LOGINสองครอบครัวสกุลโจวและสกุลซูสนทนาพูดคุยกันอย่างออกรส ทางด้านหนิงเฉินที่เพิ่งจะได้พบกับพี่ชายคนโตของเธอห่าวหมิงเป้นครั้งแรกก็พูดคุยกับเขาอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว เนื่องจากพี่ชายของเธอก็เลือกเรียนด้านการเกษตรเพื่อมาดูแลพัฒนากิจการของครอบครัวต่อไปเช่นกัน
“เฉินเอ๋อ..ดูเหมือนว่าเธอจะมีความรู้ด้านการเกษตรไม่น้อยเลยนะ เมื่อก่อนพี่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอจะสนใจด้านการเกษตรมากขนาดนี้” ห่าวหมิงกล่าวกับน้องสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันเพียงแค่หนึ่งเดือนแต่บุคลิกท่าทางความคิดความอ่านดูโตขึ้นมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลยทีเดียว
“โธ่พี่ห่าวหมิง ก็ครอบครัวของเรามีอาชีพหลักเป็นเกษตรกรนี่คะ หนูก็ต้องสนใจด้านนี้อยู่แล้ว ดูอย่างพี่สิยังเลือกเรียนต่อมหาลัยด้านการเกษตรเลยไม่ใช่เหรอ” หนิงเฉินตอบ
“อืมจริง แต่ที่พี่เรียนการเกษตรไม่ใช่เพราะเป็นอาชีพหลักของครอบครัวอย่างเดียวหรอกนะ”
“แล้วเพราะอะไรงั้นหรือคะ”
“เพราะว่าประเทศเราเคยผ่านยุคของความอดอยากยากแค้นมาแล้ว ตอนนั้นผู้คนล้มตายไปมาก พี่จึงเลือกเรียนการเกษตรซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาห่วงโซ่อาหารให้กับประเทศเราไม่ให้กลับไปอยู่ในยุคอดอยากยากไร้แบบนั้นอีกยังไงล่ะ” ห่าวหมิงบอกความคิดของตนให้น้องสาวรู้
“นับว่าพี่ชายของฉันนี่เป็นผู้มีอุดมการณ์สูงส่งไม่น้อยเลยทีเดียวนะเนี่ย” หนิงเฉินเย้าพี่ชาย
“งั้นต่อไปผมก็จะเลือกเรียนการเกษตรด้วย จะได้มาช่วยพวกพี่ๆพัฒนาอาชีพหลักของครอบครัวเรายังไงล่ะครับ” ห่าวเยว่ที่นั่งฟังพี่ๆของเขาพูดคุยกันอยู่พักใหญ่เอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ใจเย็นก่อนเสี่ยวเยว่ นายยังมีเวลาคิดอีกเยอะ เลือกในสิ่งที่ใจนายชอบจริงๆดีกว่า ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก” หนิงเฉินกล่าวกับน้องชาย
“ได้ไงล่ะครับ ในเมื่อพวกพี่เรียนเกษตรกันหมดผมก็ต้องเรียนด้วยสิจะได้คุยกับพวกพี่รู้เรื่องไงล่ะ” ห่าวเยว่แย้ง
“ไม่จำเป็นสักหน่อย เรื่องการเกษตรน่ะนายมีพื้นฐานอยู่แล้วจากครอบครัว ที่สำคัญนายสามารถเรียนรู้กับครูผู้ทรงคุณวุฒิจนเก่งกาจได้เองอยู่แล้ว”
“ใครกันครับครูผู้ทรงคุณวุฒิ” ห่าวเยว่ถามด้วยความสงสัย
“ก็ปู่กับพ่อของนายยังไงล่ะ ที่สำคัญไม่ใช่แค่ฉันบอกกล่าวนายไปเรื่อยเปื่อยนะ ตัวฉันเองก็ไม่ได้เลือกเรียนต่อการเกษตรด้วย”
“อ้าว แล้วพี่จะเรียนอะไรล่ะครับ”
“ฉันจะเลือกเรียนบริหาร หรือไม่ก็วิทยาศาสตร์การอาหารเกี่ยวกับการแปรรูปสินค้าทางการเกษตรให้มีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นอย่างไรล่ะ” หนิงเฉินเอ่ยออกมา ทำให้สองพี่น้องถึงกับอึ้งไปเลยในหัวคิดก้าวหน้าของเธอซึ่งพวกเขาแทบจะไม่เคยรู้จักเธอในลักษณะนี้มาก่อน
ส่วนหลี่จวินที่นั่งอยู่ถัดออกไปจากเธอเพียงที่เดียวโดยมีจินม่ายนั่งคั่นกลางระหว่างพวกเขา ทำให้เขาได้ยินสามพี่น้องพูดคุยกันได้อย่างชัดเจนก็รู้สึกประหลาดใจและสนใจในตัวหนิงเฉินไม่น้อยเลย
“เฉินเอ๋อ วิทยาศาสตร์การอาหารคืออะไรน่ะ” ห่าวหมิงถามด้วยความสนใจ เนื่องจากเขาไม่เคยได้ยินภาควิชานี้มาก่อน
“อ้อ..โทษทีค่ะฉันพูดผิดไป ฉันหมายถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสินค้าการเกษตรนั่นแหละค่ะ” หนิงเฉินรีบเปลี่ยนคำพูดทันที เธอลืมไปว่ายุคสมัยนี้ยังไม่มีภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหาร
แต่หลี่จวินที่นั่งฟังอยู่ตลอดไม่คิดว่าหนิงเฉินกล่าวผิดอะไร เพราะเขาค่อนข้างจะแน่ใจว่าภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหารมีอยู่จริง เพียงแต่เป็นสาขาวิชาในต่างประเทศยังไม่มีในประเทศจีนยามนี้เท่านั้น
“พี่หลี่จวิน พี่หลี่จวินคะ มองอะไรอยู่เหรอค่ะ” จินม่ายที่เห็นหลี่จวินไม่ได้สนใจที่เธอพูดแต่กลับนั่งเหม่อมองอะไรอยู่จึงเอ่ยเรียกเขา
“อ้อ..ผมกำลังฟังพวกพี่น้องของคุณคุยกันอยู่น่ะ น่าสนใจดีเลยทีเดียว” หลี่จวินเอ่ยตามตรง ทำให้จินม่ายไม่พอใจที่เขาไม่ให้ความสนใจในตัวเธอที่สวยหมดจดขนาดนี้ แต่กลับไปสนใจลูกพี่ลูกน้องบ้านนอกของเธอแทน จินม่ายจึงแสร้งหันไปสนใจพวกหนิงเฉินบ้าง
“หนิงเฉิน..ฉันได้ข่าวว่าเธอจะเรียนต่องั้นเหรอ” จินม่ายถามหนิงเฉิน
“ใช่ค่ะ”
“เธอนี่นะ ไม่กลัวต้องทำให้พ่อแม่ลำบากหรือไง ที่คุณปู่คุณย่าไม่สนับสนุนให้เธอเรียนแต่แรก ก็เพราะคุณอาคุณน้ามีลูกตั้งสามคน ลำพังแค่ส่งให้เธอเรียนถึงระดับมัธยมปลายได้นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว” จินม่ายเอ่ยพูดจาดูถูกครอบครัวหนิงเฉิน
“พี่จินม่าย พูดแบบนี้ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยเหรอ” ห่าวเยว่เดือดขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินคำกล่าวของจินม่ายที่ถามหนิงเฉิน
“ไม่เอาน่ะเสี่ยวเยว่” หนิงเฉินรีบปรามน้องชาย ซึ่งห่าวเยว่ก็ยอมเก็บปากเก็บคำแต่โดยดี
“ขอบคุณพี่จินม่ายนะคะที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้คิดจะทำให้พ่อกับแม่ต้องลำบาก ฉันจะหาเงินเรียนด้วยตัวเองค่ะ” หนิงเฉินตอบกลับไป
“ต๊ายย เธอเนี่ยนะจะหาเงินเรียนเอง มีปัญญาด้วยเหรอ” จินม่ายเอ่ยอย่างดูถูก
“มีหรือไม่มีก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของฉันเถอะนะคะ ฉันไม่รบกวนให้พี่จินม่ายต้องมาเหน็ดเหนื่อยคอยคิดมากเรื่องของฉันหรอกค่ะ เอาเวลาไปยุ่งเรื่องตัวเองก็พอแล้ว”
“นี่หนิงเฉินเธอหาว่าฉันสาระแนยุ่งเรื่องของเธองั้นเหรอ” จินม่ายเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ฉันเปล่านะคะ ฉันรู้ดีค่ะว่าพี่จินม่ายพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น” หนิงเฉินกล่าวเสียงเรียบใบหน้ายิ้มแย้มตาใส ทำให้จินม่ายปรับสีหน้าท่าทางแทบไม่ทัน
“เฉินเอ๋อนี่น่าสนใจดีนะ เธอคิดจะหาเงินเรียนด้วยตัวเองยังไงงั้นเหรอ” หลี่จวินเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“โธ่พี่หลี่จวินก็เชื่อด้วยงั้นเหรอคะว่าหนิงเฉินจะไปหาเงินเรียนเอง เรียนยังไม่ทันจะจบชั้นมัธยมด้วยซ้ำไป ที่พูดขึ้นมาก็คงจะพูดไปเรื่อยตามประสาเด็กอวดดีเท่านั้นแหละค่ะ” จินม่ายหันไปเอ่ยกับหลี่จวิน ทำให้หนิงเฉินถึงกับต้องถอนหายใจมองบนเมื่อได้รู้นิสัยลูกพี่ลูกน้องผู้นี้
“พี่จินม่ายอย่ามาพูดมั่วๆนะ พี่หนิงเฉินหาเงินเรียนเองได้แน่ แม้แต่ตอนนี้ตัวผมเองก็มีเงินเก็บไม่น้อยเลยเพราะพี่หนิงเฉินแท้ๆ” ห่าวเยว่เอ่ยโต้ตอบแทนพี่สาวเพราะทนไม่ไหว
“ไอ้ที่ว่าไม่น้อยของเธอมันเท่าไหร่กันฮึ ถึงพูดอวดอ้างขึ้นมาแบบนี้น่ะ” จินม่ายถามกลับ
“ก็...” ห่าวเยว่จะบอกจำนวนเงินซึ่งมากมายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ แต่หนิงเฉินรีบหันหน้ามาส่งสายตาปรามน้องชายเอาไว้ก่อน เพราะเธอเคยย้ำบอกกับทุกคนเอาไว้แล้วว่าไม่ให้บอกเรื่องที่พวกเธอทำเงินได้มากมายขนาดไหน เนื่องจากจะทำให้ถูกเพ่งเล็งเอาได้ ดีไม่ดีโดนคนเอาไปฟ้องให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
“ก็หลายร้อยหยวนอยู่น่ะ” ห่าวเยว่จึงบอกแต่พอเหมาะทั้งๆที่ความจริงแล้วมันหลายพันหยวนต่างหาก
‘ยิ่งพี่สาวเขามีรายรับที่ได้จากการค้าขายร่วมกับเพื่อนด้วย ไม่ได้นับรวมเฉพาะของที่ช่วยกันทำในครอบครัวก็มากโขอยู่ ดีไม่ดีตอนนี้คงได้เป็นหมื่นหยวนแล้วล่ะ’ ห่าวเยว่นึกในใจ แต่ไม่เคยคิดจะไปยุ่งหรือถามในส่วนนั้นเพราะนับเป็นเรื่องของพี่สาวเขา แค่ลำพังเขาได้ส่วนแบ่งเท่าที่ช่วยกันทำของไปขายนี่เขาก็พอใจมากแล้ว
“โธ่ก็แค่ไม่กี่ร้อยหยวนทำมาเป็นคุย แค่นั้นน่ะจะไปพอจ่ายค่าเล่าเรียนยังไงไหว แค่ค่ารองเท้าคู่หนึ่งจะเอาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้” จินม่ายตอกย้ำพร้อมกล่าวคำดูถูกไปอีกรอบ
ด้านหนิงเฉินก็รีบปรามน้องชายทันทีไม่ให้โต้ตอบกลับไป ส่วนตัวเธอเองได้แต่ยิ้มอ่อนให้กับลูกพี่ลูกน้องคนนี้เท่านั้น เพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำให้เสียเวลาชีวิตหงุดหงิดใจไปเปล่าๆ
“แค่คุณเริ่มต้นทำงานหาเงินด้วยตัวเองก็นับว่าเก่งแล้วล่ะ เริ่มจากร้อยหยวนเดี๋ยวก็รวบรวมได้เป็นพันเป็นหมื่นเองนั่นแหละ” หลี่จวินให้กำลังใจหนิงเฉิน
“ใช่แล้วล่ะ พี่หลี่จวินพูดถูก” ห่าวหมิงเอ่ยสมทบหลังจากนั่งฟังน้องชายน้องสาวถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติระหว่างจินม่ายและห่าวเยว่อยู่แล้ว
‘เพียงแต่ครั้งนี้หนิงเฉินที่ไม่เคยโต้ตอบกลับไปมาก่อนมาวันนี้รู้จักเถียงคนอื่นเป็นแล้ว ช่างดียิ่งนัก’ ห่าวหมิงคิดอย่างพอใจในความเปลี่ยนไปในทางที่ดีของน้องสาว ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นเพราะเธอได้รู้จักเพื่อนใหม่ได้ออกไปขายของพบป่ะผู้คนมากขึ้นนั่นเอง
หนิงเฉินนิ่งคิดอยู่พักใหญ่หลังจากได้ฟังคำขอให้ช่วยพิจารณาอี้เหรินมากกว่าความเป็นเพื่อน ซึ่งความจริงแล้วใจเธอตอบตกลงไปแล้วล่ะ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจตอบออกไปตามใจปรารถนา “ได้ค่ะ ฉันเองก็ยอมรับว่าฉันรู้สึกดีกับคุณไม่น้อย คุณเองก็เป็นคนดีคนหนึ่งอีกทั้งยังตรงไปตรงมา คิดอะไรอยากได้อะไรก็มุ่งตรงไปที่เป้าหมายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ขนาดรีสอร์ตนี้ที่ทำสำเร็จได้ก็เพราะคุณวางแผนเอาไว้นานหลายปีแล้วนี่คะ ถ้างั้นฉันจะลองเชื่อคุณดูแล้วก็ขอให้คุณพิจารณาฉันให้ดีด้วยเช่นกันเพราะถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าระยะเวลาที่เราได้เจอและรู้จักกันนั้นมันสั้นเกินไปจริงๆเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น เผื่อนานไปคุณได้รู้จักฉันมากขึ้นคุณเองอาจจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจก็ได้”หนิงเฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาและใจกว้างเป็นที่สุด ทำให้อี้เฉินยิ้มออกมาด้วยความพอใจมากทีเดียว “งั้นถือว่าเราเริ่มคบหาเพื่อศึกษานิสัยใจคอกันเรียนรู้กันตั้งแต่วันนี้เลยก็แล้วกันนะครับ”
วันนี้อี้เหรินมารับหนิงเฉินเพื่อพาไปชมรีสอร์ตของเขาตั้งแต่แปดโมงเช้า เมื่อมาถึงเขาก็พาเธอไปชมห้องครัวของรีสอร์ตพร้อมแนะนำพนักงานรวมทั้งพ่อครัวให้เธอรู้จักเป็นอันดับแรกตามความต้องการของหนิงเฉิน “เป็นยังไงบ้านครับห้องครัวของรีสอร์ตเรามีอะไรขาดเหลือบ้างหรือเปล่า” อี้เหรินเอ่ยถามขณะพาหนิงเฉินมาสำรวจห้องครัวที่จะใช้ทำอาหารต้อนรับแขก “ดูโดยรวมแล้วก็ครบครันอยู่นะคะ ขนาดเตาอบยังมีพร้อมเลยแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าอย่างงั้นคุณลองดูรายการอาหารที่ฉันเตรียมมาให้เลือกก่อนก็แล้วกันค่ะว่าอยากจัดให้มีอะไรบ้าง จากนั้นฉันค่อยจัดเตรียมวัตถุดิบแล้วมาทำให้พวกคุณลองชิมดูก่อนที่ครัวนี้ หากขาดเหลืออะไรจะได้จัดเตรียมให้พร้อม” หนิงเฉินกล่าวอย่างมืออาชีพจนอี้เหรินอดยิ้มพอใจไม่ได้ที่หญิงสาวอายุน้อยอย่างเธอกลับเป็นคนรอบคอบยิ่งนัก ที่สำคัญเธอยังสวยมากอีกด้วย “
หลังหนิงเฉินนำขนมที่ร้านซูฮ่าวซือบางส่วนไปขายที่ตลาดมืดเสร็จแล้วเธอก็แยกย้ายกับป้าลู่ก่อนกลับมาดูที่ร้านซูฮ่าวซืออีกครั้ง โดยนำวัตถุดิบชั้นเลิศซึ่งได้มาจากตลาดมืดติดมือมาด้วยเป็นปูขนชั้นดีจากมณฑลเจียงซูที่เป็นแหล่งผลิตปูขนแหล่งใหญ่ในประเทศ เมื่อเธอกลับมาถึงร้านห่าวเยว่ก็กลับบ้านไปแล้วเพราะได้เวลาที่เขานัดหมายกับห่าวหมิงเอาไว้ว่าจะช่วยควบคุมดูแลคนงานที่จ้างมาเก็บผลผลิตด้วยกัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาทุ่มตรงก็ได้เวลาปิดร้าน เหล่าพนักงานของเธอก็ช่วยกันเก็บกวาดเช็ดถูทำความสะอาดร้านก่อนจะพากันลากลับไปราวสองทุ่ม เหลือเพียงหนิงเฉินที่ตั้งใจจะทำอะไรทานและคิดรายการอาหารเมนูใหม่อยู่เพียงลำพังที่ร้าน ในขณะที่เธอกำลังจะปิดประตูหน้าร้านเพื่อไปหยิบป้ายที่ลืมเอาไว้มาแขวนตรงหน้าประตูว่าร้านปิด จู่ๆกลับมีคนมาดึงประตูร้านอีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะเข้ามาด้านใน เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งพร้อมกับหนิงเฉินที่ตกใจเล็กน้อยเพราะคาดไม่ถึงว่าดึกป่านนี้แล้วยังจะมีแขกมาเยือนร้
ตอนนี้ร้านซูฮ่าวซือก็เปิดกิจการมาได้ปีกว่าแล้วโดยกิจการค้าขายของหนิงเฉินเป็นไปได้ด้วยดีมากเลยทีเดียว ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านมักจะเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่เนื่องจากพวกเธอสนใจอาหารที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะขนมของร้านนี้ที่มากมายหลากหลายให้เลือกตั้งแต่เค้กผลไม้รวม เค้กส้ม เค้กลูกพลัม เค้กสตรอว์เบอร์รี่เค้กมะม่วง เค้กกล้วยหอม เค้กลิ้นจี่เป็นต้น ส่วนพวกพายก็มีพายแอปเปิล พายสับปะรด พายมะนาว พายฟักทอง พายสตรอว์เบอร์รี่พายเห็ด พายวอลนัตหรือผลเฮอเถา พายผักโขมและอื่นๆ อีกทั้งยังมีคุกกี้แสนอร่อยอย่างคุกกี้เนยถั่ว คุกกี้วอลนัต คุกกี้ข้าวโพด คุกกี้พุทรา คุกกี้หยางเหมยคุกกี้ส้มและคุกกี้ผลไม้ชนิดอื่นๆอีก ทางด้านเครื่องดื่มก็มีน้ำผลไม้ปั่นหลากชนิด รวมทั้งเอามาปั่นอย่างเดียวหรือผสมกับผักผลไม้ต่างชนิดกัน ไม่ก็นำมาคั้นเป็นน้ำผักผลไม้สด ดื่มดับกระหายได้สุขภาพคุณประโยชน์มากมาย โดยหนิงเฉินคิดสูตรใหม่ๆขึ้นมาตลอด เป็นที่ถูกอกถูกใจผ
หลังเรียนจบหนิงเฉินก็มาบริหารร้านซูฮ่าวซือเต็มตัว โดยวันเปิดร้านมีครอบครัวสกุลซู สกุลโจว สกุลลู่ รวมทั้งสหายในหมู่บ้านซินหยางและเพื่อนฝูงมากมายของสกุลซูมาร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเลยทีเดียว “เฉินเอ๋อ..อาหารอร่อยทุกอย่างเลย” เหล่าบรรดาเพื่อนมหาลัยที่มาร่วมแสดงความยินดีกับงานเปิดร้านซูฮ่าวซือเอ่ยอย่างชื่นชมหลังจากได้ทานอาหารสดอร่อยจากพืชผักผลไม้สกุลซูซึ่งมีสลัดผักผลไม้โรยด้วยวอลนัตบุบกับน้ำสลัดรสเปรี้ยวอมหวานปรุงพิเศษจากส้มสดๆจากไร่รสหวานอมเปรี้ยวหอมสดชื่นในตัวมันเอง นอกนั้นยังมีบะหมี่ผักที่ทำจากผักสดรสชาติไม่ขมแต่หอมอร่อยเฉพาะตัว นำมาปรุงบะหมี่น้ำ บะหมี่แห้ง บะหมี่ยำกับผักหลากชนิดและเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆทั้งหมู ไก่ กุ้ง ปลา มีเกี๊ยวไส้ผักกับหมูสับหมักเครื่องเทศต้มหรือทอดพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด เปาะเปี๊ยะสดไส้หัวไชเท้าขูดเป็นเส้นผัดกับหมูสับใส่กุ้งต้มถั่วลิสงคั่วบด ผักกาดหอม ถั่วงอกทานกับน้ำซอสรสเค็มเผ็ดเปรี้ย
หลังจากตอบเหล่าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่ต่างก็อยากจะจับคู่ให้เธอกับบุตรหลานของพวกเขาเสร็จแล้ว หนิงเฉินก็ขอตัวไปนำของหวานมาให้ทุกคน โดยแน่นอนว่ามีหลี่จวินกับลี่หยางอาสาตามไปช่วยเธอทั้งคู่ “ความจริงพวกพี่สองคนไม่ต้องมาช่วยก็ได้นะคะ แค่เสี่ยวเยว่กับฉันก็พอแล้วล่ะ” หนิงเฉินบอกทั้งสองหนุ่ม “ไม่เป็นไรหรอก พี่นั่งทานอาหารนานแล้ว ได้ลุกมายืดเส้นสายช่วยด้วยก็ดีไม่ใช่เหรอ” ลี่หยางกล่าว “พี่อยากมาช่วยเธอ พร้อมหลบเสียงจอแจด้านนอกสักพักน่ะ” หลี่จวินตอบอีกคน “พี่หนิงเฉิน ในเมื่อพี่มีพี่หลี่จวินกับพี่ลี่หยางมาช่วยเตรียมของว่างแล้ว งั้นผมขอตัวไปกินต่อก่อนนะ รบกวนพี่ทั้งสองคนด้วยนะครับ” เสี่ยวเยว่บอกกับทุกคนก่อนจะรีบวิ่งกลับไปหาอาหารแสนอร่อยด้านนอกทันที ทิ้งให้หนิง







