LOGINสามพี่น้องบ้านหวังเดินเท้าถึงร้านหมออู๋ เสี่ยวเอ้อหน้าร้านก็จำได้ จึงรีบต้อนรับเข้าไปในห้องรับรอง หลงจู๊กับหมออู๋ก็เข้ามาทักทายทันที
"ท่านปู่อู๋ พวกข้ามีเรื่องอยากรบกวนท่านปู่" มู่หลินรู้ว่าถ้าต้องการให้คนช่วยต้องแสดงน้ำใจ
นางเอาเห็ดหลินจือแดงดอกใหญ่สองฝ่ามือออกมา เมื่อเห็ดหลินจือวางบนโต๊ะ หลงจู๊หงายหลังไปเรียบร้อยแล้ว หมออู๋ก็ตกใจกว่าจะตั้งสติพูดได้ก็ผ่านไปหนึ่งเค่อได้ (1เค่อ=15นาที)
"หลินเออร์ไหนเจ้าบอกไม่มีแล้ว" หมออู๋หรี่ตามองเด็กเจ้าเล่ห์อย่างมู่หลิน
“ดอกใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่มีใครพบเจอมาก่อน ท่านหมอนำเข้าประมูลดีไหมขอรับ” หลงจู๊เจินเอ่ยถามหมออู๋
“ดีดี เจ้าไปแจ้งหอเฟยหลงที่อำเภอได้เลย อีกไม่ถึงสิบวันจะมีการประมูลแล้ว” หมออู๋ตื่นเต้นที่โรงหมอของเขาจะมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น
“ข้าจะออกหน้าให้เจ้า แต่ทางโรงประมูลจะหัก2ใน10ส่วน”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้ท่านปู่อู๋สามส่วน อย่าเพิ่งห้ามเจ้าค่ะ ฟังข้าก่อน ข้ามีคำขอที่จะให้ท่านปู่ช่วย” หมออู๋ที่กำลังจะเอ่ยปากแย้งก็ยอมรับฟังมู่หลินก่อน
“ข้าอยากทราบเรื่องตระกูลเซี่ยของท่านแม่ทัพที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ แล้วข้าก็รู้ว่าท่านปู่อู๋ต้องรู้แน่นอน”
หมออู๋กำลังมองประเมินสามพี่น้องที่เอ่ยถามเรื่องตระกูลเซี่ยขึ้นมาก็ให้แปลกใจ เมื่อพิจารณาใบหน้าของเจียวโจว ดวงตาคู่นั้นช่างคล้ายกับสหายของตนยิ่งนัก ก่อนจะถอนหายใจแล้วเล่าเรื่องของตระกูลเซี่ยเมื่อ 17 ปีก่อน
“เรื่องของตระกูลเซี่ยก็ไม่ใช่ความลับอะไร คนในเมืองหลวงล้วนรู้เรื่องราวดี ถ้าจะนับเรื่องทั้งหมดคงเริ่มตั้งแต่บุตรีท่านแม่ทัพเซี่ยโดนลอบฆ่า หายตัวไปเป็นตายร้ายดีไม่มีใครรู้ได้ ไม่เจอแม้กระทั่งร่าง รองแม่ทัพเซี่ยที่เป็นพี่ชายตามหาอยู่นานถึงสามเดือน ถ้าหากไม่เกิดเรื่องใส่ร้ายขึ้นมาก็คงจะไม่หยุดตามหา องครักษ์ที่รอดกลับมานั้นจับตัวบ่าวที่ผลักคุณหนูเซี่ยกลับมาด้วย
องครักษ์ได้เปิดเผยคำพูดสุดท้ายที่บ่าวชั่วได้พูดกับหนูเซี่ย เมื่อตรวจสอบและหลักฐานที่มีทำให้ตระกูลเซี่ยกับตระกูลเว่ยแตกกัน คุณหนูเว่ยโดนโทษหนัก โดนทางตระกูลเว่ยตัดขาด ทางการตัดสินให้เนรเทศไปใช้แรงงานที่ชายแดน ถึงผลตัดสินจะยุติธรรม แต่กับตระกูลเซี่ยถือว่าบอบช้ำอย่างหนัก ฮูหยินท่านแม่ทัพล้มป่วยเพราะตรอมใจ ท่านแม่ทัพลาออกจากตำแหน่งยกให้บุตรชายขึ้นเป็นแม่ทัพต่อ
พยัคฆ์ที่อ่อนแอเสือซุ่มทั้งหลายต่างก็รอเวลาเพื่อลงมือ หลักฐานใส่ร้ายมากมายส่งถวายฎีกาต่อฝ่าบาท แต่หลักฐานที่มีก็ไม่แน่นหนาพอจะเอาผิดได้ พระองค์กับแม่ทัพเซี่ยออกศึกร่วมกันนับครั้งไม่ถ้วนใจพระองค์รู้ดีที่สุดว่าสหายของตนเป็นเช่นไร หลังจากเรื่องของคุณหนูเซี่ย ฝ่าบาทเรียกท่านแม่ทัพเข้าวังอย่างลับๆ บอกให้แม่ทัพพร้อมลูกชายคืนตำแหน่งรักษาชีวิตไว้แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเดิม
โดยจะประกาศราชโองการยึดทรัพย์ทั้งหมด แต่พระองค์ให้องครักษ์เงาของพระองค์ขนย้ายทรัพย์สินส่วนหนึ่งไปไว้ที่บ้านเดิมก่อน เมื่อราชโองการออกให้ออกเดินทางไปแต่ตัว"
ระหว่างที่เล่าไปมู่หลินรู้สึกว่าเรื่องราวมันมีอะไรมากกว่าที่หมออู๋เล่า แต่นางค่อยสอบถามทางท่านตาเมื่อเจอหน้า
"สงสัยใช่หรือไม่ทำไมเรื่องลับระหว่างฝ่าบาทกับตาเฒ่าเซี่ย ปู่เจ้าคนนี้ถึงได้รู้" หมออู๋สอบถามเด็กทั้งสามก่อนจะเอ่ยปากเล่าต่อ
"วันนั้นข้าอยู่ที่นั่นด้วย ทุกครั้งที่ฝ่าบาทกับตาเฒ่าเซี่ยออกรบ ข้าก็ติดตามไปด้วยในตำแหน่งหมอ เกือบได้ไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง (เทพประจำในนรกภูมิ จะยืนคอยส่งน้ำลืมเลือนให้กับวิญญาณที่จะข้ามสะพานไหน่ห่อเกี๊ย) ก็หลายครา หลังจากตาเฒ่าเซี่ยกับคืนบ้านเกิด ข้าก็ออกเดินทางมาอยู่ที่นี่" หมออู๋เล่าไปก็ถอนหายใจ อดสะท้อนใจกับชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้
"ไม่ใช่ตาเฒ่าเซี่ยที่อ่อนแอแต่เป็นเพราะหมดหวังที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อ บุตรชายในตอนนั้นก็แข็งแกร่งไม่เท่าตาเฒ่าเซี่ย จึงมิอาจช่วยเหลืออันใดกับลูกน้องหรือสหายได้" ตลอดช่วงที่เล่าเรื่องเก่า มีแต่ความเจ็บปวดในแววตา ทั้งตนและสหายต่างวัยที่เป็นถึงฮ่องเต้ก็มิอาจยืนมือเข้าช่วยได้
"ท่านปู่อู๋ท่านเคยไปพบท่านผู้เฒ่าเซี่ยอีกหรือไม่"
"ข้าเดินทางไปพบตาเฒ่าที่บ้านเกิดครั้งล่าสุดเมื่อหกเดือนที่แล้ว เห้อ พยัคฆ์ก็คือพยัคฆ์ แม้จะล้มความเป็นพยัคฆ์ก็คงมี เงินที่เหลือตาเฒ่านำไปซื้อที่นา บุตรชายเพียงคนเดียวของตาเฒ่าจากจับดาบต้องมาจับจอบทำนา แม้ข้าจะยื่นมือเข้าช่วยเพียงใดก็ไม่รับ จะยอมรับแค่เพียงให้รักษาฮูหยินเซี่ยที่ล้มป่วยตั้งแต่ลูกสาวหายตัวไป เห้อออ" เสียงถอนหายใจดังครั้งแล้วครั้งเล่า มู่หลินมองหน้าพี่ชายทั้งสองก่อนจะตัดสินใจบอกเรื่องเกี่ยวกับมารดาของตนให้หมออู๋ฟัง
"ท่านปู่อู๋ แม่ของข้าคือเซี่ยเหมยฮวา นางเพิ่งจำเรื่องราวครั้งก่อนได้เมื่อวานนี้เองเจ้าค่ะ ท่านพ่อข้าเจอท่านแม่ที่ริมแม่น้ำ เมื่อรักษาจนฟื้นขึ้นมาถึงได้รู้ว่าไม่มีความทรงจำเดิมแล้ว"
ท่านหมออู๋ลุกขึ้นเร็วจนเก้าอี้ด้านหลังล้มลง พี่ใหญ่ที่เร็วสุดรีบเข้าไปประคอง หลงจู๊เจินที่สั่งงานลูกน้องเรียบร้อยแล้วรีบเข้ามาพบด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร สวรรค์ สวรรค์เมตตาแล้ว" หมออู๋พูดได้เท่านั้นก็ถึงกับร่ำไห้เพราะดีใจแทนสหายรักของตน
"ท่านปู่อู๋ พวกข้าพี่น้องจะเดินทางไปรับท่านตา ท่านยายและท่านลุงมาอยู่ด้วยเจ้าค่ะ อยากให้ท่านปู่บอกที่อยู่" หมออู๋รีบยกมือโบกปฏิเสธทันที
"ไม่ต้อง ไม่ต้องข้าจะพาไป เดินทางอีกห้าวัน ไม่ ไม่ อีกสองวันเดินทางเลย จากนี้ไปหางโจว เดินทางโดยรถม้าใช้เวลาห้าวัน แต่พวกเจ้าจะไม่ได้เข้าดูประมูลเช่นนั้นว่าอย่างไร"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พวกข้าพี่น้องขอลาท่านปู่อู๋เพื่อกลับไปเตรียมตัวก่อนนะเจ้าค่ะ" มู่หลินรีบบอกลาหมออู๋ทันทีเพราะเวลาที่กระชันชิด นางบอกพี่ใหญ่ให้ไปซื้อรถม้าก่อนถ้าหากต้องเช่าก็สู้ซื้อเลยดีกว่า
สามพี่น้องมาดูรถม้าที่โรงขายสัตว์ พี่ใหญ่กับพี่รองต่างเลือกตามความชอบของตน ได้ม้าดำสองตัว ม้าสีขาวสองตัว พร้อมรถม้าเทียมขนาดใหญ่อีกสองหลัง ทางโรงสัตว์สอนให้พี่น้องขับรถมาครึ่งชั่วยามทั้งคู่ก็ขับเป็น
ระหว่างรอมู่หลินเดินไปซื้อเบาะรองนั่งใส่รถม้า มู่หลินเห็นยังพอมีเวลาเหลือจึงชวนพี่ชายทั้งสองไปโรงค้าทาส มู่หลินต้องการคนขับรถมาและคนดูแลบ้านช่วงที่ครอบครัวเดินทางไปรับท่านตา ถ้าหากให้พี่ชายทั้งสองบังคับรถม้าตลอดห้าวันดูท่าทางคงจะทรมานน่าดู
ในโรงค้าทาส นายหน้าต่างตะโกนเรียกให้ซื้อชีวิตคนเหมือนกับสิ่งของ พี่ใหญ่พี่รองที่ไม่เคยเจอถึงจะสะท้อนใจแต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ได้อย่างดี มู่หลินเดินดูจนไปหยุดที่โรงค้าทาสที่เกือบจะสุดซอยแล้ว นายหน้าเดินมาต้อนรับอย่างดี พอบอกความต้องการไปแล้ว นายหน้านำทาสออกมาให้เลือกเหมือนกับเสนอสินค้าอย่างหนึ่ง
ตรงหน้ามู่หลินนั้น มีทาสที่เป็นครอบครัวอยู่สองครอบครัว นายหน้าบอกเป็นกลุ่มทหารเก่าที่ต้องโทษเป็นทาสหลวง ต้องการขายทั้งครอบครัว ที่นายหน้ายินยอมเพราะรับของมีค่าที่ติดตัวมากับพวกทาสมาด้วยนั้นเอง
สองครอบครัว มีทั้งสิ้น 15 คน มู่หลินจ่ายเงินไปทั้งสิ้น สิบตำลึงทอง เพราะราคาแต่ละคนไม่เท่ากัน มู่หลินให้คนที่ขับรถมาได้มาขับแทนพี่ชาย คนที่เหลือให้แบ่งกันนั่งในรถม้าทั้งสองคัน สามพี่น้องไม่ได้รังเกียจพวกทาสเลย ตอนแรกที่ทาสทั้งหมดกลัวจะเจอเจ้านายไม่ดีก็เบาใจลงไปเยอะ
นางแบ่งหน้าที่ให้ทาสบางคนทันที ให้ไปซื้อซาลาเปา ซื้อเสื้อผ้า เครื่องนอน ให้ทุกคน คนที่บาดเจ็บหรือป่วยนางพาไปที่โรงหมอของหมออู๋ กว่าจะเสร็จสิ้นทั้งหมดก็เข้าปลายยามเว่ย (13.00-14.59น.) ทั้งหมดจึงรีบเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน เพราะต้องรีบสร้างบ้านแบบง่ายๆ อยู่กันไปก่อน
เมื่อทั้งสามพาคนเข้ามาถึงบ้าน ก็เกือบถึงเวลาเลิกงานของชาวบ้านแล้ว ชาวบ้านต่างเดินมาสอบถามด้วยความสงสัย สองพี่น้องหวังเจียวโจวกับหวังเจียวจ้านก็ตอบคำถามอย่างดี
เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว มู่หลินให้พวกทาสมาแนะนำตัวกับท่านพ่อและท่านแม่ บ้านของพวกทาสก็ให้นายช่างช่วยสร้างแบบพออยู่ช่วงนี้ไปก่อนสี่ห้อง คนที่นายช่างพามามีจำนวนมาก จึงทำให้สร้างเสร็จได้ในเวลารวดเร็ว และยังมีแรงงานจากทาสชายที่เพิ่งซื้อมาด้วย
หัวหน้าครอบครัวและภรรยาของทาสทั้งสองครอบครัว เมื่อได้เห็นหน้าเหมยฮวาถึงกับรีบคุกเข่าร้องไห้เสียงดังออกมา เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้คนโดยรอบบริเวณลานบ้านตกใจ
แม้แต่ท่านแม่เหมยฮวาก็ร่ำไห้ด้วยความปวดใจที่เห็นคนของท่านแม่ทัพเซี่ยตกต่ำถึงเพียงนี้ เมื่อปลอบกันจนเงียบแล้วนั้นท่านแม่ก็สอบถามความเป็นมาทั้งหมด ทำไมทั้งสองครอบครัวคนสนิทของท่านแม่ทัพถึงได้ตกเป็นทาสหลวง
หลังจากที่ท่านแม่ทัพเดินทางกลับบ้านเดิมแล้ว คนที่เข้ามารับตำแหน่งท่านแม่ทัพแทนเป็นคนของตระกูลเว่ย ความเจ็บแค้นที่โดนตระกูลเซี่ยกำจัดหมากตัวสำคัญอย่างเว่ยเลี่ยงซู ทำให้ตระกูลไม่สามารถเกี่ยวดองกับฉีอ๋องได้ แม้จะพยายามส่งบุตรของฮูหยินรองหรืออนุไปยั่วยวนเท่าใด ฉีอ๋องก็ตลบหลังจับคนพวกนั้นแต่งออกไปกับตระกูลคุณชายเสเพลทั้งสิ้น
ยิ่งทำให้เสนาบดีเว่ยโกรธแค้นท่านแม่ทัพอย่างมาก ทหารที่เคยภักดีต่อตระกูลเซี่ยบางคนก็ต้านทานอำนาจเงินไม่ไหวทำให้ย้ายฝั่งไปเข้าพวกกับตระกูลถังที่เสนาบดีเว่ยหนุนหลังให้ขึ้นเป็นท่านแม่ทัพคนปัจจุบัน ส่วนทหารที่ไม่ยินยอมก็จะโดนยัดข้อหายักยอกเสบียงแล้วตัดสินโทษให้เป็นทาสหลวง
ยังมีอีกหลายสิบครอบครัว แต่กระจายกันออกไป ที่โรงค้าทาสในตำบลชุนไห่ยังมีอีกสองครอบครัว ในอำเภอโยวโจวมีอีกสามครอบครัว แต่ไม่รู้ว่ามีคนซื้อไปแล้วหรือยัง ที่พวกตนมีเครื่องประดับติดสินบนนายหน้าค้าทาสเป็นเพราะท่านแม่ทัพให้คนแอบนำเงินและของมาให้
ครอบครัวทาสที่1
1. เฉินหย่ง บิดา อายุ 57 ปี
2. เมิ่งซิน มารดา อายุ 52 ปี
3. เฉินฝู บุตรชายคนโต อายุ 36 ปี
4. ชางซิงอี สะใภ้ใหญ่ อายุ 32 ปี
5. เฉินหาน บุตรชายคนรอง อายุ 34ปี
6. ซ่งหรู สะใภ้รอง อายุ 30 ปี
7. เฉินเหวิน บุตรชายเฉินฝู อายุ 15 ปี
8. เฉินวั่งซู บุตรีเฉินเฉินฝู อายุ 12 ปี
9. เฉินฮัน บุตรชายเฉินหาน อายุ 12 ปี
ครอบครัวทาสที่2
1. หลิวกัง บิดา อายุ 56 ปี
2. เฉินหราน มารดา อายุ 52 ปี (น้องสาวเฉินหย่ง)
3. หลิวกุ้ย บุตรชาย อายุ 34 ปี
4. จางเหลียง ลูกสะใภ้ อายุ 28 ปี
5. หลิวเสิน บุตรชาย อายุ 26 ปี
6. หลิวเทียน บุตรชายหลิวกุ้ย อายุ 11 ปี
องค์ชายรองเมื่อทราบข่าวจากเซี่ยห่าวหรานก็เดินทางมารับฮ่องเต้กับฮองเฮาไปดูแลต่อที่วังหลวง เพราะตอนนี้ทหารในวังทั้งหมดเป็นคนขององค์ชายรองและแม่ทัพไป๋ กองกำลังตระกูลเซี่ยจึงได้พักรักษาตัวได้อย่างเต็มที่หลังจากที่พักฟื้นได้สามวัน องค์ชายรองส่งข่าวมาว่า รู้ที่ซ่อนตัวขององค์ชายใหญ่แล้ว มู่หลินกับเซี่ยห่าวหรานจึงเดินทางเข้าวังเพื่อปรึกษาแผนการเข้าจับกุมตัว“พี่ใหญ่ใช้ทางลับที่หวงกุ้ยเฟยสร้างไว้เพื่อหลบหนี ครั้งนี้ข้านึกไม่ถึงว่าองครักษ์เงาของเสด็จพ่อจะโดนเปลี่ยนตัว” องค์ชายรองเอ่ยกับมู่หลินอย่างรู้สึกผิดเพราะหากเขาไม่ประมาทเรื่ององครักษ์เงาของฮ่องเต้ มู่หลินกับเซี่ยห่าวหรานคงไม่บาดเจ็บ กองกำลังเซี่ยก็จะไม่มีคนล้มตาย“พระองค์อย่าได้โทษตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ก็รู้ที่ตั้งฐานทัพขององค์ชายใหญ่แล้ว พระองค์จะบุกเข้าไปเลยไหมพะยะค่ะ” เซี่ยห่าวหรานไม่โทษว่าเป็นความผิดขององค์ชายรอง ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นแม้จะกันทุกทางก็ต้องมีพลาดบ้าง“ตอนนี้องครักษ์ของท่านเป็นเช่นใดบ้าง” องค์ชายรองถามเซี่ยห่าวหราน“องครักษ์ของกระหม่อมฟื้นกำลังดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ “"เช่นนั้นคืนนี้ ก็เคลื่อนทัพได้"ทางด้านขององค์ช
ทางแม่ทัพไป๋ก็เริ่มลงมือกับเจ้าเมืองเหิง โจวที่อยู่ชายแดนเหนือแล้ว เจ้าเมืองเหิงโจวเป็นด่านหน้าที่คอยส่งข่าวให้กับแม่ทัพถัง เมื่อกำจัดหนอนไปได้หนึ่งตัว กองทัพพยัคฆ์ทมิฬก็เข้าประชิดกองทัพของแม่ทัพถังไปอีกก้าวแม่ทัพถังได้ตำแหน่งมาเพราะอำนาจของเสนาบดีเว่ยช่วย หากถ้าถามถึงฝีมือถ้าออกรบจริงคงตายคาสนามรบแน่ คนข้างกายก็มีแต่พวกหาผลประโยชน์ ประจบสอพลอ ทหารในปกครองก็หละหลวม ดีแต่ดื่มสุราเค้านารี ไม่ฝึกซ้อมคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่แม่ทัพถังเรียกรองแม่ทัพ นายกองร่วมฉลองที่ชนเผ่านอกบางส่วนมารวมตัวเพื่อหารือแบ่งผลประโยชน์หลังฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ในคืนนั้นเองกองทัพพยัคฆ์ทมิฬจึงเข้าล้อมทั้งหมด แล้วเข้าจับกุมคนไว้ได้ เมื่อไม่มีการเฝ้าระวังอย่างที่ควร บวกกลับอาการเมามาย กองทัพทมิฬจึงมิต้องออกกำลังมากเท่าใดทางด้านเซี่ยซีห่าวก็เข้าบุกสังหารชนเผ่านอกด่าน เนื่องจากผู้นำกับลูกน้องคนสนิทเข้าร่วมหารือกับแม่ทัพถัง ในค่ายของชนเผ่าตอนนี้มีเพียงรองหัวหน้า เมื่อเซี่ยซีห่าวสังหารรองหัวหน้าได้ มังกรเมื่อไร้หัวก็หมดทางสู้ ชาวชนเผ่าที่หวาดกลัวก็หนีตาย เหลือเพียงส่วนน้อยที่ยอมสู้จนตัวตาย เมื่ออยากตายก็จัดให้
ทางด้านเมืองหลวงตอนนี้ในจวนเสนาบดีประดับไปด้วยโคมแดง ผ้าแดง บ่งบอกถึงงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นเว่ยซูเม่ย ไม่แสดงสีหน้ายินดีใดใดทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องในจวนครั้งนั้น นางแทบจะไม่ได้ออกนอกจวนเลย งานเลี้ยงน้ำชาก็เลือกไปเฉพาะที่จำเป็น คนส่วนใหญ่คิดว่านางเตรียมตัวออกเรือนแต่เปล่าเลยเป็นเพราะท่านปู่ของนางสั่งห้ามนางก่อเรื่องอีก ท่านพ่อของนางก็กลัวตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปจะตกเป็นของท่านอารอง จึงสั่งให้นางอยู่แต่ภายในจวนเท่านั้นขบวนรับเจ้าสาวขององค์ชายใหญ่ เกี้ยวแปดคนหาม คนโบยเหรียญทองแดง สินสมรส ถึง119หีบ จัดอย่างยิ่งใหญ่ (สินสมรสก็เป็นของเสนาบดีเว่ย 99 หีบแล้ว) สินเจ้าสาวก็ไม่น้อยหน้า ทบจากสินสมรสเพิ่มไปเป็น 199 หีบ เท่ากับคืนเข้าตำหนักองค์ชายใหญ่ทั้งหมดและเพิ่มเข้ามาอีกด้วยชาวเมืองต่างยกย่องจวนเสนาบดีที่รักบุตรหลาน สินสมรสที่ได้ก็ยกให้เป็นสินเดิมของเจ้าสาวทั้งหมด ช่างใจกว้างยิ่งนัก องค์ชายใหญ่ก็ดูจะรักใคร่พระชายายิ่งนัก ทำให้สตรีทั่วเมืองหลวงอิจฉาเว่ยซูเม่ยแทบบ้า นี่คือสิ่งที่คนภายนอกเห็นแต่ตัวเสนาบดีเว่ยนั้นแทบกระอักเลือดออกมา ที่จัดใหญ่โตที่เห็นทั้งหมด ล้วนเป็นเงินในคลังจวนเว่ย
หลังจากแยกย้ายกลับเรือนของตนแล้ว เฟยหรงก็เขียนจดหมายส่งถึงมู่หลิน ครั้งนี้เขาตั้งใจเขียนให้ยาวอย่างที่กงหยวนแนะนำผ่านมาสองวันจดหมายก็ถึงมือมู่หลิน มู่หลินยังคงทำเช่นเคยตื่นนอน ฝึกวรยุทธ์ กลับมาอาบน้ำ ไปกินข้าวกับครอบครัว แล้วจึงกลับเรือนเพื่อนำจดหมายออกมาอ่าน“อืม…” ครั้งนี้เขียนเยอะขึ้นจริงๆ ด้วยเผยอิงกับเผยอวี้ ทึ่งกับการแสดงสีหน้าของคุณหนูมาก หากเป็นคุณหนูตระกูลอื่นได้จดหมายจากบุรุษจะต้องเขินอาย แต่คุณหนูของพวกนางนั้น ไม่ขมวดคิ้วก็นิ่งเฉยไปเลย‘หลินเออร์เจ้าจงรอข้าก่อนอย่าเพิ่งหมั้นหมายกับผู้ใด หากข้าจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจะเข้าไปพูดคุยกับบิดามารดาของเจ้า ‘มู่หลินอ่านจบแทบจะฆ่าเหยี่ยวทิ้ง เจ้าคนแซ่ไป๋มีสิทธิ์อันใดสั่งให้นางรอ เคยพูดคุยกันก็นับครั้งได้ แล้วนางในตอนนี้เพียง 14 หนาวเท่านั้น มู่หลินต้องสงบใจก่อนที่จะตอบจดหมายไม่เช่นนั้นนางได้ด่าฝากไปเป็นแน่ไม่ใช่นางปิดกั้นแต่มันเร็วเกินไปที่จะปักใจกับคนคนนี้ หากต้องอยู่ด้วยกันจนตายก็ต้องเรียนรู้นิสัยกันก่อน ในยุคนี้แม้บุรุษจะเป็นใหญ่แต่ไม่ใช่สำหรับนาง นางไม่จำเป็นต้องพึ่งบุรุษมู่หลินยังคงให้เผยอวี้หาอาหารให้เหยี่ยวเช่นเ
เผยอิงที่ช่วยแต่งตัวให้มู่หลินเสร็จแล้วก็เดินไปเปิดหน้าต่าง“ว้ายยย… " เผยอวี้กับมู่หลินหันไปมอง เผยอวี้เข้าไปพยุงเผยอิงให้ลุกขึ้น มู่หลินเดินไปที่เหยี่ยวแดง เพราะนางเห็นข้อขามันมีกล่องใส่สารผูกไว้อยู่"… " มู่หลินอ่านจดหมายจบหน้าก็ขมวดคิ้วทันที"คุณหนู มีเรื่องร้ายแรงหรือเจ้าคะ" เผยอวี้เห็นสีหน้ามู่หลินแล้วก็เป็นกังวลมู่หลินส่ายหน้า นางเก็บจดหมายในแขนเสื้อแต่ความจริงคือโยนเข้าไปในมิติ"เผยอวี้ เจ้าหาอาหารให้มันด้วย" นางชี้ไปที่เหยี่ยวแล้วเดินออกไปจากห้องเพื่อไปทานอาหารเช้าพร้อมครอบครัวพี่ชายทั้งสองวันนี้จะเดินทางกลับสำนักศึกษา เพื่อเตรียมตัวสอบจวี่เหรินในอีกสามเดือนข้างหน้า ถึงระยะเวลาสอบจะกระชั้นชิด ทุกคนก็ไม่สร้างความกดดันให้ทั้งคู่ สอบไม่ได้ก็แค่รอสอบใหม่“แต่น้องหวังว่าพี่ใหญ่กับพี่รองจะสอบได้อันดับที่ดีเจ้าค่ะ” น้องเล็กของเขานั้นไม่กดดันจริงๆ ด้วยมู่หลินกลับมาถึงเรือนก็ตรงเข้าไปหาเจ้าเหยี่ยวแดงทันที นางอ่านจดหมายซ้ำอีกรอบ ยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าใจ แม้ในจดหมายจะเขียนเพียงแค่'ข้าชอบเจ้า' ลงชื่อเฟยหรงคือยังไง ต้องตอบมายังไง แล้วจะมาชอบตอนไหน เจอกันกี่ครั้ง คุยกันกี่ประโยคเอาอะไรมา
ทางด้านครอบครัวเซี่ยก็ได้รับข่าวดี ฟางซินตั้งครรภ์แล้ว มู่หลินนั้นจัดเตรียมของใช้จำเป็นและยาเพื่อดูแลครร์ส่งไปให้ ตอนนี้กิจการและกำลังคนของบ้านเซี่ยกับบ้านหวังนั้นเป็นไปด้วยดี หอข่าวสารของเซี่ยห่าวหรานก็เก็บรวมรวบข่าวการเคลื่อนไหวของชนเผ่านอกด้านได้มากมาย รวมไปถึงยาพิษที่ใช้กับฮองเฮาว่าได้มาจากใครไปถึงขายให้ใครก็ถูกส่งเรื่องไปที่วังหลวงเรียบร้อยแล้วชีวิตของมู่หลินช่วงนี้ยังปกติอย่างมาก ผลสอบของพี่ใหญ่กับพี่รองก็จะออกในไม่กี่วันนี้ นางรู้ดีว่าพี่ชายทั้งสองต้องสอบผ่านเป็นแน่ เพราะน้ำทิพย์ที่พี่ชายได้ดื่มอยู่ตลอดนั้นช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้วยังช่วยให้ความจำพี่ชายนางดีกว่าคนทั่วไปอีกด้วยหลิวเสิน เยี่ยโยว ตงซาน กลับมาถึงแล้วก็นำจดหมายมาให้มู่หลิน“ของข้าหรือเจ้าคะ” มู่หลินรับมาอย่างไม่เข้าใจ ว่าเฟยหรงจะส่งจดหมายให้นางทำไมหรือจะโมโหที่นางตักเตือนเรื่องคู่หมั้น หรือจะข่มขู่นาง“มู่หลินเก็บจดหมายไว้ในแขนเสื้อ แล้วก็สนใจเรื่องอื่นแทน ตอนนี้ทั้งสามกลับมา มู่หลินจึงอยากทดสอบว่าที่พวกเขาไปอยู่ในกองทัพทมิฬนั้นเก่งขึ้นแค่ไหนพละกำลังของทั้งสามมีมากอยู่แล้ว กระบวนท่า ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเมื่อได้ใช้







