เช้าวันถัดมา จ้าวหลินอ้ายตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่ในห้องบรรทมเพียงผู้เดียว ดวงตากลมมองไปรอบห้องไม่เห็นเฉินซีหมิงจึงเรียกนางกำนัลที่เฝ้าอยู่นอกห้องเข้ามาซักถาม
“ราชครูเฉินไปไหน”
“ไปดูเจ้าหน้าที่ซ่อมแซมตำหนักเล็กทางด้านหน้าเพคะ”
นางกำนัลตอบพลางช่วยกันทำความสะอาดเรือนร่างของจ้าวหลินอ้ายและเปลี่ยนชุดให้นางใหม่
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวหลินอ้ายก็ออกมาเดินเล่นที่บ่อน้ำพุร้อน เมื่อวานมัวแต่เล่นสนุกกับเฉินซีหมิงจึงไม่ได้สนใจบรรยากาศโดยรอบเท่าใดนัก ตอนนี้มีเวลาว่างจึงต้องการชื่นชมทิวทัศน์ให้เต็มที่
“หืม ด้านนี้มีประตูเล็ก ไปไหนกันนะ”
สตรีเอื้อมมือเรียวไปเปิดประตู จากนั้นจึงเดินออกไปโดยไม่ได้เรียกนางกำนัลหรือองครักษ์ให้ติดตาม
ทางเดินนี้แม้จะค่อนข้างแคบแต่สะอาดสะอ้าน สองข้างทางปลูกต้นกุ้ยฮัวที่ส่งกลิ่นหอมทั่วบริเวณ
สตรีเดินตามทางไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลินจนลืมดูพื้นผิวถนนเบื้องหน้า เท้าเรียวก้าวไม่ทันระวังจึงข้อเท้าพลิกล้มลงบนพื้น
“โอ้ย”
จ้าวหลินอ้ายร้องพร้อมกับยกมือกุมข้อเท้า นางพยายามลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกเจ็บจนลุกไม่ไหว
นั่งกุมข้อเท้าของตนสักพัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา จ้าวหลินอ้ายไม่รอช้า ร้องเรียกผู้ที่เดินทางผ่านทันที
“นั่นใคร มาช่วยข้าที”
สิ้นเสียงของนางไม่กี่ลมหายใจ ดวงตากลมโตก็มองเห็นบุรุษใบหน้าหวานร่างสูงเดินมาทางตน
‘หืม หล่อน่ารัก’
เพียงแค่เห็นก็ทำให้สตรีใจเต้นรัวขึ้นมาทันใด
“แม่นางเป็นอะไรหรือ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงฟังออกถึงความห่วงใย
“ข้าข้อเท้าแพลง เจ็บมาก”
จ้าวหลินอ้ายส่งเสียงหวานตอบเขา
‘ทำไมฉันต้องดัดเสียงนะ สงสัยหล่อถูกสเปค’
สตรีคิดในใจเมื่อได้ยินเสียงที่ออกจากปากตนเองเป็นเสียงสองเสียงสาม
บุรุษรีบคุกเข่าแล้วดูข้อเท้านาง เขาหยิบห่อยาสมุนไพรที่พกติดตัวมาจากนั้นก็เทน้ำจากกระบอกน้ำผสมก่อนจะพอกเข้าที่บริเวณข้อเท้านั้น
“ข้าทายาให้แล้ว เจ้าลุกไหวหรือไม่”
จ้าวหลินอ้ายลองลุกขึ้น แต่ก็เซเข้าไปในอ้อมแขนของบุรุษ
“ข้าเดินไม่ไหว ลงน้ำหนักที่เท้าไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอโทษแม่นางแล้ว”
มือแกร่งที่จับบริเวณไหล่ของสตรีเปลี่ยนมาเป็นอุ้มนางให้อยู่ในอ้อมแขน
“ข้าต้องไปส่งแม่นางที่ไหนหรือ”
บุรุษใบหน้าหล่อหวานถามด้วยความสงสัย
สตรีที่ถูกอุ้มตอนนี้แนบใบหน้าซุกลงที่หน้าอกแกร่ง นางเผลอตัวสูดดมกลิ่นกายเขา
‘กลิ่นสมุนไพร หอมดีจัง’
“เจ้าเป็นคนเก็บสมุนไพรหรือ”
นางไม่ได้ตอบที่เขาถาม แต่ถามสิ่งที่สงสัยกลับ
บุรุษได้ฟังก็หัวเราะจนเห็นลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้าง
“จะว่าใช่ก็ใช่ แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ข้าเป็นหมอน่ะ”
จ้าวหลินอ้ายมองเขาด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม
“หมอหรือ ดีมาก”
ชาติที่แล้วเจอหมอหนุ่มงานดี ชาตินี้ที่เจอก็งานดีไม่แพ้กัน
นางคิดในใจ นิ้วเรียวชี้ไปยังทางที่ตนเดินมา
“ข้าเดินมาจากทิศทางนั้น”
นัยน์ตาคมของบุรุษมองตามปลายนิ้วของหญิงสาว
“ทางนั้นคือตำหนักฮัวซานนี่”
“ใช่”
มือเรียวโอบกอดเอวของอีกฝ่ายราวกับกลัวว่าตนเองจะหลุดจากมือแกร่งจนร่วงลงพื้น
“เอ่อ ข้าไปส่งแม่นางแค่หน้าประตูได้หรือไม่ ข้าเข้าไปในเขตตำหนักคงไม่เหมาะสม”
“เข้าไปข้างในได้ ทหารไม่ว่าหรอก”
สตรีบอกเสียงหวานอีกครั้ง
“เจ้า เอ่อ ท่านหมอมีนามว่าอะไรหรือ”
นางถามชื่อของเขาก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง
“ข้ามีนามว่าหลี่เสิน แม่นางล่ะ”
“เรียกข้าว่าอ้ายเอ๋อร์ก็ได้”
จ้าวหลินอ้ายบอกเขาเพียงเท่านี้ เพราะเกรงว่าหากบอกชื่อเต็มเดี๋ยวเขาจะรู้ฐานะของตนจนไม่กล้าอุ้มต่อ
“อ้ายเอ๋อร์ ชื่อเพราะดีนะ”
เขาเอ่ยชม ขายาวก้าวเดินไม่นานก็ถึงประตูเล็กข้างตำหนัก
เมื่อก้าวเข้ามาในบริเวณตำหนัก สายตาของบุรุษสตรีก็เห็นองครักษ์และนางกำนัลกำลังตามหาใครสักคน เมื่อพวกเขาหันหน้ามาที่ประตูก็พบกับสายตาของจ้าวหลินอ้ายที่จ้องพวกเขา
เห็นดังนั้นก็รู้ดีว่าพวกเขาควรปิดปากเงียบไม่พูดอะไรออกมา
“เข้าไปส่งข้าข้างในเถอะ”
จ้าวหลินอ้ายบอกหลี่เสินที่กำลังยืนงุนงงอยู่หน้าประตู
บุรุษลังเลเล็กน้อย นางจึงพูดซ้ำ
“ไม่เป็นอะไร ไปส่งข้าข้างในได้”
หลี่เสินพยักหน้า เขาเดินอุ้มสตรีไปตามทางที่บอก มีนางกำนัลและทหารองครักษ์เดินตามหลังเงียบๆ อย่างรู้งาน
เข้ามาภายในตำหนักก็เห็นเฉินซีหมิงยืนรออยู่ด้านใน
“ฝ่าบาท”
เฉินซีหมิงรีบพูด ดวงตาดอกท้อมองบุรุษที่อุ้มนางก่อนจะส่งเสียงด้วยความแปลกใจ
“หลี่เสิน”
“อ้าว ท่านพี่ซีหมิง”
บุรุษทักทายกันน้ำเสียงดีใจ
“เอ่อ”
จ้าวหลินอ้ายเริ่มกระอักกระอ่วน เกิดมาชาติที่แล้วก็ไม่เคยมีแฟน พอชาตินี้พาชายหนุ่มอีกคนมาเจอคนของตัวเองจึงวางตัวไม่ถูก
นี่หรือคือความรู้สึกของรถไฟชนกัน
นางนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนพูด
“พาข้าไปนั่งก่อนเถอะ”
“อ่อ ได้”
หลี่เสินพยักหน้า เขาอุ้มร่างบางของสตรีไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่ใกล้
“เอ่อ เมื่อครู่พี่ซีหมิงเรียกแม่นางอ้ายเอ๋อร์ว่าฝ่าบาทหรือ”
เฉินซีหมิงเหลือบมองสตรีที่นั่งก้มหน้า ริมฝีปากบางยกยิ้มเข้าใจเจตนาของนาง
“ใช่ อ้ายเอ๋อร์ก็คือจ้าวหลินอ้าย จักรพรรดินีของแคว้น”
หลี่เสินได้ยินเข่าทรุดลงทันใด เขานั่งหมอบตรงหน้าของจ้าวหลินอ้าย
“กระหม่อมไม่ทราบว่าเป็นฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตาย”
สตรีมองท่าทางของเขาด้วยความพอใจ มือเรียวประคองเขาให้ลุกขึ้น
“ข้าจะเอาชีวิตเจ้าทำไม ให้เจ้าเข้ามาอยู่ในวังกับข้าดีกว่า”
ดวงตากลมโตมองบุรุษอย่างเอ็นดู ก่อนเงยหน้ามองที่เฉินซีหมิง
“กระหม่อมรู้จักหลี่เสินมานานแล้ว เขาเป็นคนดี ชาติตระกูลดี มีความรู้ทางการแพทย์มาก เขาเป็นหลานของหมอเทวดาหลี่ซือ”
เฉินซีหมิงรีบบอกประวัติทันใด
“หลานของท่านหมอเทวดา หากข้าให้เขาอยู่ในวัง ท่านหมอจะโกรธหรือไม่”
จ้าวหลินอ้ายยกมือเรียวขึ้นมาจับคางตน น้ำเสียงเจือความกังวล
เฉินซีหมิงมองหลี่เสิน เขาอมยิ้มเล็กน้อย
“หลี่เสิน ถ้าเจ้าเข้ามาเป็นนายสนมในวัง ท่านปู่ของเจ้าจะโกรธหรือไม่”
บุรุษหน้าหวานได้ฟังมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นสนมหรือ สนมของฝ่าบาท”
เขามองสตรีตรงหน้า สายตาเหลือบมองรูปร่างอวบอัดของนางก็แอบกลืนน้ำลาย
“ท่านปู่และท่านพ่อของกระหม่อมคงไม่ว่าอะไร แต่กระหม่อมคงไม่เหมาะสมกับฝ่าบาท”
“เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมข้าเป็นคนตัดสินเอง”
จ้าวหลินอ้ายพูดทันทีที่เขาพูดจบ
“เจ้าเข้าวังมาช่วยเฉินซีหมิงด้วย เขามีงานเยอะ แบ่งเวลามาดูแลข้าตลอดไม่ได้อยู่แล้ว”
เฉินซีหมิงพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าเองก็ต้องทำงานให้ราชสำนัก เรื่องในวังคงดูแลไม่ทั่วถึง เจ้าเข้ามาเป็นหมอหลวงในวัง ช่วยข้าดูแลฝ่าบาทดูแลวังหลังดีกว่า”
เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อ
“ข้าคิดว่าสองคนยังน้อยไปเลย”
จ้าวหลินอ้ายหันมองเขาอย่างรวดเร็ว
“หยุดพูด เจ้าคนเดียวข้าก็เหนื่อยแล้ว สองคนคงจะถึงขีดจำกัดของข้า ข้าไม่อยากหามาเพิ่ม”
เฉินซีหมิงหยุดปิดปากทันใด ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด หลี่เสินที่ฟังอยู่ตอนแรกก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่จ้าวหลินอ้ายพูด แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินซีหมิงเข้าก็เข้าใจความหมาย
“ฝ่าบาทยังอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ มากกว่าสองคนก็ยังได้พะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้ทำให้จ้าวหลินอ้ายเขินอายขึ้นมา นางรีบโบกมือไล่บุรุษรูปงามสองคนที่อยู่ในห้อง
“ข้าอยากอยู่คนเดียว พวกเจ้าสองคนออกไปก่อนเลย”
มีอย่างที่ไหนบุรุษสตรีพูดเรื่องใต้สะดือกันกลางวันแสกๆ
“ฝ่าบาท เช่นนั้นข้าไปพบท่านหมอเทวดาหลี่ซือกับหลี่เสินก่อนนะพะย่ะค่ะ”
ซีหมิงบอกจ้าวหลินอ้าย เขาส่งสายตาให้หลี่เสินตามตนออกจากห้องด้วยความว่องไว
จ้าวหลินอ้ายมองบุรุษที่ออกจากห้อง นางเดินกระเผลกไปที่เตียง มือจับที่ข้อเท้าของตนเองสีหน้าประหลาดใจ
“แทบไม่เจ็บแล้ว สมกับเป็นหลานของหมอเทวดาจริงๆ”
ร่างบางล้มลงนอนบนเตียงแล้วกลิ้งไปมาก่อนพูดพึมพำกับตนเอง
“คิดไม่ถึงว่าชาตินี้จะมีสามีหลายคน จ้าวหลินอ้าย เจ้าทำบุญมาด้วยอะไรกันนะ”
ริมฝีปากอวบอิ่มพูดพลางหัวเราะร่า
เช้าวันถัดมา จ้าวหลินอ้ายตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่ในห้องบรรทมเพียงผู้เดียว ดวงตากลมมองไปรอบห้องไม่เห็นเฉินซีหมิงจึงเรียกนางกำนัลที่เฝ้าอยู่นอกห้องเข้ามาซักถาม“ราชครูเฉินไปไหน” “ไปดูเจ้าหน้าที่ซ่อมแซมตำหนักเล็กทางด้านหน้าเพคะ”นางกำนัลตอบพลางช่วยกันทำความสะอาดเรือนร่างของจ้าวหลินอ้ายและเปลี่ยนชุดให้นางใหม่ หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวหลินอ้ายก็ออกมาเดินเล่นที่บ่อน้ำพุร้อน เมื่อวานมัวแต่เล่นสนุกกับเฉินซีหมิงจึงไม่ได้สนใจบรรยากาศโดยรอบเท่าใดนัก ตอนนี้มีเวลาว่างจึงต้องการชื่นชมทิวทัศน์ให้เต็มที่ “หืม ด้านนี้มีประตูเล็ก ไปไหนกันนะ”สตรีเอื้อมมือเรียวไปเปิดประตู จากนั้นจึงเดินออกไปโดยไม่ได้เรียกนางกำนัลหรือองครักษ์ให้ติดตามทางเดินนี้แม้จะค่อนข้างแคบแต่สะอาดสะอ้าน สองข้างทางปลูกต้นกุ้ยฮัวที่ส่งกลิ่นหอมทั่วบริเวณสตรีเดินตามทางไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลินจนลืมดูพื้นผิวถนนเบื้องหน้า เท้าเรียวก้าวไม่ทันระวังจึงข้อเท้าพลิกล้มลงบนพื้น“โอ้ย”จ้าวหลินอ้ายร้องพร้อมกับยกมือกุมข้อเท้า นางพยายามลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกเจ็บจนลุกไม่ไหวนั่งกุมข้อเท้าของตนสักพัก ก็ได้ยินเสียงฝีเ
ตำหนักฮัวซาน ภูเขาฮัวซาน เมืองต้าซาน จ้าวหลินอ้ายนั่งอยู่บนจุดชมวิวที่สูงที่สุด จากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทั่วทั้งเมืองต้าซาน ทั้งยังสามารถมองเห็นเมืองอื่นที่อยู่ไกลๆ ได้อีกหลายเมือง “ฝ่าบาทไม่เข้าไปพักผ่อนในตำหนักหรือพะย่ะค่ะ”เฉินซีหมิงเดินถือถาดใส่ผลไม้มาวางไว้บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างกายนาง “อากาศดีเช่นนี้จะไปอุดอู้อยู่ในตำหนักทำไม”จ้าวหลินอ้ายกวักมือให้บุรุษลงนั่งข้างกาย เฉินซีหมิงไม่รอช้า หย่อนกายลงบนเก้าอี้ มือหนาหยิบอิงเถาป้อนใส่ปากนางทันที “ที่ด้านหลังของตำหนักมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่นะพะย่ะค่ะ นอกจากอุณหภูมิของน้ำที่อุ่นกำลังพอเหมาะดีต่อสุขภาพแล้ว ทิวทัศน์ตรงนั้นก็ยังสวยงามไม่แพ้ที่ตรงนี้” ดวงตาหวานของสตรีมองชายหนุ่ม ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มยั่วยวน “เจ้าคิดว่า เหมาะกับการทำภารกิจนอกสถานที่หรือไม่” เฉินซีหมิงตาโตประหลาดใจกับคำพูดของสตรีตรงหน้า ก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ “ดีสิพะย่ะค่ะ คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง การทำภารกิจนอกสถานที่จะทำให้ฝ่าบาทได้รับพลังหยินจากพระจันทร์และพลังหยางจ
ปัก ปัก ปักเสียงที่น่าอายดังเป็นจังหวะต่อเนื่องสักพัก จากนั้นก็เร็วขึ้นเป็น ‘ปักปักปักปัก’ รัวๆ จนบุรุษสตรีบนเตียงต่างส่งเสียงครางอย่างไม่อายไม่นานนักร่างบางก็เกร็งกระตุกพร้อมกับร่างหนาที่ขยับสะโพกเข้าร่องรักจนสุด ปลายแท่งหยกฉีดพ่นน้ำสีขาวขุ่นจนเต็มร่องหวานใบหน้างามของจ้าวหลินอ้ายมองใบหน้าสุขสมของชายหนุ่ม รวมถึงอาวุธคู่กายที่ออกจากกลางกายตนก็ใจสั่นจนควบคุมไม่อยู่‘เสร็จพร้อมกันคือแบบนี้สินะ’นางแกล้งล้มตัวนอนรอดูท่าทีของเฉินซีหมิง“เหนื่อยแล้วหรือพะย่ะค่ะ”เฉินซีหมิงล้มลงนอนข้างกายสตรี มือหนาลูบผมของนางอย่างแผ่วเบา“เหนื่อยแล้วอย่างไร ไม่เหนื่อยแล้วอย่างไร”สตรีพูดพลางอมยิ้มไม่ให้บุรุษสังเกตเห็น“ฝ่าบาทนี่นะ”เฉินซีหมิงทำหน้าหมั่นเขี้ยว เขาขยับกายแกร่งให้อยู่บนร่างอวบอัด ริมฝีปากก้มลงหยอกเย้าหน้าอกทั้งสองข้างอีกครั้ง“พรุ่งนี้พระองค์อาจจะเสด็จออกท้องพระโรงไม่ไหว”เขาหยุดพูดสักพักก่อนจะเริ่มปรนเปรอนางอีกครั้ง“หากพรุ่งนี้ข้าออกท้องพระโรงเป็นปกติแสดงว่าคืนนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกขุนนางคงหาว่าเจ้าไม่ได้เรื่อง”“ได้ กระหม่อมจะทำให้เต็มที่พะย่ะค่ะ”เฉินซีหมิงจับขาขาวพาดไหล่ของตน แล้วข
เมื่อถึงยามค่ำคืน ราชครูเฉินหรือเฉินซีหมิงก็มาถึงตำหนักเยว่กวง ดูจากใบหน้าของเขาก็รู้ว่ามีความประหม่าและวิตกกังวลแอบซ่อนอยู่“ฝ่าบาท ราชครูเฉินมาแล้วเพคะ”“ให้เขาเข้ามา”จ้าวหลินอ้ายกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน เมื่อหางตาเห็นบุรุษรูปงามร่างสูงเข้ามานางก็เดินนำเข้าไปยังห้องสรงน้ำ“เจ้าต้องเนื้อตัวสะอาดก่อนที่จะปรนนิบัติข้า”นางกล่าวกับบุรุษ แขนเรียวกางออกทั้งสองข้าง นางกำนัลเข้ามาปลดอาภรณ์ของนางออกด้วยความรวดเร็วเฉินซีหมิงรีบหลุบตามองต่ำ เขาไม่กล้ามองเรือนร่างของจักรพรรดินีตนจ้าวหลินอ้ายสังเกตเห็นท่าทางของเขาก็อมยิ้มชอบใจ‘อ่อนประสบการณ์สินะ ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่เคยเช่นกัน ชาติก่อนโสด ชาตินี้ก็ต้องลองสักหน่อย’“เจ้าไม่ลงสระพร้อมกับข้าล่ะ”นางถามชายหนุ่มที่ยังคงยืนประหม่าอยู่ริมสระหลังจากที่กล่าวจบ เหล่านางกำนัลก็เข้าล้อมรอบเฉินซีหมิง มือหลายคู่จับเข้าที่เสื้อผ้าของเขาชิ้นต่างๆ ไม่นานนักเสื้อผ้าทุกชิ้นก็หลุดออกจากกายอย่างรวดเร็วบุรุษใบหูแดงก่ำ เกิดมาเพิ่งเคยถูกสตรีถอดเสื้อผ้า เขารีบลงสระโดยไม่รอให้จ้าวหลินอ้ายเรียกอีกครั้งจ้าวหลินอ้ายโบกมือส่งสัญญาณให้นางกำนัล นางกำนัลต่างพากันดับไฟจนเหลือแสงส
“ฉันชื่อจ้าวหลินอ้าย เป็นสาวโสดวัยสามสิบหกปี ขณะที่กำลังจะข้ามถนนกลับบ้านก็ถูกรถยนต์ฝ่าสัญญาณไฟเข้ามาชนอย่างรุนแรง รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในอีกยุคสมัย ไม่รู้ว่าเป็นยุคโบราณหรือโลกใบใหม่มิติใหม่กันแน่แต่ที่รู้ก็คือชีวิตใหม่นี้ช่างทำให้ฉันมีความสุขเสียจริง นอกจากจะได้มาเป็นจักรพรรดินีผู้ปกครองแผ่นดินแล้ว บรรดาขุนนางข้าราชการที่รายล้อมล้วนหน้าตาดีเป็นอาหารแก่สายตาแทบจะตลอดเวลาถึงจะต้องว่าราชการบริหารแผ่นดินก็สู้ตายล่ะ”ร่างบางของสตรีในชุดสีแดงสดลุกขึ้นจากเตียงบรรทมอย่างเกียจคร้าน มีนางกำนัลหลายคนคอยปรนนิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง“ฝ่าบาท เหล่าขุนนางมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”นางกำนัลน้อยกราบทูล“พวกเขาได้บอกหรือไม่ว่ามีเรื่องอันใด”จ้าวหลินอ้ายเอ่ยปากพูดน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้นางอยู่ในร่างของสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับนางในชาติที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่สตรีร่างนี้มีอายุสามสิบสามปีเท่านั้นสามสิบสามปีแต่ยังไม่มีพระสวามีเป็นตัวเป็นตน ขนาดนายสนมในวังก็ไม่มีสักคนนี่จักรพรรดินีจ้าวหลินอ้ายคนก่อนใจแข็งอยู่เป็นโสดท่ามกลางบรรดาบุรุษรูปงามได้อย่างไรกัน “น่าจะเร่งให้ฝ่าบาทรับสนมเข้าวังเพคะ”“อ่อ