน้ำเพื่ออำพรางความผิด

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในความคิดของฉินอ๋องในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ...จ้าวลี่อิงรู้ได้อย่างไร?

นางไม่ได้อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุพอที่จะมองเห็นรายละเอียดของศพได้ชัดเจนเพียงนั้น และต่อให้เห็น...ความรู้เรื่องน้ำในปอดไม่ใช่สิ่งที่สตรีในห้องหอพึงจะรู้ได้เลยแม้แต่น้อย

นางไม่ใช่คนโง่...แต่นางแสร้งทำเป็นโง่ได้อย่างแนบเนียนที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาในชีวิต คำถามคือ...เพื่ออะไร? นางต้องการอะไรจากเขา?

เขาต้องทดสอบนาง...ต้องกระเทาะเปลือกนอกอันวิปลาสนั้นออก เพื่อมองให้เห็นถึงแก่นแท้ที่อยู่ข้างใน

วันรุ่งขึ้น จ้าวลี่อิงได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันวิวาห์...เขามีรับสั่งให้นางไปเข้าพบที่เรือนหนังสือ

ข่าวนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่คนทั้งเรือนจื่อเวย โดยเฉพาะเสี่ยวชุ่ยที่ทั้งดีใจและหวาดกลัวระคนกันไป ส่วนจ้าวลี่อิงนั้นเพียงรับคำด้วยท่าทีเหม่อลอยเช่นเคย ทว่าภายในใจของนางกลับตื่นตัวขึ้นทันที...พญาเหยี่ยวได้โผลงมาจากฟากฟ้าแล้ว

นางถูกนำตัวมายังเรือนหนังสืออันน่าเกรงขามอีกครั้ง บรรยากาศในครั้งนี้แตกต่างจากตอนที่นางไปพบกับบิดา ที่นี่เยียบเย็นกว่า กดดันกว่า และเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่มองไม่เห็นของเจ้าของสถานที่อย่างแท้จริง

ฉินอ๋องนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของเขาเช่นเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือ บนโต๊ะด้านข้างนั้นมีกระดานหมากล้อมตั้งเตรียมเอาไว้แล้ว เขามองนางนิ่งๆ ด้วยนัยเนตรที่อ่านไม่ออก

"พระชายาคงจะเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในเรือนทั้งวัน" เขาเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่ก้องกังวาน "ได้ยินว่าคุณหนูในเมืองหลวงล้วนแต่มีความสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะด้านศิลปะสี่แขนง...ลองเล่นหมากล้อมกับข้าสักกระดานเป็นไร"

นี่คือการทดสอบ...จ้าวลี่อิงรู้ได้ในทันที

หมากล้อมคือเกมแห่งสติปัญญาและกลยุทธ์ หากนางเล่นอย่างเต็มความสามารถ ตัวตนของนางก็จะถูกเปิดโปงทันที แต่หากนางแสร้งเล่นอย่างโง่เขลา ก็อาจจะพลาดโอกาสสำคัญในการสื่อสารกับเขาไป

นางเลือกหนทางที่สาม...นางจะเล่นหมากล้อมในแบบของ "จ้าวลี่อิง"

นางพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า แล้วเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา การเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริงครั้งแรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

การเดินหมากของนางในช่วงแรกนั้นดูน่าหัวร่ออย่างสิ้นเชิง นางวางหมากลงบนกระดานอย่างไร้รูปแบบ ไร้ซึ่งกลยุทธ์ใดๆ บางครั้งก็วางลงในจุดที่ไม่มีความหมายทางการทหารแม้แต่น้อย เหมือนเด็กน้อยที่กำลังเล่นวางก้อนหินสีดำสลับขาวไปเรื่อยเปื่อย ฉินอ๋องมองดูการกระทำของนางด้วยสายตาเรียบเฉยดังเดิม แต่ลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นคือการวิเคราะห์อย่างไม่ลดละ

ทว่าเมื่อเกมดำเนินไปได้ประมาณยี่สิบตาเดิน ท่ามกลางการวางหมากอันสะเปะสะปะของนางนั้น...พลันมีหมากหนึ่งตัวที่ถูกวางลงในตำแหน่งที่ดู "โง่เง่า" ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

มันเป็นตำแหน่งที่ดูเหมือนการฆ่าตัวตายทางการทหาร เปิดช่องโหว่ขนาดใหญ่และไม่สร้างประโยชน์ใดๆ เลย...ในสายตาของผู้เล่นทั่วไป

แต่สำหรับยอดนักกลยุทธ์อย่างฉินอ๋องแล้ว...หมากตานั้นกลับทำให้เขาชะงักงันไปชั่วขณะ

มือที่กำลังจะคีบหมากสีขาวขึ้นมาวางของเขาหยุดค้างอยู่กลางอากาศ นัยเนตรของเขาหรี่ลงเล็กน้อย จ้องมองไปยังหมาก "โง่เง่า" ตัวนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์...มันเป็นหมากที่ทำลายกลุ่มหมากที่อ่อนแอของนางเองก็จริง ทว่าในขณะเดียวกัน...มันกลับเป็นการวางหมาก "เทะซึจิ" ที่ลึกล้ำที่สุด เป็นการสละหมากเล็กเพื่อสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นขึ้นมา ตัดเส้นทางลำเลียงของกลุ่มหมากขนาดใหญ่ของเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกระดานได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

มันคือการเดินหมากที่มองการณ์ไกลไปข้างหน้าถึงสามสิบตาเดิน เป็นการเดินหมากที่เปี่ยมด้วยปฏิภาณไหวพริบและความอำมหิต...เป็นประกายแห่งอัจฉริยภาพที่สว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืดมนของความโง่เขลา

บัดนี้เขามั่นใจแล้ว

สตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา...ไม่ใช่คนโง่ แต่นางคืออัจฉริยะในการซ่อนคม...เป็นนักแสดงที่แนบเนียนที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ

เขาไม่จำเป็นต้องเล่นเกมนี้ต่ออีกแล้ว การทดสอบสิ้นสุดลง เขาแสร้งทำเป็นปัดมือไปโดนชามหมากเบาๆ ทำให้เม็ดหมากสองสามเม็ดกระเด็นลงจากกระดาน เป็นการจบเกมลงอย่างนุ่มนวล

"ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจกติกานัก" เขาเอ่ยเสียงเรียบ "เอาไว้ค่อยเล่นกันใหม่วันหลังเถิด"

แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน นัยเนตรของเขามองตรงมาที่นางอย่างมีความหมายลึกซึ้ง "เรือนจื่อเวยของเจ้าออกจะเงียบเหงาไป...หากเบื่อหน่าย ก็มาที่ห้องหนังสือของข้าได้ ที่นี่มีตำรามากมายให้อ่านเล่น"

มันคือคำเชิญ...คือการยื่นกิ่งมะกอก...คือการเปิดประตูสู่ศูนย์บัญชาการของเขา

จ้าวลี่อิงก้มหน้านิ่ง ทำทีเป็นไม่เข้าใจความหมายที่ซับซ้อนนั้น นางส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับด้วยเสียงอันใสซื่อ "ข้า...อ่านหนังสือไม่ออกเจ้าค่ะ"

นางเว้นจังหวะไปชั่วลมหายใจหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขานิ่ง แล้วกล่าวเสริมประโยคที่ดูไม่เกี่ยวข้อง แต่เต็มไปด้วยนัยยะสำคัญ "แต่...ข้าชอบดูภาพวาด...โดยเฉพาะภาพวาดพญาเหยี่ยวที่กำลังสยายปีกอยู่บนฟากฟ้า"

พญาเหยี่ยว...สัญลักษณ์ของสายตาที่มองการณ์ไกล...สัญลักษณ์ของหน่วยข่าวกรองของเขา...สัญลักษณ์ของความต้องการที่จะมองเห็น "ภาพรวม" ของคดีทั้งหมด

ฉินอ๋องนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนที่มุมปากที่เม้มสนิทเป็นเส้นตรงของเขา...จะปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก...มันไม่ใชรอยยิ้มที่อบอุ่น แต่เป็นรอยยิ้มของผู้ที่พบเจอคู่มือที่ทัดเทียมกัน เป็นรอยยิ้มแห่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

พันธสัญญาไร้สุ้มเสียงได้ถูกก่อตั้งขึ้นแล้วในความเงียบงันของห้องหนังสือแห่งนี้

เขาได้พบกับพันธมิตรที่คาดไม่ถึงที่สุด...อัจฉริยะผู้ซ่อนกายในคราบคนโง่

และนาง...ก็ได้พบกับหนทางที่จะเข้าถึงอำนาจ...เพื่อเริ่มต้นการสืบสวนของนางอย่างแท้จริง

กระดานหมากล้อมที่แท้จริงในจวนฉินอ๋อง...เพิ่งจะเริ่มต้นตาเดินแรกเท่านั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 9

    ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 8

    ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 7

    เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 6

    กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 5

    อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 4

    เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status