ความวุ่นวายของจวนสกุลจ้าวถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย องค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูผู้เคยมีอคติต่อจ้าวซีอินอย่างรุนแรงยังถึงกับต้องทอดถอนใจออกมาให้แก่ชะตากรรมเช่นนี้ของจ้าวซีอิน แม้แต่พระนางเต๋อเฟยผู้เป็นพระมารดายังใช้เรื่องนี้มากตักเตือนและชี้แนะให้องค์หญิงเก้าได้เห็นถึงความชั่วร้ายของผู้คนบนโลกใบนี้
“เจ้าเห็นหรือยัง อย่าได้คิดว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่นจนหลงลืมตนอย่างคุณหนูรองสกุลจ้าว เกิดเป็นสตรีต้องรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตน รู้จักดูแลตนเองให้ดีไม่ออกไปเที่ยวเตร่จนดูแลตนเองไม่ได้ แค่เพียงเสื่อมเสียแม้เพียงนิดก็อย่าได้คิดลืมตาอ้าปาก ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้ ข้าถึงได้พยายามบอกเจ้าอย่างไรเล่าว่าออกจากวังให้น้อยลงสักหน่อย” เมื่อพระนางเต๋อเฟยทรงตรัสเช่นนี้องค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูก็พลันทอดถอนหายใจออกมา
“นั่นก็คงต้องดูด้วยว่าเคยไปล่วงเกินผู้ใดไว้” หลี่ถังหรูเอ่ยพลางชายสายตาไปทางหลินชิงเหมยด้วยน้ำเสียงส่อความนัย ผู้อื่นคิดอย่างไรนางไม่รู้แต่ที่รู้ก็คือสาเหตุที่จ้าวซีอินมีจุดจบเช่นนี้สาเหตุย่อมเป็นเพราะหนึ่งนางล่วงเกินคนที่ไม่ควรจะล่วงเกิน และสองย่อมเป็นเพราะนางโชคร้ายที่ถือกำเนิดในครอบครัวที่ไม่ดีอย่างจวนสกุลจ้าว
หลินชิงเหมยรีบหลุบตาลงนางย่อมรู้ดีว่าความหมายในคำพูดขององค์หญิงเก้าคือสิ่งใด คนที่จ้าวซีอินล่วงเกินนั้นจะเป็นผู้ใดไปได้ถ้าไม่ใช่เฉินเจียวเจียว อันที่จริงในงานเทศกาลหยวนเซียวตอนที่จ้าวซีอินมีสีหน้าเป็นปฏิปักษ์กับเฉินเจียวเจียวนางที่กำลังรู้สึกย่ำแย่จากการกดขี่ของพระนางเต๋อเฟยและองค์หญิงเก้าก็แอบคาดหวังเอาไว้แล้วว่าเฉินเจียวเจียวผู้นั้นควรจะต้องได้รับความอับอายเสียบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองสกุลจ้าวผู้นั้นไม่เพียงจะทำลายผู้อื่นไม่สำเร็จแถมยังทำให้ตนเองต้องเสียหน้าอีกด้วย
หลังจากคืนเทศกาลหยวนเซียวก็ล้วนมีข่าวลืออีกมากมาย แต่ข่าวลือที่ทำให้นางรู้สึกหวั่นใจมากที่สุดก็คือเฉินเจียวเจียวได้รับการช่วยเหลือจากองค์รัชทายาท แถมต่อมายังได้รับพระราชโองการแต่งตั้งให้เป็นว่าที่นายหญิงแห่งตำหนักบูรพาอีกด้วยซึ่งข้อนี้ไม่ใช่ข่าวลือแต่เป็นเรื่องจริง
เดิมทีนางก็คิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าเฉินเจียวเจียวอยู่ขั้นหนึ่งแล้ว แม้ยามนี้จะเป็นเหมือนนางกำนัลชั้นล่างที่คอยรองรับอารมณ์ของพระนางเต๋อเฟย แต่วันหน้าเมื่อนางได้แต่งเข้าจวนอ๋องฐานะของนางย่อมจะโบยบินสู่ที่สูง แต่ยามนี้ไม่ว่านางจะพยายามเช่นไรนางก็ไม่อาจจะเทียบเคียงเฉินเจียวเจียวได้อยู่ดี
“จริงสิเสด็จแม่อีกไม่นานก็จะถึงวันงานมงคลของญาติผู้พี่สกุลหลินแล้ว ไม่รู้ว่าถึงยามนั้นลูกจะได้มีโอกาสไปร่วมแสดงความยินดีที่จวนสกุลหลินได้หรือไม่” องค์หญิงเก้าเอ่ยด้วยสีหน้าออดอ้อนแต่พระนางเต๋อเฟยกลับส่งสายพระเนตรตำหนิติเตียนให้ในทันที
“จะไปได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ข้าพึ่งจะเอ่ยเตือนเจ้าไปมิใช่หรือ ยังคิดจะออกนอกวังไม่คิดจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในวังบ้างหรือ”
“แต่เมื่อถึงยามนั้น แม้แต่นางคนนี้ก็ยังได้กลับไปแล้วเหตุใดลูกจะไปไม่ได้เล่าเพคะ” เมื่อองค์หญิงเก้าเอยเช่นนี้พระนางเต๋อเฟยก็ทรงตวัดสายพระเนตรไปมองหลินชิงเหมยอีกครั้งหนึ่งด้วยสีพระพักตร์รังเกียจแล้วจึงได้ตรัสออกมา
“ไม่ว่าอย่างไรนางก็นับว่าเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อของท่านป้าของเจ้า ต่อให้รู้สึกชังน้ำหน้าอย่างไรก็ไม่อาจจะรั้งนางเอาไว้ที่นี่ได้” เต๋อเฟยทรงเอ่ยพลางทอดพระเนตรไปทางหลินชิงเหมยด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยการข่มขู่
“กลับไปแล้วก็จงวางตัวให้ดี อย่าให้ข้ารู้เชียวว่านางจิ้งจอกเช่นเจ้าทำให้พี่สาวของข้าต้องอับอายขายหน้าผู้อื่น พิธีมงคลของชิงหว่านย่อมมีแต่แขกเหรื่อที่เป็นชนชั้นสูงในฐานะที่เจ้าถูกเลี้ยงดูโดยพี่สาวข้าแถมยังได้รับการอบรมจากตำหนักของข้าอย่าได้ทำให้พวกข้าต้องขายหน้าเพียงเพราะเจ้า” เมื่อเต๋อเฟยทรงเอ่ยเช่นนี้หลินชิงเหมยก็รีบย่อกายตอบรับด้วยสีหน้านอบน้อมในทันที
“หม่อมฉันรับทราบแล้วเพคะ”
“ส่วนเจ้าหากอยากจะไปร่วมพิธีมงคลของชิงหว่านช่วงนี้ก็ควรจะประพฤติตัวให้อยู่ในกรอบระเบียบให้มากหน่อย แม้ว่าช่วงนี้เสด็จพ่อของเจ้าจะทรงมีพระทัยเบิกบานเจ้าก็อย่าได้ก่อเรื่องจนทำให้พระองค์ทรงกริ้วเจ้าอีก” เมื่อพระนางเต๋อเฟยทรงตรัสเช่นนี้องค์หญิงเก้าก็รีบขานรับ
“ลูกเข้าใจแล้วเพคะ ช่วงนี้ลูกจะเก็บตัวอยู่ในตำหนักเพคะ” เมื่อพระนางเต๋อเฟยเห็นว่าองค์หญิงเก้าทรงมีท่าทางรู้ความเช่นนี้ก็พลันรู้สึกวางพระทัยมากยิ่งขึ้นพลางคิดถึงฝ่าบาทที่พระนางพึ่งจะเอ่ยถึง แม้ว่าช่วงนี้จะทรงเบิกบานพระทัยแต่น่าเสียดายที่คนที่ฝ่าบาทมักจะประทับอยู่ด้วยในช่วงนี้กลับไม่ใช่พระนาง…
“เจ้าลูกชั่ว เจ้าบอกข้ามาว่าสาเหตุที่จวนสกุลจ้าววุ่นวายเช่นนี้ใช่ฝีมือของเจ้าหรือไม่” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสถามพระโอรสด้วยสีพระพักตร์จริงจัง
“หากมีความสามารถจนถึงขั้นนั้นลูก จัดการท่านลุงสกุลจ้าวไปเลยไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา ทำให้หลี่เซียวหลงถึงกับทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
“อย่าพึ่งก่อความวุ่นวาย พ่อขอเวลาอีกสักหน่อยเรื่องสกุลจ้าวพ่อย่อมต้องมีคำตอบให้เจ้าได้แน่ ว่าแต่เมื่อคืนนี้เจ้าออกไปที่ใดมาตำหนักบูรพาก็ไม่กลับ เรือนหลังนั้นของเจ้าที่นอกเมืองก็ไม่ได้พำนักอยู่”
“ไปจวนผิงกั๋วกงมา” เมื่อได้ยินว่าพระโอรสตอบเช่นนี้มุมพระโอษฐ์ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก็พลันกระตุก
“เจ้าไปทำไม แล้วเหตุใดจึงได้ไปในยามวิกาล”
“ไม่ไปหาในยามวิกาลแล้วจะให้ไปหาในยามใด จวนผิงกั๋วกงเข้มงวดถึงขนาดนั้นจะปล่อยให้ลูกไปนั่งจิบน้ำชาพูดคุยกับหลานสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนกับลูกได้อย่างไร ทรงวางใจเถิดพูดคุยกันแค่เพียงเล็กน้อยแล้วก็กลับ”
“เจ้า! ..” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสอันใดไม่ออก ยิ่งได้ฟังประโยคต่อมาก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะสามารถตรัสอันใดออกมาได้
“น่าเสียดาย ต่อไปคงเข้าไปได้ยากแล้ว เสด็จพ่อว่าผู้คุ้มกันที่จวนผิงกั๋วกงเพิ่มเข้ามาในวันนี้จะสามารถป้องกันการลักลอบเข้าจวนของลูกได้อีกหรือไม่”
“หลี่ไท่หลง! นี่เจ้าถึงกับกล้าปีนกำแพงจวนผิงกั๋วกงเชียวหรือ” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงหาพระสุรเสียงของตนเองเจอก็ตรัสถามออกมาด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด ส่งองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงกลับพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น
“แค่ลักลอบเข้าจวนผิงกั๋วกงลูกก็แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแล้วย่อมไม่มีทางลักลอบเข้าไปจัดการคุณหนูสกุลจ้าวได้หรอก …อย่าได้ทรงทำสีพระพักตร์เช่นนั้นนางยังไม่ได้ปักปิ่นลูกย่อมไม่มีจิตคิดอกุศล การคุ้มกันของจวนผิงกั๋วกงแน่นหนาไปสักหน่อยลูกก็เลยต้องสูญเสียพละกำลังมากกว่าปกติ”
“แล้วเจ้าจะเข้าไปทำอันใด”
“ย่อมต้องอยากจะพบว่าที่พระชายาสักหน่อย นางไม่เหมือนผู้อื่นหากไม่พูดคุยและทำข้อตกลงกันให้ดี วันหน้าคงจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกมากมาย” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก็พลันพยักหน้า
“ย่อมจะต้องยุ่งยาก ผิงกั๋วกงเฉินคังส่งสารด่วนมาหาข้าขออนุญาตพาน้องชายและบุตรหลานกลับเข้าเมืองหลวง ข้าตอบกลับพวกเขาด้วยการออกคำสั่งพระราชทานอนุญาตแล้ว เมื่อบุรุษในจวนผิงกั๋วกงกลับมา ข้าคิดว่าอีกไม่นานเมืองหลวงแห่งนี้คงจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายอีกแน่” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็พลันขมวดคิ้ว
“เสด็จพ่อทรงคิดว่าเป้าหมายที่ทำให้พวกเขาเร่งรุดกลับคือผู้ใดกันหรือ สกุลจ้าว น้องรอง หรือว่าลูก” คำถามนี้ทำให้หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวลออกมา
"เรื่องนี้ย่อมขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะทำให้ตนเองกลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาหรือไม่ หึ หึ"
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ