ทางฝ่ายจ้าวซีอินและจ้าวซีเฉิงเมื่อรู้ว่าแผนการของตนเองล้มเหลวก็ไม่ได้ใส่ใจอันใด มีเพียงความรู้สึกไม่พอใจที่รู้ว่าคนที่ลงไปในน้ำเมื่อคืนนี้มีองค์รัชทายาทอยู่ด้วย
“ข้ายังหลงคิดว่าท่านพี่มีความสามารถมากกว่านี้เสียอีก” เมื่อจ้าวซีอินเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ผู้ใดจะรู้เล่าว่าคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงจะว่ายน้ำได้แถมยังว่ายเร็วมากเสียด้วย คนไม่ได้เรื่องอย่างอู๋มู่จือจะตามประกบนางไม่ทันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่ข้ารู้สึกแปลกใจก็คือเพราะเหตุใดองค์รัชทายาทจึงได้ไปอยู่ที่นั่น”
“พระองค์ก็ทรงอยากจะหาความสำราญเฉกเช่นพวกเรากระมังเจ้าคะ” จ้าวซีอินเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่ไม่ใส่ใจแต่จ้าวซีเฉิงกลับส่ายหน้า
“ซีอิน องค์รัชทายาทอยู่ในงานเทศกาลย่อมไม่แปลกแต่การที่ทรงลงไปอยู่ในน้ำพร้อมกับคุณหนูจากจวนผิงกั๋วกงเช่นนี้เจ้าไม่รู้สึกประหลาดใจบ้างเลยหรือ แม้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกมาแต่ทุกคนย่อมรู้ดีว่าองค์รัชทายาทไม่มีทางจะลงไปช่วยคุณชายหยวนด้วยตนเอง องครักษ์ที่ติดตามก็มีมากมายสั่งให้ใครสักคนลงไปก็เป็นอันใช้ได้แล้ว แต่ที่ทรงกระโดดลงไปเองเช่นนี้จุดประสงค์หลักน่าจะเป็นเพราะต้องการช่วยเหลือสาวงามมากกว่า” เมื่อจ้าวซีเฉิงเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีอินจึงได้นิ่งไปแล้วแล้วนางก็เอ่ยออกมาอย่างไม่คิดจะเชื่อ
“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น หากองค์รัชทายาทลงไปช่วยนางจริง ถ้าเช่นนั้นป่านนี้องค์รัชทายาทก็คงจะถูกนางจิ้งจอกผู้นั้นทูลขอให้ช่วยรับผิดชอบความบริสุทธิ์ของนางไปแล้วสิ” เมื่อจ้าวซีอินเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“ดูอย่างคุณหนูสกุลจี้สิ ก่อนหน้านี้นางเคยมองท่านพี่ที่ไหน ชิงตอบรับการหมั้นหมายกับซื่อจื่อจวนไหวซางป๋อโดยไม่คิดจะไว้หน้าท่านสักนิด แต่พอเกิดเรื่องตกน้ำขึ้นมาท่านพี่จะให้นางทำอันใดนางก็ยอมทั้งสิ้นแม้ต้องยอมมอบทรัพย์สินกึ่งหนึ่งให้ท่านแถมยังต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยารองนางก็ล้วนยินดี จนป่านนี้ข้ายังใช้เครื่องประดับที่ท่านขูดรีดมาจากจวนสกุลจี้ไม่ครบเลย” เมื่อจ้าวซีอินเอ่ยเช่นนี้ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปในห้องโถงของเรือนหลักถึงกับหยุดชะงักฝีเท้าในทันที
“เจ้าจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ไปทำไมกัน หากตอนนางไม่ปฏิเสธการขอหมั้นหมายจากข้ายามนี้พี่สะใภ้ของเจ้าก็คงจะไม่ใช่เถียนเอ๋อแล้ว” จ้าวซีเฉิงเอ่ยถึงภรรยาเอกของเขาที่เป็นญาติผู้น้องจากสกุลเดิมของมารดาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้น
“ข้าก็แค่อยากจะบอกว่า หากนางจิ้งจอกจากจวนผิงกั๋วกงได้รับการช่วยเหลือจากองค์รัชทายาทจริง ยามนี้คนจากจวนผิงกั๋วกงของพวกนางก็คงจะวิ่งแจ้นไปที่วังเพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว” เมื่อจ้าวซีอินเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็พลันหัวเราะออกมา
“คนจากจวนผิงกั๋วกงหรือจะกล้าทำเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าบุรุษภายในจวนล้วนอยู่ชายแดนกับเกือบทั้งหมด ที่อยู่ภายในจวนมีเพียงสตรีและคนชราและข้ารับใช้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น หึหึ เดิมทีจวนผิงกั๋วกงก็มีทหารอยู่ในมือจนเป็นที่น่าหวาดระแวงของฝ่าบาทอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกนางจะวิ่งไปขอความเป็นธรรมจากฝ่าบาท” เมื่อจ้าวซีเฉิงเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีอินก็หันไปมองพี่ชายด้วยสายตาไม่เห็นด้วย
“อย่าได้คิดจะทำเชียว ท่านพี่จะปล่อยข่าวทำลายชื่อเสียงนางด้วยวิธีการใดก็ได้ แต่อย่าได้ดึงองค์รัชทายาทของข้าไปข้องเกี่ยวกับนางอย่างเด็ดขาด”
“ใช้คำว่าองค์รัชทายาทของเจ้าเชียวหรือ ซีอิน นี่เจ้ายังไม่เห็นท่าทีที่องค์รัชทายาทปฏิบัติต่อเจ้าอีกหรือ”
“ข้าไม่สนใจหรอก ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อก็ย่อมจะต้องคว้าตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทมาให้ข้าได้อยู่แล้ว สิ่งที่ตอนนี้ข้าให้ความสนใจก็คือทำอย่างไรจึงจะสามารถทวงคืนความแค้นที่ข้าถูกคนจวนผิงกั๋วกงหักหน้ากลางที่สาธารณะได้ต่างหากเล่าเจ้าคะ” เมื่อจ้าวซีอินเอ่ยเช่นนี้ จ้าวซีเฉิงก็พลันหัวเราะออกมา
“เรื่องนี้ย่อมไม่ยากชื่อเสียงของสตรีนับเป็นเรื่องใหญ่หากมีข่าวลือที่ทำให้เสียหายก็นับได้ว่าถูกทำลายชีวิตไปทั้งชีวิตแล้ว” เมื่อจ้าวซีเฉิงเอ่ยจบเขาก็มองจ้าวซีอินด้วยสีหน้ามีเลศนัย
“ส่งคนของเจ้าไปปล่อยข่าวลือ ว่าที่จริงแล้วองค์รัชทายาทลงไปช่วยคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงขึ้นจากน้ำ แล้วพวกเรามารอดูกันว่าจวนที่มีแต่สตรีเช่นนั้นจะวิ่งโร่ไปขอพระเมตตาจากฝ่าบาทที่วัง หรือว่าจะทนแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่เอาไว้” จ้าวซีเฉิงเอ่ยพลางยิ้มออกมาด้วยสีหน้าชั่วร้าย
“หากทนรับชื่อเสียงฉาวโฉ่เอาไว้ไม่ไหวก็แค่ทำให้คุณหนูใหญ่จบชีวิตของตนเองเพื่อรักษาความบริสุทธิ์” คำพูดจ้าวซีเฉิงทำให้จ้าวซีอินมีสีหน้าไม่พอใจ
“แล้วถ้าหากองค์รัชทายาทคิดจะออกหน้ารับผิดชอบในเรื่องนี้เองเล่า”
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก คนอย่างองค์รัชทายาทไม่ชอบการถูกบังคับมากที่สุดเรื่องนี้พวกเราย่อมรู้ดี” เมื่อจ้าวซีเฉิงเอ่ยเช่นนี้สองพี่น้องสกุลจ้าวก็จ้องมองกันด้วยสายตารู้ทัน แล้วจึงได้หันไปสั่งการกับคนของตนในทันที โดยไม่ได้รู้สักนิดว่าเมื่อครู่นี้จี้เฟยเซียนผู้เป็นภรรยารองของจ้าวซีเฉิงยืนฟังอยู่ด้านนอกและรีบเดินจากไปในทันทีหลังจากรู้ว่าสองพี่น้องสกุลจ้าวกำลังคิดจะเล่นงานผู้อื่นด้วยการปล่อยข่าวลือเพื่อทำลายชื่อเสียง
“เจ้าจงไปหาคนของคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกง บอกกับนางว่าสองพี่น้องสกุลจ้าวกำลังจะปล่อยข่าวลือเพื่อทำลายชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่ของนาง ส่วนเรื่องที่คุณหนูใหญ่นางไหว้วานให้ข้าทำ เจ้าจงบอกกับสาวใช้ผู้นั้นว่าข้ายินดีให้ความช่วยเหลือคุณหนูใหญ่อย่างเต็มที่” จี้เฟยเซียนเอ่ยขึ้นหลังจากกลับไปถึงเรือนแล้วซึ่งสาวใช้ของนางก็รีบรับคำแล้วรีบหาวิธีออกไปส่งข่าวให้แก่สาวใช้ของคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงในทันทีเช่นกัน
สำหรับจี้เฟยเซียนแล้วเดิมทีนางได้ปล่อยวางแล้วและคิดจะยอมรับความอัปยศอดสูของตนเองไปตลอดชีวิต แต่ยามนี้นางคิดได้แล้วว่าหากนางยอมแพ้ก็หมายความว่าสกุลจี้ของนางจะต้องพลอยยอมแพ้ตามนางไปด้วย ในเมื่อยามนี้นางมีหนทางที่จะได้แก้แค้นคนเลวผู้นั้นแล้วเหตุใดนางจะไม่รีบคว้าเอาไว้เล่า ไม่แน่ว่าครั้งนี้นอกจากจะได้แก้แค้นแล้วนางอาจจะได้หลุดพ้นจากความอัปยศที่คนเลวผู้นั้นพยายามยัดเยียดให้นางได้เสียที
ในขณะที่จี้เฟยเซียนคิดจะให้ความร่วมมือกับเฉินเจียวเจียว ทางกรมอาญาก็ส่งคนมาที่จวนสกุลจ้าวเพื่อเชิญจ้าวซีเฉิงไปให้ปากคำที่กรมอาญา แม้ว่าเขาจะบ่ายเบี่ยงเช่นใดก็ไม่เป็นผลจวบจนท่านเสนาบดีจ้าวฉีรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็สั่งให้บุตรชายรีบไปที่กรมอาญาในทันที
"ก็แค่ข้ารับใช้อยากเล่นสนุกเจ้าจะไปกังวลแทนพวกเขาทำไม ไปให้การที่กรมอาญาเสียไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะกล้ารังแกเจ้า ยามนี้เจ้าเป็นถึงรองเจ้ากรมอากรไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องไว้หน้าเจ้าอยู่แล้ว" เมื่อบิดาเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็หันไปเอ่ยกับบิดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"แต่เจ้ากรมอาญาคือญาติทางฝ่ายมารดาของคุณหนูรองจวนผิงกั๋วกงนะท่านพ่อ"
"เจ้าจะกลัวไปทำไมก็แค่การเดินทางไปให้การที่กรมอาญา เรื่องนี้เจ้าไม่ได้ลงมือทำเองเสียหน่อยเป็นลูกน้องของเจ้าที่ทำมิใช่หรือ" เมื่อบิดาเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็ยิ้มออกมาด้วยรู้ว่าครั้งนี้บิดาก็คงจะออกหน้าช่วยเหลือเขาได้อีกเช่นเดิม
"ขอรับท่านพ่อ ข้าจะไปที่กรมอาญาแล้วให้การตามความเป็นจริงขอรับ" จ้าวซีเฉิงเอ่ยพลางเดินติดตามคนของกรมอาญาไป
"โม่เจาผู้นี้คิดจะงัดข้อกับข้าอย่างซึ่งหน้าแล้วหรือ หึหึ เช่นนั้นข้าคงต้องไปดูเสียหน่อยแล้วว่าคนเช่นเขาจะทำอันใดบุตรชายของข้าได้" เมื่อจ้าวฉีเอ่ยจบก็ก้าวเท้าออกจากจวนโดยมีคนของเขาติดตามไปด้วยหลายคน
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ