ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...
ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์
ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียว
นางหลับตาลง พยายามข่มใจให้หลับใหล พยายามบอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่เรื่องของนาง ทว่าเสียงกรีดร้องที่ไร้สุ้มเสียงของเด็กสาวคนนั้นกลับยังคงดังก้องอยู่ในหูของนาง มันคือเสียงสะท้อนของชะตากรรมที่จ้าวลี่อิงคนเดิมเคยเผชิญ คือเสียงสะท้อนของความอ่อนแอที่ถูกเหยียบย่ำโดยผู้มีอำนาจ
แล้วปณิธานที่นางเคยตั้งไว้ในคืนแรกที่ค้นพบความจริงเรื่องยาพิษก็หวนกลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง...‘ข้าจะมิตายอย่างเดียวดายเยี่ยงเจ้า ข้าจะใช้ร่างกายของเจ้า ใช้สมองของข้า เพื่อดำรงอยู่ และเพื่อกระชากหน้ากากของเหล่าปิศาจที่พรากลมหายใจของเจ้าไป’...
คำสาบานนั้นไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การแก้แค้นให้จ้าวลี่อิงคนเดิมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการต่อสู้เพื่อทุกดวงวิญญาณที่ถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรมในสถานที่แห่งนี้ด้วย
เมื่อความคิดตกผลึก ความลังเลในใจของนางก็มลายหายไปสิ้น นางจะไม่นิ่งเฉย นางจะลงมือทำ...แต่การลงมือของนางจะต้องแยบยลและมีชั้นเชิงที่สุด มันจะต้องเป็นไปในนามของ "คุณหนูผู้โง่เขลา" เท่านั้น
รุ่งเช้าวันต่อมา จ้าวลี่อิงเริ่มต้นแผนการขั้นแรกของนาง...การรวบรวมข้อมูล
นางรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถเดินไปสืบเสาะเรื่องราวจากใครได้โดยตรง แต่โชคดีที่นางยังมีเสี่ยวชุ่ย สาวใช้ผู้ภักดีที่เปรียบเสมือนดวงตาและใบหูของนาง นางต้องใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวและความช่างพูดของเสี่ยวชุ่ยให้เป็นประโยชน์
คืนนั้น จ้าวลี่อิงแสร้งทำเป็นผวาตื่นจากฝันร้าย นางกรีดร้องออกมาเสียงดังจนเสี่ยวชุ่ยที่นอนเฝ้าอยู่ห้องด้านนอกต้องรีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความตกใจ
"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ! เป็นอะไรไป!" เสี่ยวชุ่ยเข้ามาเขย่าตัวนางที่กำลังตัวสั่นเทาอยู่บนเตียง
จ้าวลี่อิงเบิกตากว้าง หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ชี้มือไปที่มุมมืดของห้องอย่างหวาดผวา "พี่สาว... พี่สาวคนนั้น... นางยืนอยู่ตรงนั้น" นางพูดเสียงสั่นเครือ "นางเปียกไปทั้งตัว... นางบอกว่านางหนาว... หนาวเหลือเกิน"
การแสดงอันสมจริงของนางทำให้เสี่ยวชุ่ยขนลุกซู่ นางรีบจุดตะเกียงให้สว่างขึ้นแล้วเข้ามากอดปลอบนายหญิงของตน "โถ คุณหนู อย่ากลัวไปเลยเจ้าค่ะ นั่นเป็นเพียงความฝัน ไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอกเจ้าค่ะ"
"แต่นางมองข้า... นางมองข้าตาไม่กะพริบเลย" จ้าวลี่อิงยังคงสะอื้นไห้ "นางเป็นใครกันเสี่ยวชุ่ย ทำไมนางถึงต้องมาหาข้าด้วย"
ความสงสารเอาชนะความกลัว เสี่ยวชุ่ยลูบหลังนางเบาๆ พลางกระซิบปลอบ "นางชื่อชุนเถาเจ้า่ะ เป็นสาวใช้ชั้นรองในสังกัดของจางซื่อเฟย (อนุภรรยาคนหนึ่งของฉินอ๋อง) ช่างน่าสงสารนัก นางอายุยังน้อยแท้ๆ ไม่น่าจะอายุสั้นเช่นนี้เลย"
"จางซื่อเฟยหรือ" จ้าวลี่อิงทวนคำนั้นเบาๆ เหมือนคนละเมอ
"เจ้าค่ะ" เสี่ยวชุ่ยเริ่มติดกับ นางลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบกระซาบตามประสาคนขี้นินทา "ช่วงนี้จางซื่อเฟยไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานนัก ได้ยินมาว่านางอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่บ่อยๆ ชุนเถานั้นก็เป็นคนซื่อๆ แต่ปากไวไปหน่อย บางทีอาจจะพูดจาไม่เข้าหูจนถูกลงโทษเป็นประจำ"
"ลงโทษหรือ" จ้าวลี่อิงถามต่อ ดวงตาเบิกกว้างอย่างใสซื่อ
"ก็...แค่ดุด่าทุบตีตามประสาเจ้าค่ะ แต่ไม่มีใครคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้... คนในจวนลือกันว่าดวงของนางไม่ดีนักจึงพลัดตกบ่อไปเอง แต่บ่าวว่านางคงจะทุกข์ใจจนเหม่อลอยมากกว่า"
ข้อมูลทั้งหมดนี้ไหลเข้าสู่สมองของจ้าวลี่อิงอย่างรวดเร็ว...เหยื่อชื่อชุนเถา สังกัดอนุภรรยาจางผู้ตกอับ มีนิสัยปากไว และมักถูกลงโทษ... นี่คือภาพร่างของคดีที่ชัดเจนขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
นางแสร้งทำเป็นหวาดกลัวต่อไปอีกพักใหญ่จนเสี่ยวชุ่ยต้องนอนเป็นเพื่อนนางที่ข้างเตียง เมื่อสาวใช้ผู้ภักดีหลับสนิทแล้ว จ้าวลี่อิงจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งในความมืด ความใสซื่อและหวาดกลัวมลายหายไปสิ้น เหลือเพียงแววตาอันเย็นชาและครุ่นคิด
นางมีข้อมูลแล้ว แต่จะทำอย่างไรต่อ? นางจะนำข้อมูลนี้ไปบอกใครได้? บอกทหารยามหรือ? พวกเขาย่อมไม่เชื่อคำพูดของพระชายาผู้สติไม่สมประกอบ บอกท่านหัวหน้าแม่บ้านหวังหรือ? นางอาจจะนำเรื่องไปรายงานท่านอ๋อง แต่ก็คงจะรายงานในฐานะเรื่องไร้สาระของพระชายาคนใหม่เท่านั้น
หนทางเดียวที่จะทำให้เรื่องนี้ถูกสืบสวนอย่างจริงจัง คือต้องส่งสาส์นนี้ให้ถึงผู้มีอำนาจสูงสุดในจวนแห่งนี้...ฉินอ๋องเจิ้งหยาง
แต่การจะส่งสาส์นถึงบุรุษผู้เย็นชาและดูแคลนนางผู้นั้น จะต้องใช้วิธีที่เหนือความคาดหมายที่สุด นางไม่สามารถเขียนจดหมาย ไม่สามารถร้องทุกข์ตรงๆ ได้ นางต้องสร้างสถานการณ์...สร้างปริศนาที่จี้ใจดำของคนฉลาดเช่นเขา...สร้างเหยื่อล่อให้พญาเหยี่ยวผู้ซ่อนกายอยู่บนบัลลังก์รถเข็นต้องชายตาลงมามองมดปลวกเช่นนางด้วยความสนใจ
แผนการอันแยบยลได้ก่อตัวขึ้นในความคิดของนางอย่างเงียบงัน
สองวันต่อมา...
หัวหน้าแม่บ้านหวังมาตรวจความเรียบร้อยที่เรือนจื่อเวยตามปกติ นางเดินสำรวจรอบๆ เรือนด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเช่นทุกครั้ง จนกระทั่งมาถึงสวนด้านหลัง นางก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ภาพที่นางเห็นคือ พระชายาจ้าวลี่อิงกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างอ่างบัวขนาดใหญ่ นางไม่ได้กำลังชมดอกบัว หรือเล่นกับปลาในอ่าง แต่กำลังทำพฤติกรรมที่แปลกประหลาดยิ่งนัก...นางกำลังล้างมือ
จ้าวลี่อิงจุ่มมือทั้งสองลงไปในอ่างบัว แล้วยกขึ้นมาถูไถอย่างเชื่องช้า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาของนางจ้องมองมือของตัวเองอย่างหมกมุ่น ราวกับว่าบนมือนั้นมีคราบสกปรกที่ล้างไม่ออกติดอยู่ ริมฝีปากของนางขมุบขมิบพึมพำกับตัวเองเบาๆ จนฟังไม่ได้ศัพท์
หัวหน้าแม่บ้านหวังเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบ ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "พระชายาทรงทำอะไรอยู่หรือเพคะ"
จ้าวลี่อิงสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว นางเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าแม่บ้านหวังด้วยดวงตาที่เลื่อนลอยและสับสน จากนั้นนางก็ก้มลงมองมือที่เปียกชุ่มของตนเองสลับกับน้ำในอ่างบัว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันใสซื่อของเด็กน้อยว่า
"ข้าไม่เข้าใจ"
"ไม่เข้าใจสิ่งใดหรือเพคะ พระชายา" หัวหน้าแม่บ้านหวังถามกลับ ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้ได้
จ้าวลี่อิงเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาฉายแววฉงนสนเท่ห์อย่างถึงที่สุด นางชี้ไปที่น้ำในอ่าง แล้วชี้มาที่ปากของตนเอง ก่อนจะถามคำถามอันเป็นหัวใจของแผนการทั้งหมดออกมา...
"เหตุใด... คนที่ตกบ่อน้ำ... จึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ"
คำถามนั้นทำให้หัวหน้าแม่บ้านหวังชะงักไปชั่วขณะ...มันเป็นคำถามที่วิปริตและผิดที่ผิดทางอย่างที่สุด คุณหนูโง่เขลาที่ไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เคยออกจากจวน จะรู้เรื่องกายวิภาคของมนุษย์ เรื่องน้ำในปอดได้อย่างไร? มันฟังดูเหมือนนางไปได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหนสักแห่งแล้วนำมาพูดต่ออย่างนกแก้วนกขุนทองโดยไม่เข้าใจความหมาย
หัวหน้าแม่บ้านหวังมองหน้านางนิ่งๆ พยายามค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาที่ว่างเปล่านั้น แต่ก็ไม่พบสิ่งใด นางจึงเพียงตอบกลับไปว่า "พระชายาทรงเหนื่อยเกินไปแล้ว กลับเข้าเรือนไปพักผ่อนเถิดเพคะ" แล้วจึงสั่งให้เสี่ยวชุ่ยพานายหญิงของตนกลับเข้าเรือนไป
ค่ำคืนนั้น ณ เรือนหนังสืออันเป็นศูนย์กลางอำนาจของจวนฉินอ๋อง...
ฉินอ๋องเจิ้งหยางนั่งอยู่บนรถเข็นของเขาเบื้องหน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ แสงไฟจากตะเกียงอาบร่างของเขาไว้ในเงาสลัว เขากำลังอ่านตำราพิชัยสงครามม้วนหนึ่งอย่างเงียบสงบ บรรยากาศภายในห้องนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
หัวหน้าแม่บ้านหวังเข้ามารายงานเรื่องราวต่างๆ ในจวนตามปกติ ตั้งแต่เรื่องบัญชี เรื่องการฝึกของทหาร ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป ฉินอ๋องยังคงฟังด้วยท่าทีเฉยเมย นัยเนตรยังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวอักษรบนม้วนตำรา ไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
"และเรื่องสุดท้าย... เกี่ยวกับพระชายาเพคะ" หัวหน้าแม่บ้านหวังกล่าวขึ้น
ปลายนิ้วของฉินอ๋องที่กำลังจะคลี่ม้วนตำราออกไปอีกส่วนหนึ่งชะงักค้างกลางอากาศ...แต่เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น แล้วเขาก็ทำเป็นไม่สนใจดังเดิม
"วันนี้นางมีพฤติกรรมแปลกประหลาดอีกแล้ว" นางรายงานต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "นางนั่งล้างมือซ้ำๆ อยู่นานสองนาน เมื่อเข้าไปสอบถาม นางกลับถามคำถามที่วิปลาสออกมาเพคะ"
ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ ก่อนที่หัวหน้าแม่บ้านหวังจะกล่าวต่อ "นางถามว่า... 'เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ'"
สิ้นเสียงรายงาน...ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องพลันหยุดนิ่ง
มือของฉินอ๋องที่ถือม้วนตำราค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ แผ่นหลังที่เคยตั้งตรงผ่อนคลายลงเล็กน้อย บัดนี้กลับเหยียดตรงขึ้นอีกครั้ง
เขาค่อยๆ ลดม้วนตำราในมือลงวางบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า...ช้าเสียจนผิดปกติ
แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หัวหน้าแม่บ้านหวังเข้ามารายงาน...
นัยเนตรที่เคยนิ่งสงบดุจผืนน้ำแข็ง บัดนี้กลับปรากฏริ้วคลื่นแห่งความประหลาดใจและความสงสัยระลอกหนึ่งขึ้นมาอย่างชัดเจน ไอสังหารที่เคยถูกเก็บซ่อนไว้ลึกสุดใจได้เผยตัวตนออกมาจางๆ จนทำให้อุณหภูมิในห้องลดต่ำลงอีกวูบหนึ่ง
หน้ากากแห่งความเฉยเมยอันสมบูรณ์แบบของเขา...ได้ปรากฏรอยร้าวขึ้นเป็นครั้งแรก
เหยื่อ...ได้ติดกับแล้ว
ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา
ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา
เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ
อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร
เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก