จ้าวฉียังไม่ทันได้เอ่ยปากคัดค้านก็มีสตรีกลุ่มหนึ่งที่ทั้งโวยวายทั้งด่าทอและยื้อยุดฉุดกระชากสตรีผู้หนึ่งเข้ามาในศาลาว่าความ เมื่อจ้าวฉีเพ่งมองดีๆ ก็พลันหน้าเสีย จ้าวซีอินถูกสตรีกลุ่มหนึ่งทั้งดึงทึ้งทั้งตบตีมาตลอดทาง เสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ยกรุยกรายไม่สามารถปกปิดร่างกายได้เลยสักนิด เขาจ้องไปโดยรอบเพื่อหาผู้คุ้มกันของจ้าวซีอินแต่กลับไม่เจอผู้ใดทั้งสิ้น จึงได้ส่งเสียงออกไปเพื่อกำราบสตรีกลุ่มนั้น
“นี่พวกเจ้าทำอันใดกัน เหตุใดจึงได้ฉุดกระชากลากถูบุตรสาวของข้าท่ามกลางที่สาธารณะเช่นนี้” เมื่อจ้าวฉีเอ่ยถามเช่นนี้สตรีเนื้อตัวอวบอ้วนที่กำลังกระชากผมของจ้าวซีอินและเป็นคนที่ออกแรงมากที่สุดลากนางเข้ามาในเขตศาลาว่าการก็ถุยน้ำลายออกมาแล้วชี้หน้าจ้าวฉีอย่างไม่คิดจะเกรงกลัว
“ถุย! ที่แท้บิดาของนางแพศยานี่ก็มีหน้าตาเช่นนี้นี่เอง ข้าเคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานแล้วท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีทั้งอำนาจและตำแหน่งใหญ่โตได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทเป็นอย่างสูง ขุนนางภายใต้อาณัติของท่านมีมากกว่าครึ่งผู้คนต่างให้ความเคารพยำเกรงท่าน แม้แต่คนในราชวงศ์ก็ยังต้องให้เกียรติท่าน แล้วเหตุใดคนเช่นท่านจึงได้อบรมสั่งสอนบุตรสาวจนกลายเป็นสตรีแพศยาเช่นนี้กันเล่า” เมื่อสตรีผู้นั้นเอ่ยจบก็ฟาดฝ่ามือลงไปบนใบหน้าของจ้าวซีอินอีกหนึ่งที ส่วนสตรีรอบกายก็พากันยื้อแย่ง
“ข้าจะขอตบนางบ้าง”
“ไม่! เจ้าให้ข้าตบนางให้ถนัดอีกสักหน่อยเถิด”
“พวกเจ้าถอยไป! ข้าเองก็จะตบนางอีกสักทีเช่นกัน” บรรดาสตรีที่ติดตามมาด้วยเกิดการยื้อแย่งเพื่อจะลมตบตีจ้าวซีอินอีกครั้ง
“หยุดนะ! พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” จ้าวฉีตวาดก้องพลางหันไปส่งสายตาให้คนของตนไปช่วยจ้าวซีอินออกจากเงื้อมมือของพวกนางทำให้เกิดการลงไม้ลงมือกันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้กลายเป็นบรรดาสตรีกลุ่มนั้นทั้งตบตีทั้งจิกข่วนคนของจ้าวฉี จวบจนสตรีเนื้อตัวอวบอ้วนถูกถึงมือออกนางก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน
“พวกเจ้าคิดจะลงมือกับข้าหรือ เช่นนั้นก็เชิญลงมือเลย ข้าคือบุตรสาวของท่านราชเลขาธิการเช่นนั้นพวกเรามาลองดูสิว่าหากข้าถูกทำร้าย ท่านพ่อของข้าจะไปร้องเรียนจนถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทหรือไม่” เมื่อสตรีผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้คนของจ้าวฉีก็หันไปหาจ้าวฉีด้วยสีหน้าจนใจ
“แล้วเจ้าลงมือทำร้ายบุตรสาวของข้าเสียจนเป็นเช่นนี้เจ้าไม่คิดว่าข้าจะไปร้องเรียนจนถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทบ้างหรือ” เมื่อจ้าวฉีเอ่ยเช่นนี้สตรีที่มีพละกำลังมากผู้นั้นก็เหวี่ยงร่างของจ้าวซีอินอย่างรุนแรงจนนางลงไปนอนกองอยู่บนพื้น สภาพของนางทำให้บุรุษทุกคนที่อยู่ในศาลาว่าความแห่งนั้นรีบย้ายสายตาของตนเองออกไปจากร่างงามเพื่อความเหมาะสมในทันที แต่แน่นอนว่าบรรดาบุรุษที่เป็นชาวบ้านย่อมไม่คิดจะละสายตาอยู่แล้วพวกเขาถึงกับเป่าปากออกมาอย่างคึกคะนอง
“อย่าดูนะ ผู้ใดกล้าจ้องมองน้องสาวของข้า ข้าจะควักลูกตาของพวกเจ้าออกให้หมด” จ้าวซีเฉิงเอ่ยพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองไปปิดบังร่างกายที่เกือบจะเปลือยเปล่าของน้องสาวเอาไว้
“ดู! เชิญดูกันไปเถิดหญิงกลางเมืองเช่นนี้หากคุณชายใหญ่คิดจะควักลูกตาให้ครบทุกคนผู้ชายในเมืองหลวงแห่งนี้ก็คงจะต้องตาบอดกันไปเกือบครึ่งเมืองแล้วกระมัง” คำพูดของสตรีนางนั้นทำให้จ้าวซีอินร้องไห้โฮออกมาในทันที
“นางแพศยานี่ชอบวางท่าว่าตนเองเป็นสตรีมีความสามารถ ส่งเทียบเชิญบุรุษทั่วหล้าที่มีชื่อเสียงให้ไปประชันบทกวีกับนาง ที่แท้ก็แค่อยากยั่วยวนบุรุษของผู้อื่นเพียงเท่านั้น ความสามารถอันใดของนางนั้นสู้คุณหนูสามที่ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งยังไม่ได้เลย” เมื่อสตรีผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้เสียงอื้ออึงของคนที่มาดูก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปจนทั่ว
“ข้าว่าแล้วว่าข่าวลือนี้ไม่น่าจะใช่ข่าวเท็จ” เสียงสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ทางด้านนอกเอ่ยออกมาเสียงดัง สตรีอีกคนที่แย่งกันรุมตบตีจ้าวซีอินก็เอ่ยขึ้น
“วันนี้นางส่งเทียบเชิญมาให้สามีของข้าตั้งแต่เช้า บอกว่าวันนี้นางจัดการประชันบทกวีกะทันหันเพื่อจะได้ถกกันถึงเรื่องความสามารถที่แท้จริงของคุณหนูจวนผิงกั๋วกง เพราะสามีของข้าอยากรู้เรื่องการขับขานโคลงบททวนอักษรเมื่อคืนนี้เขาจึงได้รีบไปตามเวลานัดหมายอย่างเร่งรีบ ส่วนข้าเองเพราะข้องใจในความสามารถคุณหนูรองสกุลจ้าวเช่นกันข้าก็เลยออกจากบ้านเพื่อจะติดตามสามีไปด้วย”
“คิดไม่ถึงว่าเมื่อข้าเข้าไปในห้องรับรองของจะเห็นว่ามีบุรุษหลายคนกำลังห้อมล้อมนางอยู่ เพียงแต่กลับไม่ใช่การประชันหรือถกเถียงเรื่องบทกวีเลยสักนิด แต่กลับห้อมล้อมกันทำเรื่องฉาวโฉ่มั่วโลกีย์ที่ยากจะทนดูได้ เมื่อคิดว่าที่ผ่านมาสามีของข้าก็เคยได้รับเทียบเชิญเช่นนี้มาโดยตลอด แถมเขายังกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งข้าก็เลยตะโกนเรียกให้ทุกคนในโรงน้ำชาให้ขึ้นมาดูความแพศยาของนาง” เมื่อสตรีผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีอินก็หันไปเอ่ยกับบิดาของนางด้วยสีหน้าคั่งแค้น
“ท่านพ่อมีคนเล่นงานข้า” นางเอ่ยพลางหลั่งน้ำตาออกมา ส่วนจ้าวฉีที่ฟังอยู่ถึงกับมีสีหน้าเขียวคล้ำ
“เจ้าไปที่โรงน้ำชาแห่งนั้นได้อย่างไร” เสียงของจ้าวฉีทำให้จ้าวซีอินหวาดกลัวจนตัวสั่น
“ข้าส่งเทียบเชิญตามปกติ วันนี้พอได้เวลาข้าก็ออกจากจวนไปนั่งรอพวกเขาที่ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา แขกที่ข้าเชิญมาก็ทยอยเข้ามาตามปกติ แต่คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ พวกเขาก็เปลี่ยนไปแม้แต่ผู้คุ้มกันของข้าพวกเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สาวใช้ของข้าก็พลอยถูกพวกเขาย่ำยีด้วย ท่านพ่อท่านต้องช่วยแก้แค้นให้ข้านะเจ้าคะ” จ้าวซีอินเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา แต่บรรดาสตรีที่ยืนอยู่กลับไม่สนใจ
“จะแก้แค้นอันใด พวกข้านี่สิสมควรจะแค้นเจ้า หน็อย! ใช้ข้ออ้างว่าประชันบทกวีที่แท้ก็แอบนัดสามีของพวกข้ามาหาความสำราญ นังผู้หญิงแพศยาหากวันนี้เจ้าไม่ถูกตีให้ตายพวกข้าไม่ขอยอมแพ้อย่างแน่นอน” เสียงสตรีหลายคนดังขึ้น ส่วนจ้าวฉีที่พึ่งจะคิดได้ว่ายามนี้เขากำลังมีเรื่องกับผู้ใดอยู่ก็หันไปจ้องมองเฉียวซื่อด้วยสายตาอันดุดันในทันที
“ท่านจ้องมองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุใด อย่าได้คิดว่าข้าเป็นเพียงสตรีไร้อำนาจและยศศักดิ์ ข้าเป็นถึงฮูหยินจวนผิงกั๋วกงยศศักดิ์ของสามีของข้ายังสูงกว่าท่านอยู่ถึงขั้นหนึ่ง หากเทียบถึงคุณธรรมข้าผู้นี้ก็ไม่เคยประพฤติตนผิดประเพณีเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในจวนเป็นอย่างดี ออกมาข้างนอกก็แค่เพียงไหว้พระขอพรเพื่อแม่สามีเพียงเท่านั้น วันนี้ที่ข้ามายืนอยู่ตรงนี้ก็แค่เพียงต้องการทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่บุตรสาวของข้าที่ถูกบุตรชายและบุตรสาวของท่านให้ร้าย” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้จ้าวฉีเม้มปากแน่ ส่วนบรรดาสตรีที่ลากตัวจ้าวซีอินมาถึงกับชี้หน้าเขา
“ก็เพราะมีบิดาเช่นนี้อย่างไรเล่า บุตรชายและบุตรสาวของเขาจึงได้มีความประพฤติเช่นนี้” คำพูดนี้ของสตรีผู้นั้นทำให้จ้าวฉีหันไปจ้องมองนางด้วยสายตาอันแข็งกร้าวในทันที ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใดออกมาท่านราชเลขาธิการของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก็อัญเชิญราชโองการมาที่ศาลาว่ากลางด้วยตนเอง
“โม่เจา เจ้ากรมอาญารับราชโองการ จ้าวซีเฉิงรองเจ้ากรมอากรรับราชโองการ อัครเสนาบดีจ้าวฉีรับราชโองการ” เมื่อท่านราชเลขาธิการเอ่ยเช่นนี้ทุกคนในศาลาว่าการก็พากันคุกเข่าลงเพื่อน้อมรับราชโองการในทันที
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ