ログインคุณปู่โจวกับลูกชายลูกสะใภ้ดูมีน้ำใจไมตรียิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตรมาก พวกเขานำทางหนิงเฉินและครอบครัวมายังห้องรับรองพิเศษซึ่งอยู่บนชั้นสองของภัตตาคารที่เต็มไปด้วยลูกค้ามากมาย ระหว่างเดินผ่านโต๊ะอาหารแต่ละโต๊ะหนิงเฉินก็คอยสังเกตอาหารที่พวกบรรดาแขกเหรื่อสั่งไปด้วยตามความเคยชินของคนช่างสังเกตและคอยมองหาลู่ทางทางการค้าอยู่เสมอ
“พี่หนิงเฉิน หิวเหรอ” ห่าวเยว่ที่เห็นท่าทางของพี่สาวมองไปยังอาหารบนโต๊ะเอ่ยถามขึ้น
“เปล่าหรอก พี่ก็แค่อยากรู้ว่าแขกส่วนใหญ่ที่นี่เขาสั่งอะไรมากินกันบ้างก็เท่านั้นเอง”
“แล้วพี่จะอยากรู้ไปทำไมกัน”
“เสี่ยวเยว่ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าการเป็นคนช่างสังเกตมันสามารถช่วยอะไรเราได้มากเลยทีเดียวนะ”
“ช่วยยังไงกันครับ”
“ก็สกุลโจวสั่งพืชผักผลไม้ของบ้านเรามาทำอาหารให้บรรดาลูกค้าในภัตตาคารและร้านอาหารอื่นๆไม่ใช่เหรอ พี่ก็อยากดูว่าเขาใช้พืชผักของเรามาทำอะไรบ้าง ที่สำคัญมีวัตถุดิบอะไรอีกที่ใช้ในการปรุงอาหารแต่ที่บ้านเราไม่ได้ปลูกอย่างไรล่ะ”
“เพื่ออะไรล่ะครับ”
“นายนี่นะ ก็อะไรที่เขานำมาปรุงอาหารแต่บ้านเราไม่ได้ปลูก ต่อไปเราก็ปลูกเพิ่มและเจรจาให้เขาซื้อจากเราเสียทีเดียว จากนั้นก็ต่อรองในราคาซื้อขายที่คุ้มค่ากว่าอย่างไรเล่า”
“พี่หนิงเฉิน พี่นี่นับวันยิ่งทำให้ผมประหลาดใจมากขึ้นทุกวันเลยนะ” ห่าวเยว่เอ่ยหลังได้ยินคำกล่าวจากปากของพี่สาว
“เอาไว้นายมีเป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคตมีความมุ่งมั่นตั้งใจจะทำมันให้สำเร็จให้ได้ นายก็จะคิดพยายามทำได้ทุกทางเองนั่นแหละ”
“เป้าหมาย? ที่พี่อยากหาเงินเรียนต่อด้วยตัวเองจนจบงั้นหรือ”
“ใช่ แล้วก็ช่วยให้ครอบครัวมีฐานะมั่นคง ทั้งยังมั่งมีเงินทองมีกินมีใช้ไม่ขาดมือเหลือเก็บออมเอาไว้ให้ลูกให้หลานด้วย”
“โห..นี่พี่คิดไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ ถามจริงพี่อายุ 17 ปีหรือเปล่าเนี่ย พูดอย่างกับพวกผู้ใหญ่วัยกลางคนงั้นแหละ”
“เดี๋ยวเหอะเจ้าเด็กนี่มาว่าพี่แก่งั้นเหรอ” หนิงเฉินเอ่ยทำท่าจะทุบน้องชายให้สักตุ๊บสองตุ๊บหากเย่าหลินไม่หันมาเรียกพวกเขาให้รีบเดินตามเข้าไปในห้องเสียก่อน
ส่วนอีกทางด้านหนึ่งผู้บริหารคนใหม่พ่วงตำแหน่งเจ้าของกิจการในเครือสกุลโจวก็บังเอิญมาได้ยินเรื่องที่สองพี่น้องพูดคุยกันและเขาก็ยืนฟังอยู่นานจนเพลิน ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความพอใจในความคิดความอ่านของหนิงเฉินไม่น้อยเลยทีเดียว
ทางด้านครอบครัวหนิงเฉินเมื่อเข้ามาในห้องรับรองก็พบว่าห่าวหมิงพี่ชายคนโตของหนิงเฉินที่เรียนอยู่ในเมืองมานั่งรออยู่ก่อนหน้านี้พักใหญ่แล้ว
“เสี่ยวหมิง..มานานแล้วเหรอ” คุณปู่ซูทักทายหลานชายจากนั้นทุกคนก็ทักทายพูดคุยกันด้วยความยินดี โดยเฉพาะหนิงเฉินซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่ชายคนโต นับว่าครอบครัวสกุลซูของเธอรูปร่างหน้าตาดีกันทุกคนเลยทีเดียว
“เฉินเอ๋อ น้องเก่งมากเลยนะที่คิดทำการค้าขายหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนแบบนี้” ห่าวหมิงที่ได้ยินเรื่องราวจากห่าวเยว่น้องชายคนเล็กของบ้านที่คุยโวไม่หยุด โดยเฉพาะเรื่องที่เขาได้รับรายได้เป็นของตัวเองจากการช่วยหนิงเฉินทำของขายด้วยเช่นกัน
“หนูมีความตั้งใจจริงและจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ พี่เองก็ตั้งใจทำงานหารายได้พิเศษเก็บเงินเผื่อสำรองเอาไว้เหมือนกัน ได้ยินแบบนี้แล้วพี่ดีใจมากจริงๆ น่าเสียดายที่พี่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการสอบเลยไม่ได้กลับบ้านมาเดือนหนึ่งแล้ว ไม่งั้นจะได้ช่วยเธอทำของขายด้วย” ห่าวหมิงคาดไม่ถึงว่าน้องสาวมีความตั้งใจจริงในการเรียนต่อมากขนาดนี้ ดูเหมือนหนิงเฉินจะเปลี่ยนไปไม่น้อยจากที่ได้เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ห่าวหมิง พี่เองเรียนปีสามแล้วคงจะยุ่งไม่น้อย หนูกับห่าวเยว่และคุณแม่คุณพ่อก็มาช่วยกันทำงานเลยเสร็จเร็วแล้วก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไรมากนัก”
“นี่เฉินเอ๋อเก่งขนาดนี้เชียวรึ ดีจังขยันขันแข็งทำมาหากินส่งเสียตัวเองเรียน นับว่าเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความคิดก้าวหน้า น่ายกย่องจริงๆ” คุณปู่ซูเอ่ยอย่างชื่นชม
“เก่งอะไรกันล่ะ คราแรกฉันกับไห่เม่ยอยากให้หนิงเฉินเรียนจบแค่ชั้นมัธยมก็พอแล้ว จากนั้นก็รีบแต่งงานมีครอบครัวมีเหลนให้อุ้มไวๆ จะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากลำบนไปค้าขายข้างนอกพบเจอใครมากหน้าหลายตาไปหมด กลัวว่าจะเจอคนไม่ดีเข้าน่ะสิ” คุณปู่ซูเอ่ยอย่างเป็นห่วงหลานสาวตั้งแต่รู้เรื่องที่หนิงเฉินทำของไปขายกับเพื่อนของเธอแล้ว ซึ่งคุณย่าซูเองก็คิดเช่นเดียวกัน
“เอาน่าเมิ่งจื่อ ไห่เม่ย หลานสาวของพวกนายโตแล้วย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง ที่สำคัญยังเป็นความคิดก้าวหน้าเหมาะกับยุคสมัยมากเลยทีเดียว นายเองก็คอยรอดู สนับสนุนและให้กำลังใจอยู่ข้างๆก็พอ” คุณปู่โจวช่วยพูดออกหน้าให้ หนิงเฉินจึงรีบหันไปขอบคุณพร้อมกับสีหน้าซาบซึ้งเต็มที่
ส่วนคุณปู่โจวก็ส่งยิ้มกว้างอย่างมีเมตตามาให้ซึ่งเขารู้สึกถูกชะตานึกชอบใจและเอ็นดูหนิงเฉินมากเลยทีเดียวไม่ต่างกับนายท่านและคุณนายโจวที่เมื่อได้ยินเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจของหนิงเฉินซึ่งอายุเพียงแค่ 17 ปีแล้วก็รู้สึกชื่นชมไม่น้อยเลยทีเดียว
“ว่าแต่นี่อี้ไห่กับครอบครัวยังไม่มาอีกหรือแย่จริงๆ ปล่อยให้พวกเรารอได้ยังไงกันนะ” คุณปู่ซูเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเลยเวลานัดหมายมาได้ราวครึ่งชั่วโมงแล้วแต่กลับไม่มีวี่แววของครอบครัวบุตรชายคนโตซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองแท้ๆ
“คงติดธุระอะไรอยู่กระมัง ไม่เป็นไรหรอกงานเลี้ยงสังสรรค์คนกันเองทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” คุณปู่โจวปลอบสหาย
เพียงไม่นานนักอาหารมากมายก็ถูกทยอยยกเข้ามาเสิร์ฟบนโต๊ะ โดยมีหลี่จวินคอยสั่งการ ซึ่งผ่านไปได้ครู่ใหญ่หลี่จวินก็เข้ามาในห้องรับรองพร้อมกับทำความเคารพทักทายผู้อาวุโสและได้รับการแนะนำตัวเป็นทางการกับทุกคน
“ไงเสี่ยวจวิน ได้พบน้องๆแล้วต่อไปมีอะไรก็ติดต่อกันเอาไว้อย่าได้ขาดล่ะ” คุณปู่โจวเอ่ยกับหลานชาย
“ครับคุณปู่” หลี่จวินรับคำ
จากนั้นไม่นานครอบครัวของอี้ไห่บุตรชายคนโตของสกุลซูก็เข้ามายังห้องรับรองพิเศษที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า โดยคุณนายใหญ่ซูและซูจินม่ายบุตรสาวมาในชุดเดรสนำสมัยดูหรูหรามีราคาไม่น้อย
“อี้ไห่ทำไมจึงมาช้านักเล่ารู้ไหมว่าเลยเวลานัดมาเท่าไหร่แล้ว” คุณปู่ซูตำหนิบุตรชายคนโตทันที
“ขออภัยครับคุณพ่อ ขออภัยคุณลุงโจวและทุกคนด้วยนะครับ” รีบกล่าวขอโทษขอโพยด้วยความรู้สึกผิดและไม่มีข้อแก้ตัวอะไร เนื่องจากเขาช้าเพราะมัวรอบุตรสาวกับภรรยาแต่งเนื้อแต่งตัวกันอยู่นั่นเอง ส่วนทางด้านบุตรสาวและภรรยากลับไม่มีสีหน้าท่าทางสำนึกผิดเลยสักนิด
“แหม่ คุณปู่คะตอนนี้พวกเราก็มาถึงแล้ว คุณปู่อย่าอารมณ์เสียเลยนะคะ” จินม่ายเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน สุดท้ายคุณปู่ซูก็ขี้เกียจว่ากล่าวอันใดให้มากความอีกเพราะจะทำให้เสียบรรยากาศไปเปล่าๆ
หลังจากแนะนำตัวกันครบแล้วทุกคนก็เชื้อเชิญกันทานอาหารและพูดคุยกันอย่างออกรส โดยเฉพาะจินม่ายที่ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจสหายใหม่รุ่นพี่อย่างหลี่จวินไม่น้อยเลย จึงได้แต่ชักชวนเขาพูดคุยไม่หยุด ผิดกับหนิงเฉินที่พากันพูดคุยอยู่กับพี่ชายและน้องชายอยากออกรส
ทางด้านคู่สามีภรรยาสกุลโจวก็พูดคุยอยู่กับครอบครัวสกุลซูทั้งกับบุตรคนโตและคนรอง ส่วนคุณปู่คุณย่าซูก็พูดคุยกับคุณปู่โจวอย่างเพลิดเพลินเลยทีเดียวเนื่องจากพวกเขาไม่ได้พบเจอกันมานานหลายเดือนแล้วและไม่เคยนัดพบสังสรรค์กันทั้งครอบครัวเช่นนี้มาก่อน
หนิงเฉินนิ่งคิดอยู่พักใหญ่หลังจากได้ฟังคำขอให้ช่วยพิจารณาอี้เหรินมากกว่าความเป็นเพื่อน ซึ่งความจริงแล้วใจเธอตอบตกลงไปแล้วล่ะ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจตอบออกไปตามใจปรารถนา “ได้ค่ะ ฉันเองก็ยอมรับว่าฉันรู้สึกดีกับคุณไม่น้อย คุณเองก็เป็นคนดีคนหนึ่งอีกทั้งยังตรงไปตรงมา คิดอะไรอยากได้อะไรก็มุ่งตรงไปที่เป้าหมายอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ขนาดรีสอร์ตนี้ที่ทำสำเร็จได้ก็เพราะคุณวางแผนเอาไว้นานหลายปีแล้วนี่คะ ถ้างั้นฉันจะลองเชื่อคุณดูแล้วก็ขอให้คุณพิจารณาฉันให้ดีด้วยเช่นกันเพราะถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าระยะเวลาที่เราได้เจอและรู้จักกันนั้นมันสั้นเกินไปจริงๆเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น เผื่อนานไปคุณได้รู้จักฉันมากขึ้นคุณเองอาจจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจก็ได้”หนิงเฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาและใจกว้างเป็นที่สุด ทำให้อี้เฉินยิ้มออกมาด้วยความพอใจมากทีเดียว “งั้นถือว่าเราเริ่มคบหาเพื่อศึกษานิสัยใจคอกันเรียนรู้กันตั้งแต่วันนี้เลยก็แล้วกันนะครับ”
วันนี้อี้เหรินมารับหนิงเฉินเพื่อพาไปชมรีสอร์ตของเขาตั้งแต่แปดโมงเช้า เมื่อมาถึงเขาก็พาเธอไปชมห้องครัวของรีสอร์ตพร้อมแนะนำพนักงานรวมทั้งพ่อครัวให้เธอรู้จักเป็นอันดับแรกตามความต้องการของหนิงเฉิน “เป็นยังไงบ้านครับห้องครัวของรีสอร์ตเรามีอะไรขาดเหลือบ้างหรือเปล่า” อี้เหรินเอ่ยถามขณะพาหนิงเฉินมาสำรวจห้องครัวที่จะใช้ทำอาหารต้อนรับแขก “ดูโดยรวมแล้วก็ครบครันอยู่นะคะ ขนาดเตาอบยังมีพร้อมเลยแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าอย่างงั้นคุณลองดูรายการอาหารที่ฉันเตรียมมาให้เลือกก่อนก็แล้วกันค่ะว่าอยากจัดให้มีอะไรบ้าง จากนั้นฉันค่อยจัดเตรียมวัตถุดิบแล้วมาทำให้พวกคุณลองชิมดูก่อนที่ครัวนี้ หากขาดเหลืออะไรจะได้จัดเตรียมให้พร้อม” หนิงเฉินกล่าวอย่างมืออาชีพจนอี้เหรินอดยิ้มพอใจไม่ได้ที่หญิงสาวอายุน้อยอย่างเธอกลับเป็นคนรอบคอบยิ่งนัก ที่สำคัญเธอยังสวยมากอีกด้วย “
หลังหนิงเฉินนำขนมที่ร้านซูฮ่าวซือบางส่วนไปขายที่ตลาดมืดเสร็จแล้วเธอก็แยกย้ายกับป้าลู่ก่อนกลับมาดูที่ร้านซูฮ่าวซืออีกครั้ง โดยนำวัตถุดิบชั้นเลิศซึ่งได้มาจากตลาดมืดติดมือมาด้วยเป็นปูขนชั้นดีจากมณฑลเจียงซูที่เป็นแหล่งผลิตปูขนแหล่งใหญ่ในประเทศ เมื่อเธอกลับมาถึงร้านห่าวเยว่ก็กลับบ้านไปแล้วเพราะได้เวลาที่เขานัดหมายกับห่าวหมิงเอาไว้ว่าจะช่วยควบคุมดูแลคนงานที่จ้างมาเก็บผลผลิตด้วยกัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาทุ่มตรงก็ได้เวลาปิดร้าน เหล่าพนักงานของเธอก็ช่วยกันเก็บกวาดเช็ดถูทำความสะอาดร้านก่อนจะพากันลากลับไปราวสองทุ่ม เหลือเพียงหนิงเฉินที่ตั้งใจจะทำอะไรทานและคิดรายการอาหารเมนูใหม่อยู่เพียงลำพังที่ร้าน ในขณะที่เธอกำลังจะปิดประตูหน้าร้านเพื่อไปหยิบป้ายที่ลืมเอาไว้มาแขวนตรงหน้าประตูว่าร้านปิด จู่ๆกลับมีคนมาดึงประตูร้านอีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะเข้ามาด้านใน เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งพร้อมกับหนิงเฉินที่ตกใจเล็กน้อยเพราะคาดไม่ถึงว่าดึกป่านนี้แล้วยังจะมีแขกมาเยือนร้
ตอนนี้ร้านซูฮ่าวซือก็เปิดกิจการมาได้ปีกว่าแล้วโดยกิจการค้าขายของหนิงเฉินเป็นไปได้ด้วยดีมากเลยทีเดียว ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านมักจะเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่เนื่องจากพวกเธอสนใจอาหารที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะขนมของร้านนี้ที่มากมายหลากหลายให้เลือกตั้งแต่เค้กผลไม้รวม เค้กส้ม เค้กลูกพลัม เค้กสตรอว์เบอร์รี่เค้กมะม่วง เค้กกล้วยหอม เค้กลิ้นจี่เป็นต้น ส่วนพวกพายก็มีพายแอปเปิล พายสับปะรด พายมะนาว พายฟักทอง พายสตรอว์เบอร์รี่พายเห็ด พายวอลนัตหรือผลเฮอเถา พายผักโขมและอื่นๆ อีกทั้งยังมีคุกกี้แสนอร่อยอย่างคุกกี้เนยถั่ว คุกกี้วอลนัต คุกกี้ข้าวโพด คุกกี้พุทรา คุกกี้หยางเหมยคุกกี้ส้มและคุกกี้ผลไม้ชนิดอื่นๆอีก ทางด้านเครื่องดื่มก็มีน้ำผลไม้ปั่นหลากชนิด รวมทั้งเอามาปั่นอย่างเดียวหรือผสมกับผักผลไม้ต่างชนิดกัน ไม่ก็นำมาคั้นเป็นน้ำผักผลไม้สด ดื่มดับกระหายได้สุขภาพคุณประโยชน์มากมาย โดยหนิงเฉินคิดสูตรใหม่ๆขึ้นมาตลอด เป็นที่ถูกอกถูกใจผ
หลังเรียนจบหนิงเฉินก็มาบริหารร้านซูฮ่าวซือเต็มตัว โดยวันเปิดร้านมีครอบครัวสกุลซู สกุลโจว สกุลลู่ รวมทั้งสหายในหมู่บ้านซินหยางและเพื่อนฝูงมากมายของสกุลซูมาร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเลยทีเดียว “เฉินเอ๋อ..อาหารอร่อยทุกอย่างเลย” เหล่าบรรดาเพื่อนมหาลัยที่มาร่วมแสดงความยินดีกับงานเปิดร้านซูฮ่าวซือเอ่ยอย่างชื่นชมหลังจากได้ทานอาหารสดอร่อยจากพืชผักผลไม้สกุลซูซึ่งมีสลัดผักผลไม้โรยด้วยวอลนัตบุบกับน้ำสลัดรสเปรี้ยวอมหวานปรุงพิเศษจากส้มสดๆจากไร่รสหวานอมเปรี้ยวหอมสดชื่นในตัวมันเอง นอกนั้นยังมีบะหมี่ผักที่ทำจากผักสดรสชาติไม่ขมแต่หอมอร่อยเฉพาะตัว นำมาปรุงบะหมี่น้ำ บะหมี่แห้ง บะหมี่ยำกับผักหลากชนิดและเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆทั้งหมู ไก่ กุ้ง ปลา มีเกี๊ยวไส้ผักกับหมูสับหมักเครื่องเทศต้มหรือทอดพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด เปาะเปี๊ยะสดไส้หัวไชเท้าขูดเป็นเส้นผัดกับหมูสับใส่กุ้งต้มถั่วลิสงคั่วบด ผักกาดหอม ถั่วงอกทานกับน้ำซอสรสเค็มเผ็ดเปรี้ย
หลังจากตอบเหล่าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่ต่างก็อยากจะจับคู่ให้เธอกับบุตรหลานของพวกเขาเสร็จแล้ว หนิงเฉินก็ขอตัวไปนำของหวานมาให้ทุกคน โดยแน่นอนว่ามีหลี่จวินกับลี่หยางอาสาตามไปช่วยเธอทั้งคู่ “ความจริงพวกพี่สองคนไม่ต้องมาช่วยก็ได้นะคะ แค่เสี่ยวเยว่กับฉันก็พอแล้วล่ะ” หนิงเฉินบอกทั้งสองหนุ่ม “ไม่เป็นไรหรอก พี่นั่งทานอาหารนานแล้ว ได้ลุกมายืดเส้นสายช่วยด้วยก็ดีไม่ใช่เหรอ” ลี่หยางกล่าว “พี่อยากมาช่วยเธอ พร้อมหลบเสียงจอแจด้านนอกสักพักน่ะ” หลี่จวินตอบอีกคน “พี่หนิงเฉิน ในเมื่อพี่มีพี่หลี่จวินกับพี่ลี่หยางมาช่วยเตรียมของว่างแล้ว งั้นผมขอตัวไปกินต่อก่อนนะ รบกวนพี่ทั้งสองคนด้วยนะครับ” เสี่ยวเยว่บอกกับทุกคนก่อนจะรีบวิ่งกลับไปหาอาหารแสนอร่อยด้านนอกทันที ทิ้งให้หนิง







