Share

บทที่ 41 ศาลาว่าความ

Penulis: BigM00N
last update Terakhir Diperbarui: 2025-05-23 21:08:11

โม่เจาผู้เป็นเจ้ากรมอาญาคนปัจจุบันเป็นคนที่เมื่อลงมือแล้วก็จะทำอย่างเต็มที่ แม้ว่าครั้งนี้จะต้องล่วงเกินสกุลใหญ่โตอย่างสกุลจ้าวแต่เมื่อสืบได้ความแล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบส่งคนไปตามตัวจ้าวซีเฉิงมาที่ศาลาว่าความของกรมอาญาในทันที

ศาลาว่าความของกรมอาญาแห่งนี้รับเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้คนทุกชนชั้น มีกฎระเบียบอย่างเข้มงวด หากได้ลงมือสอบสวนด้วยตนเองมักจะขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหด แต่สาเหตุที่ศาลาว่าความแห่งนี้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือก็คือที่แห่งนี้คือสถานที่มอบความเป็นให้แก่ประชาชนทั่วไปโดยไม่เลือกปฏิบัติ ส่วนใหญ่คดีที่ทำจึงมักจะเป็นคดีของขุนนางที่รังแกชาวบ้าน

วันนี้ชาวบ้านต่างให้ความสนใจที่ศาลาแห่งนี้เป็นพิเศษ เพราะคนที่ศาลอาญาไปนำตัวมาคือคุณชายใหญ่สกุลจ้าวซึ่งสกุลเดิมของจ้าวไทเฮาอดีตผู้สำเร็จราชการหลังม่านของรัชกาลนี้ ที่สำคัญคุณชายใหญ่สกุลจ้าวผู้นี้ก็มีฐานะที่ไม่ธรรมดา นอกจากจะมีบิดาเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายขวาคนปัจจุบันแล้ว เขายังได้เป็นรองเจ้ากรมอากรตั้งแต่ยังอายุน้อยอีกด้วย

“พวกท่านนำตัวข้ามาที่นี่เพราะเรื่องใด ทางที่ดีควรมีคำตอบที่ดีให้ข้า ไม่เช่นนั้นศาลาว่าความแห่งนี้ได้ถูกข้าจัดการเป็นรายบุคคลอย่างแน่นอน” จ้าวซีเฉิงเอ่ยขึ้นในทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในด้านในของศาลาว่าความ ชาวบ้านที่มามุงดูล้วนได้ยินถ้อยคำนี้ของเขากันทั่วหน้าแล้วต่างพากันกังวลแทนเจ้าหน้าที่ของกรมอาญาที่เคยมอบความยุติธรรมให้แก่พวกเขาไม่ได้

“สาเหตุที่ข้าเชิญท่านมาก็เพราะลูกน้องของท่านได้สารภาพออกมาแล้วว่าพวกเขาได้รับการสั่งการจากท่านให้ไปผลักคุณหนูจวนผิงกั๋วกงตกน้ำแล้ววางแผนให้คุณชายใหญ่สกุลอู๋ลงไปช่วยนาง” เมื่อโม่เจาเอ่ยเช่นนี้ชาวบ้านที่รอฟังอยู่ด้านนอกล้วนพากันส่งเสียงกันอย่างอื้ออึงประจวบเหมาะกับที่เช้านี้เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาก็ต่างได้ยินข่าวลือมากมายจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้

คุณหนูสกุลจ้าวริษยาคุณหนูจวนกั๋วกงที่มีความสามารถทางด้านบทกวีมากกว่าก็เลยแก้แค้นด้วยการส่งคนไปผลักคุณหนูจวนผิงกั๋วกงตกน้ำ เมื่อครู่นี้ก็ยังมีข่าวลืออีกว่าคุณหนูจวนผิงกั๋วกงตกลงไปในน้ำโดยมีองค์รัชทายาทกระโดดลงไปช่วย ไม่ว่าจะเป็นข่าวใดสิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นความจริงก็คือคุณหนูจวนผิงกั๋วกงตกลงไปในน้ำและมีคนลงไปช่วยนำนางขึ้นมา ซึ่งเท่ากับว่ายามนี้คุณหนูจวนผิงกั๋วกงผู้นั้นถูกทำลายความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว

“ในเมื่อลูกน้องของข้าสารภาพแล้วว่าเขาเป็นคนทำ ก็ย่อมจะนับว่าจบเรื่องแล้ว แล้วเหตุใดจึงต้องตามข้ามาที่นี่ด้วย” เมื่อจ้าวซีเฉิงเอ่ยเช่นนี้โม่เจาก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา

“เบิกตัวพยาน เมื่อคืนนี้ตอนที่คุณชายและคุณหนูสกุลจ้าวพูดคุยกันมีพยานหลายคนที่ได้ยินคำพูดของพวกท่าน และยังได้ยินตอนที่คุณชายใหญ่จ้าวออกคำสั่งแก่ลูกน้อง” เมื่อโม่เจาเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็ยิ้มเยาะออกมา โม่เจาเรียกพยานออกมาทีละคนแล้วให้พวกเขาเอ่ยทวนคำพูดระหว่างจ้าวซีเฉิงและจ้าวซีอิน ซึ่งแต่ละคนที่ออกมาเป็นพยานต่างก็ทบทวนคำพูดของจ้าวซีอินและจ้าวซีเฉิงได้อย่างไม่มีตกหล่น จ้าวซีเฉิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีในทันที

“พยานห้าคนแต่กลับจำประโยคพูดคุยของบุตรชายและบุตรสาวของข้าได้อย่างแม่นยำและไม่มีตกหล่นสักคำ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาท่องจำได้ดีข้าย่อมไม่มีทางเชื่อแน่ว่าจะมีผู้ใดยืนแอบฟังบทสนทนาของคนอื่นอย่างละเอียดเช่นนี้ ท่านเจ้ากรมโม่ข้าได้ยินมาว่าหนึ่งในสตรีที่ตกน้ำมีหลานของท่านอยู่ในนั้นด้วย ยามนี้ท่านออกหน้ามาไต่สวนด้วยตนเองเช่นนี้ออกจะดูไม่เป็นธรรมไปสักหน่อยนะ” เสนาบดีฝ่ายขวาจ้าวฉีเอ่ยพลางก้าวเท้าเข้ามาศาลาว่าความของกรมอาญาด้วยท่วงท่าองอาจและน่ายำเกรง

“คารวะท่านเสนาบดีจ้าว” โม่เจาเอ่ยพลางค้อมกายคำนับด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ เขามีอายุน้อยกว่าจ้าวฉีเพียงไม่กี่ปีแต่รูปลักษณ์ของคนทั้งคู่กับแตกต่างกันมาก หากจะพูดให้ถูกก็คือจ้าวฉีนั้นมีรูปลักษณ์แก่ชราตามวัย แต่โม่เจาที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดีแถมยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ รูปร่างจึงยังคงดูดีอยู่มากใบหน้าก็อ่อนเยาว์กว่า เมื่อยืนเทียบกันแล้วจ้าวฉีพลันดูแก่ชราลงไปอีกสิบปีเลยทีเดียว

“ไม่ต้องมากพิธี ที่ข้ามาในวันนี้ก็แค่อยากจะบอกกับท่านเจ้ากรมอาญาว่า อย่าได้คิดสาดโคลนใส่คนสกุลจ้าวของข้า ข้าผู้นี้ไม่มีทางยอมให้ท่านทำเช่นนั้นแน่” เมื่อเสนาบดีจ้าวกล่าวจบ ก็มีสตรีสามคนแต่งกายด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับตามแบบฉบับของสตรีชั้นสูงที่ออกเรือนแล้วสามคนเปิดเผยใบหน้าอันงดงามและอ่อนเยาว์เดินเข้ามาในศาลาว่าความด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“คารวะท่านเจ้ากรมอาญาโม่และท่านเสนาบดีจ้าว ข้าคือฮูหยินจวนผิงกั๋วกงมีนามว่าเฉียวลี่ถิง ที่ติดตามมาด้วยก็คือน้องสะใภ้ทั้งสองของข้า ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อตั้งใจจะมาร้องทุกข์ต่อหน้าทุกคน บุตรสาวและหลานสาวของข้าถูกคนจงใจผลักลงน้ำ แถมวันนี้ยังมีคนกล้าออกมาปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์และดีงามของบุตรสาวของข้าอีก ทำให้ข้าไม่อาจจะนิ่งนอนใจรีบมาที่นี่เพื่อร้องทุกข์เพิ่มเติมเจ้าค่ะ”

เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยจบกันหันไปทางโม่ซื่อ โม่ซื่อจึงได้หันไปสั่งให้คนนำตัวทั้งบุรุษและสตรีหลายคนเดินเข้ามาในศาล หนึ่งในบุรุษที่เดินเข้ามาทำให้สองพ่อลูกสกุลจ้าวหน้าเสียเพราะเขาคือข้ารับใช้คนสนิทของจ้าวซีเฉิง ส่วนสตรีอีกสองคนที่ถูกพาตัวเข้ามาคือสาวใช้คนสนิทของจ้าวซีอิน

“ชาวบ้านหลายคนนี้สามารถช่วยเป็นพยานให้ข้าได้ ว่าบุรุษและสตรีที่สวมเสื้อผ้าของข้ารับใช้จวนสกุลจ้าวมอบเงินให้พวกเขาเป็นจำนวนมากเพื่อปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงอันดีงามของบุตรสาวของข้า แถมยังกล้าป้ายสีองค์รัชทายาททำให้พระองค์ทรงพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย”

เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้จ้าวฉีก็หันไปส่งสายตาดุดันให้แก่บุตรชายคนโตในทันที ส่วนจ้าวซีเฉิงนั้นกำลังมองคนของตนและน้องสาวด้วยสายตาอาฆาต ออกไปทำธุระเช่นนั้นแล้วยังกล้าสวมใส่ชุดของข้ารับใช้ภายในจวนออกไป ไม่รู้ว่าเป็นข้ารับใช้เหล่านี้ที่โง่เง่าหรือเป็นเพราะเขาโง่เองกันแน่ที่เลือกใช้คนเหล่านี้ออกไปทำงาน

“คุณชายใหญ่และคุณหนูรองสกุลจ้าวอาจจะเลี่ยงความผิดเรื่องการวางแผนทำลายลูกข้าได้ด้วยการกล่าวหาว่าท่านเจ้ากรมโม่มีจิตคิดลำเอียง เช่นนั้นยามนี้ก็ให้ประชาชนที่มาร่วมรับฟังการพิจารณาคดีได้ช่วยออกความเห็นในคดีนี้ก็แล้วกันว่าบุตรชายและบุตรสาวของท่านเสนาบดีจ้าวมีความผิดหรือไม่ ว่าแต่ท่านเจ้ากรมโม่เหตุใดท่านจึงไม่เชิญคุณหนูรองสกุลจ้าวมาด้วยเล่าท่านก็ได้ยินแล้วว่าเมื่อคืนนี้นางสมรู้ร่วมคิดกับพี่ชายวางแผนทำลายผู้อื่นอย่างโหดร้าย อย่าได้เห็นแก่ที่นางเป็นสตรี สตรีที่มีจิตใจชั่วร้ายคิดริษยาผู้อื่นจนถึงขั้นวางแผนทำลายผู้อื่นให้ย่อยยับโดยไม่มีจิตสำนึกเช่นนี้ท่านสมควรจะพาตัวมาที่นี่เพื่อไต่สวนและลงโทษด้วย เพื่อวันหน้าผู้อื่นจะได้ไม่คิดเอานางเป็นเยี่ยงอย่าง” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้โม่เจายิ้มออกมา

“ในเมื่อผิงกั๋วกงฮูหยิน พร้อมด้วยฮูหยินรองและฮูหยินสามของจวนผิงกั๋วกงยังออกหน้ามาร้องทุกข์ด้วยตนเองเช่นนี้ เช่นนั้นข้าคงต้องขอล่วงเกินท่านเสนาบดีจ้าวด้วยการส่งคนไปเชิญตัวคุณหนูรองสกุลจ้าวมาที่นี่สักหน่อยแล้ว” เมื่อโม่เจาเอ่ยเช่นนี้จ้าวฉีก็พลันมีสีหน้าเคร่งขรึมเขา บุตรสาวคนรองของเขาผู้นี้เขาหมายมั่นปั้นมือให้นางได้เป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตไม่อาจจะปล่อยให้นางเปิดเผยใบหน้ามาอยู่ในศาลาว่าความแห่งนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status