จ่านเหยียนอยู่ในจวนของหวังติ่งทังจนถึงยามบ่าย อาการของนายท่านหวังคงที่ประมาณหนึ่งแล้ว ก่อนกลับ จ่านเหยียนให้คนป้อนยาอันกงอีกหนเดิมหวังติ่งทังอยากให้นางทำนายให้หน่อย แต่ฮุ่ยอวิ่นอยู่ที่นี่จึงได้แต่ปล่อยผ่านไป!ก่อนกลับจวน จ่านเหยียนเห็นหว่านจวินมาหาหวังติ่งทังนางยืนอยู่หน้าประตูแล้วมองไปจากที่ไกล ๆ เห็นใบหน้าของหว่านจวินมีจิตใจปรารถนาต่อความตายที่แน่วแน่อย่างหนึ่งนางไม่รู้ว่าหว่านจวินพูดอะไรกับหวังติ่งทัง หลังจากกล่าวจบ หว่านจวินก็ราวกับเบาใจ ก่อนจะพาสาวใช้สองคนจากไปจ่านเหยียนเอ่ยกับหวังติ่งทัง “ทางที่ดีระยะนี้เจ้าจับตาดูหว่านจวินให้ดี หรือไม่เจ้าก็ปลอบใจนางให้มาก ถูกบังคับให้ละทิ้งความรัก นางต้องทุกข์ใจมากแน่”หวังติ่งทังหัวเราะ “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เด็กสาวคนหนึ่งจะรู้จักความรักความทุกข์อันใด? อีกระยะหนึ่งก็ดีแล้ว ข้ารู้น้องสาวของข้าคนนี้ดี ของที่นางไม่ได้มา มักจะอาละวาดระยะหนึ่ง แต่หากได้มาก็จะทิ้งขว้างไม่ไยดี”“ไม่ใช่...” จ่านเหยียนกำลังจะเตือน หวังติ่งทังก็ไล่นาง “เอาละ เจ้ากลับไปเร็วหน่อยเถอะ ข้าจะดูนางเอง”จ่านเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง “เหล่าหวัง ข้าขอเตือนเจ้า น้องสาวของเจ้า
ฮุ่ยอวิ่นรู้สึกแปลกใจมากกับการที่อาเสอเถียงจ่านเหยียนฉอด ๆ อย่างโจ่งแจ้ง ส่วนจ่านเหยียนกลับไม่โกรธ นายบ่าวสองคนนี้คล้ายพี่สาวน้องสาวอยู่บ้างจ่านเหยียนไม่ต่อปากด้วยแล้ว กลับมีลางสังหรณ์ร้ายอยู่ในใจลึก ๆนางหลับตาลง นับนิ้วคำนวณอายุขัยของหว่านจวิน ยังไม่หมดอายุขัย น่าจะไม่เกิดเรื่องแน่นอน นางมิได้วางใจทั้งหมด เพราะคนที่เสียชีวิตก่อนหมดอายุขัยก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกันหวังเพียงหวังติ่งทังจะใส่ใจกับคำพูดของนาง ปลอบใจหว่านจวินให้ดี ให้นางล้มเลิกความคิดที่จะตายเสียครั้นกลับถึงจวนอ๋อง ฮุ่ยอวิ่นก็ได้ข่าวบอกว่าเทพโอสถมาแล้วฮุ่ยอวิ่นเดินพรวดพราดเข้าไปทันทีจ่านเหยียนสบตากับอาเสอทีหนึ่ง อาเสอจึงดึงบ่าวรับใช้ท่านนั้นมาถาม “เทพโอสถคือผู้ใดหรือ?”บ่าวรับใช้ตอบ “เทพโอสถก็คือหมอที่เก่งที่สุดในแคว้นต้าโจวเรา เป็นหมอเทวดา เขามารักษาโรคให้กับกุ้ยไท่เฟยน่ะ”จ่านเหยียนรู้ว่ามารดาของมู่หรงฉิงเทียนป่วย แม้ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร แต่เห็นว่าหลายปีนี้หาหมอดีมาไม่น้อย แต่รักษามานานเช่นนี้ก็ยังไม่หาย คาดว่าอาการคงหนักน่าดูอาเสอเบะปาก “หมอเทวดาอันใด? หมอที่ดีที่สุดในจักรวาลอยู่ที่นี่แล้ว กลับไม่เห็นคุ
ส่วนทางห้องโถงหลัก ราคาในการรักษาของเทพโอสถไม่ธรรมดา!“ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ขอเพียงท่านอ๋องหาคู่ครองในเมืองหลวงให้ลูกศิษย์ของข้าสักคนก็พอ ระดับขุนนางจะต่ำกว่าระดับสามไม่ได้ อายุก็ห้ามเกินสามสิบ ที่บ้านไร้ภรรยาและอนุ”มู่หรงฉิงเทียนหัวเราะชืด ๆ “ในเมืองหลวงกลับไม่มีผู้ใดสอดคล้องกับเงื่อนไขที่ท่านหมอเทวดากล่าว”เทพโอสถหัวเราะเล็กน้อย “เหตุใดจะไม่มี? ในจวนของท่านอ๋องก็มีอยู่คนหนึ่งมิใช่หรือ?”มู่หรงฉิงเทียนมองเขา “ฮุ่ยอวิ่นมิได้มีตำแหน่งขุนนาง ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ท่านบอกว่าระดับขุนนางไม่ต่ำกว่าระดับสาม”เทพโอสถหัวเราะไม่ยี่หระ “ท่านอ๋อง การให้ตำแหน่งขุนนางกับที่ปรึกษาผู้มีความสามารถสักคนมิใช่เรื่องยาก อย่างน้อย...สำหรับท่านอ๋องก็มิใช่”ฮุ่ยอวิ่นเพิ่งกลับมาถึงเหมือนกัน เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็อดเคืองโกรธขึ้นมาไม่ได้ เขามองเทพโอสถ “คำขอของหมอเทวดากลับทำให้คนลำบากใจเล็กน้อย”เทพโอสถโบกมือ “ไม่ คุณชายฮุ่ยอวิ่นผิดแล้ว ข้ามิเคยขอผู้ใดก่อน แล้วจะถือว่าเป็นการ ‘ขอ’ ได้อย่างไร? มิว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่มีราคาที่ต้องจ่าย มิใช่หรือ?”“หากต้องการให้ข้าน้อยแต่งลูกศิษย์ของหมอเทวดา ข้า
เทพโอสถอมยิ้มแล้วเอ่ย “ลูกศิษย์ของกระหม่อมนามว่าเหลียนถัง พักอยู่ที่เรือนเหลียนฮวาย่วนเหมาะสมที่สุด”“เสี่ยวเหลียน ขอบคุณท่านอ๋องสิ!” เทพโอสถสั่งกับสตรีนางนั้นเหลียนถังเดินมาข้างหน้าแล้วยอบตัวน้อย ๆ “หม่อมฉันขอบคุณในความกรุณาเพคะ!”มู่หรงฉิงเทียนเงียบนิ่ง ผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการสื่อความหมายเทพโอสถจะรักษาโรคให้กุ้ยไท่เฟยในวันพรุ่ง ดังนั้นฮุ่ยอวิ่นจึงพาจ่านเหยียนและอาเสอไปพบกับกุ้ยไท่เฟยก่อนความจริงเขาไม่อยากพาไปหรอก แต่เมื่อคืนหลังจากพระอาจารย์เป่ากวงสวดมนต์เสร็จก็บอกฮุ่ยอวิ่นให้พาหลงอู่ไปเยี่ยมกุ้ยไท่เฟยสักหน่อย มิได้บอกจุดประสงค์ แค่ยืนกรานให้เขาไปฮุ่ยอวิ่นเคารพพระอาจารย์เป่ากวงเสมอมา เห็นเขายืนกรานเช่นนี้จึงไม่ได้ถามสาเหตุอะไร เพียงพาจ่านเหยียนและอาเสอไปคารวะกุ้ยไท่เฟยจ่านเหยียนรู้ว่ากุ้ยไท่เฟยป่วย แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไรฮุ่ยอวิ่นบอกว่าจะพานางไปพบกุ้ยไท่เฟย และนางก็กำลังอยากไปดูสักหน่อยพอดีเส้นทางที่ฮุ่ยอวิ่นนำนางไป ตลอดทางทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก โดยมากแล้วเป็นการรังสรรค์จากธรรมชาติ จุดที่แกะสลักจากมนุษย์มีเพียงสระดอกบัวจ่านเหยียนราวกับเข้าสู่แดนเซียนนอกโลก นางชื่น
อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยตอบ “ไม่ค่อยสะดวก มองไม่เห็น”ผู้เป็นหมอมักมีหัวใจแห่งบิดามารดา จ่านเหยียนอดถามไม่ได้ “เป็นเพราะสาเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยหน้านิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มตรงมุมปาก “ข้าจำไม่ได้แล้ว”มีหรือจะจำความเจ็บปวดจากการสูญเสียการมองเห็นไม่ได้? โดยรวมคงเพราะไม่อยากเอ่ยถึง หรือไม่ก็ปลงตกแล้วฮุ่ยอวิ่นนึกว่าจ่านเหยียนจะถามต่อ จึงยื่นมือมากระตุกแขนเสื้อของนางแล้วโบกมือเป็นการบอกว่าอย่าถามจ่านเหยียนเปลี่ยนประเด็น “น้ำชาเหล่านี้เจือกลิ่นส้ม ใช่ชาส้มหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? แต่มันไม่ใช่แค่ชาส้ม หากยังใส่เมล็ดชุมเห็ดเทศด้วยกระมัง?”อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยเอ่ยอย่างยินดี “มิผิด ข้าแค่สั่งให้คนใส่ลงไปเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ากลับรู้ได้”“เมล็ดชุมเห็ดเทศช่วยเรื่องล้างตับและการมองเห็น รสชาติหอมสดชื่น แต่ใส่ลงไปได้เล็กน้อยเท่านั้น มิเช่นนั้นรสชาติเข้มเกินไปจะเสียรสชาติชาและส้ม น้ำชาจะขุ่นมัว และยังจะทำให้ลำไส้ลื่น” จ่านเหยียนเอ่ยอวิ๋นกุ้ยไท่เฟยผงะ จู่ ๆ ก็เอื้อมมือควานหามาทางจ่านเหยียน จ่านเหยียนเอื้อมมือไปจับมือของนาง รู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของนางเล็กน้อยอวิ๋นกุ้ยไท่เฟยเอ่ยด้วยความยิ
“รีบเชิญเร็ว!” จู๋กูกูรีบเอ่ยนางเข้าไปประคองอวิ๋นกุ้ยไท่เฟย เอ่ย “หมอเทวดามาแล้ว พวกเรากลับเข้าเรือนเถอะ ตรวจอาการในเรือนจะสะดวกกว่านะเจ้าคะ”อวิ๋นกุ้ยไท่เฟยกลับโบกมือแล้วนั่งลงเหมือนเดิม “อยู่ตรงนี้เถอะ ข้าชอบแสงแดดสว่าง ๆ”“เช่นนั้นหรือ ก็ได้เจ้าค่ะ!” จู๋กูกูได้แต่ตามใจนางมู่หรงฉิงเทียนในชุดผ้าฝ้ายลวดลายมังกรเหินสีนิลที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางเมฆาซึ่งเป็นลายพื้นเดินเข้ามา ตรงเอวคาดผ้ารัดเอวสีทอง ผูกกระเป๋าผ้าสีทองใบหนึ่ง และบนกระเป๋าผ้าห้อยพู่หยกใสทะลุปรุโปร่งชิ้นหนึ่งเห็นแล้วทำให้คนรู้สึกถึงความสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์และท่วงทำนองน่าเกรงขามอย่างไรก็คือราชวงศ์ แม้จะเป็นชุดลำลองก็ยังแสดงลักษณะแห่งราชวงศ์ออกมาทั้งหมดเหลียนถังเดินอยู่ข้างหลังเทพโอสถ ครั้นนางเห็นฮุ่ยอวิ่น ก็เพียงปราดสายตาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง จากนั้นใบหน้านิ่งก็เก็บอารมณ์ไว้ในดวงตา“เสด็จแม่ ไม่เชื่อฟังอีกแล้วนะ!” มู่หรงฉิงเทียนเดินมาข้างหน้าแล้วตำหนิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา “บอกแล้วมิใช่หรือ? อย่าออกมาตอนเช้าตรู่ หากต้องความเย็นแล้วจะทำอย่างไร?”นี่คือครั้งแรกที่จ่านเหยียนเห็นมู่หรงฉิงเทียนอ่อนโยนเช่นนี้ เส้นโค้
มู่หรงฉิงเทียนถามเทพโอสถ “ท่านหมอเทวดาจะตรวจสอบสาเหตุการตาบอดของนางได้หรือไม่”“ได้!” เทพโอสถหันไปเอ่ยกับเหลียนถัง “เจ้าเอาเข็มมาทดสอบตับของกุ้ยไท่เฟยหน่อย ตับกับดวงตาสัมพันธ์ถึงกัน ร่างกายมนุษย์มีจุดชีพจรหลายจุดที่สัมพันธ์กับอวัยวะภายใน มีพื้นที่ตอบสนอง หากมีพิษอยู่ในบริเวณตับ โดยมากจะส่งผลกระทบต่อดวงตา”จ่านเหยียนเห็นด้วยกับหลักการที่เขาบอก แต่... การสูญเสียการมองเห็นอย่างที่ไม่ถูกทำร้ายใด ๆ จะไม่เป็นอย่างที่เขาพูดแน่นอนทว่า... จะบอกว่าเขาอธิบายผิดก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองอย่างนี้ล้วนเป็นไปได้ทุกคนออกไปรออยู่นอกห้องขณะเหลียนถังกำลังตรวจสอบให้กุ้ยไท่เฟย เหลือเพียงจู๋กูกูเพียงคนเดียวผ่านไปครู่หนึ่ง จู๋กูกูก็เปิดประตู เทพโอสถหยิบเข็มเงินดูใต้แสงอาทิตย์พักหนึ่ง เข็มเรียวยาวเรืองแสงสีเขียวจาง ๆ ใต้แสงตะวันทุกคนผงะ มู่หรงฉิงเทียนถามขึ้น “มีพิษ?”“เป็นเพียงพิษเล็กน้อย แต่นี่ก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือกุ้ยไท่เฟยดื่มยาเป็นเวลานาน ยามักมีพิษสามส่วน ตับทำหน้าที่ขับสารพิษ เมื่อขับพิษออกไม่หมด ก็จะตกค้างอยู่ที่นี่ อย่างที่สองคือสมัยก่อนกุ้ยไท่เฟยขจัดพิษออกไม่หมด จึงทำความเสียหายแ
“ข้ามิได้ทำงานไม่ถูกเรื่อง เจ้าก็คือฆาตกรสังหารครอบครัวหญิงม่ายแซ่เซว” ฟางจี้จื่อจ้องนางพลางเอ่ยจ่านเหยียนส่ายหน้า “เจ้ามีหลักฐานอันใดพิสูจน์ว่าข้าคือฆาตกรสังหารครอบครัวหญิงม่ายแซ่เซว?”“ข้างตัวเจ้า หนึ่งปีศาจจิ้งจอก หนึ่งปีศาจงู นี่ก็คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด ที่จนถึงวันนี้ข้าก็ยังมองตัวตนของเจ้าไม่ออก นั่นมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว เจ้าดูดวิญญาณมนุษย์ฝึกบำเพ็ญเป็นเวลานาน ดังนั้นเจ้าจึงมีกลิ่นอายของมนุษย์ กลบทับตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”“นักพรตคนหนึ่งกลับกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา ไม่กลัวว่าจะทำให้คนหัวเราะเยาะแย่หรือ? เจ้าไม่เคยคิดหรือว่าข้าจะเป็นคนจริง ๆ?” จ่านเหยียนเอ่ยฟางจี้จื่อหัวเราะเย้ยหยัน “เจ้าอยากเป็นคนเป็นเซียนจริง แต่น่าเสียดาย เจ้าเข่นฆ่าคนไปมาก ต่อให้ฝืนบำเพ็ญเพียร อย่างมากก็ถึงได้แค่ด่านหยวนสื่อเทียนจุนไท่ซ่างเหล่าจวิน เจ้ามีสันดานชั่วช้า จะเป็นเซียนได้อย่างไร?”“ข้าเข่นฆ่าคนมากจริง แต่เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดอยากเป็นเซียน เป็นเซียนแล้วมีอะไรดี? มีแต่ผู้บำเพ็ญพรตที่เห็นแก่ตัวเช่นเจ้าจึงเพ้อฝันอยากเป็นเซียน อย่าคิดว่าคนอื่นจะเป็นอย่างเจ้าสิ”หากนางไม่เข่นฆ่าคนม
ไม่นานเรื่องที่จ่านเหยียนพังตำหนักชิงหนิงก็ดังกระฉ่อนไปทั่ววังหลวงจงเสี้ยนไทฮองไทเฮากริ้วหนัก แต่นางไม่ได้ทำอะไร การที่หลงจ่านเหยียนกล้าพังตำหนักชิงหนิง เป็นการพิสูจน์แล้วว่าวันนี้มิอาจเทียบวันวานนึกถึงตอนที่นางเข้าวังใหม่ ๆ แล้วมาคารวะ ใจเสาะขี้กลัวปานนั้น แม้แต่คุกเข่าก็ยังถลาลงไปกับพื้น ชวนให้คนตลกขบขันใครจะคิด วันนี้นางกลับกล้าพังตำหนักชิงหนิง?ดูท่านางคงบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว มิเช่นนั้น ด้วยเบื้องหลังของฐานะนาง นางจะไม่กล้าทำเช่นนี้เด็ดขาดหากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นที่พังตำหนักชิงหนิงในวันนี้ก็คงเป็นแผนการของเซ่อเจิ้งอ๋องเหมือนกันเขาจะทำอะไร?ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ถงจื่อหยาเกิดเรื่อง โจมตีสกุลถงต่อ?“หย่าจู้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?” ไทฮองไทเฮาถามหมัวมัวด้านข้างหย่าจู้คิดแล้วจึงเอ่ย “หลงจ่านเหยียนผู้นี้เหนือความคาดหมายอยู่บ้างจริง ๆ ก่อนหน้านี้แทรกแซงเรื่องของหยวนผินยังพอพูดได้ว่าอยากได้หน้า แต่การพังตำหนักชิงหนิงนี้ เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องที่สตรีผู้หนึ่งจะทำได้ โดยเฉพาะนางที่เป็นสตรีเช่นนี้เพคะ”“พูดอีกอย่างหนึ่ง เจ้าคิดว่าเซ่อเจิ้งอ๋องคือผู้บงการหรือ?”“ยาก
นางทิ้งมือทั้งสองลง จากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตาอาเสอตกใจ ยื่นมือออกไปทดสอบลมหายใจของนางฉับพลัน จากนั้นก็เงยหน้ามองจ่านเหยียนอย่างตกตะลึงจ่านเหยียนเอ่ยเสียงหนัก “ปกป้องหัวใจของนางก่อน”ถงไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น ในดวงตามีความกระหยิ่มยิ้มย่องและสาแก่ใจ “นางตายแน่”อาเสออุ้มจิ้นหรูเข้าไปในตำหนัก แต่ช้าไป นางมิอาจช่วยไว้ได้จ่านเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับอาหู “รอพวกเราออกไปแล้วก็พังตำหนักชิงหนิงเสีย”อาหูฉายรอยยิ้มหนาวเหน็บ “เพคะ!”“หลงจ่านเหยียน เจ้าน่าจะรู้นะ ภัยเกิดจากปาก ต่อให้วันนี้เจ้าพังตำหนักชิงหนิงของข้าไม่ได้ ข้าก็บันทึกแค้นนี้เอาไว้แล้ว” ถงไทเฮาเอ่ยข่มขู่จ่านเหยียนยิ้มระรื่น “วางใจ ไม่ว่าเรื่องใดที่ลงมือได้ ข้าจะไม่เปลืองน้ำลายเด็ดขาด”ผ่านไปพักหนึ่ง อาเสออุ้มจิ้นหรูออกมาแล้วพยักหน้ากับจ่านเหยียน “กลับไปเถอะ!”จ่านเหยียนเดินตามอาเสอออกไป จากนั้นก็หันมาสั่งกับอาหู “พังตำหนักชิงหนิงแล้วไปพาอาถงกับอาเถี่ยออกมาจากห้องมืดเถอะ”“รับบัญชา!” อาหูขานรับอย่างเริงร่าสวรรค์รู้ นางเห็นจิ้นหรูมีเลือดเต็มตัวแล้วอยากฆ่านางอัปลักษณ์ผู้นี้แค่ไหน หากติดตามนายที่เอาแต่พูดเรื่องคุณธรรมจริยธ
จ่านเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยท่าทางผ่อนคลาย นั่นคือตำแหน่งที่ถงไทเฮานั่งยามมีนางสนมมาเข้าเฝ้านางเอ่ยกับอาเสอและอาหู “ค้นตำหนักชิงหนิงให้ทั่ว ข้าต้องพบจิ้นหรู”“ช้าก่อน!” ถงไทเฮามองจ่านเหยียนแบบคล้ายยิ้มแต่มิได้ยิ้ม “น้องหญิงตั้งใจจะมาอาละวาดที่นี่หรือ? คิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”จ่านเหยียนโบกมือ “เรื่องอาละวาดต้องอาละวาดแน่แล้ว สำหรับผลที่จะตามมา ยังไม่มีเวลาคิดจริง ๆ และไม่คิดจะคิดด้วย”อาเสอและอาหูได้ยินคำนี้ของจ่านเหยียนก็ยิ้มร้ายกับถงไทเฮา จากนั้นก็จะเข้าไปค้นทันทีทันใดนั้นก็มีองครักษ์สิบกว่าคนออกมาขวางอาหูกับอาเสอปีศาจสองตนนี้เอาไว้มีหรือเหล่าองครักษ์จะเห็นพวกนางอยู่ในสายตา ผู้ที่อยู่ข้างหน้าคือหัวหน้าองครักษ์ของตำหนักชิงหนิง เขาตวาดกับอาเสอและอาหู “พวกเจ้ากล้าเหิมเกริมในตำหนักชิงหนิงหรือ?! อย่าหาว่าข้าลงมือไม่ยั้งไมตรีก็แล้วกัน!”กระบี่ยาวชี้มาทางอาเสอด้วยความเร็วยิ่ง ปลายกระบี่มาพร้อมกับคมกระบี่ อาเสอเคยเห็นอาซานแสดงฝีมือมาก่อน แม้เขาจะมีฝีมือด้อยกว่าอาซาน แต่ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นนำแล้วกระบี่ของเขาเร็วนั้นไม่ผิด กลับไม่ส่งผลกระทบซึ่งเป็นการไม่เกรงใจอาเสอใ
ส่วนกัวอวี้นึกว่าจ่านเหยียนซื้อตัวองครักษ์ในวัง ดังนั้นองครักษ์จึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการเดินออกไปของพวกนาง“เข้าไปเถอะ!” อาเสอไม่อยากพูดมาก เดินฉับเข้าไปอย่างเร่งรีบจี๋เสียงกับหรูอี้เพิ่งเรียกกับพู่หยกไปสองสามที เห็นพู่หยกไม่มีปฏิกิริยายังนึกว่าไม่ได้ผล ใครจะรู้พอหันกลับไปก็เห็นจ่านเหยียนกับพวกอาเสอยืนอยู่หน้าห้องแล้ว“คุณหนูใหญ่! ทรงเสด็จกลับมาก็ดีแล้วเพคะ!” จี๋เสียงกับหรูอี้ปรี่ไปหา พูดน้ำเสียงสะอื้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” กัวอวี้รีบถามจี๋เสียงสะอึกสะอื้น “เป็นเช่นนี้ วันนี้ตอนกลางวันมีคนมาจากตำหนักถงไทเฮาเชิญจิ้นหรูกูกูไป แต่ไม่กลับมาสักที อาถงจึงให้พวกบ่าวสองคนไปถาม แต่พอไปถึงนอกตำหนักชิงหนิง หรูหัวกูกูก็ไม่ให้เข้า ซ้ำยังไล่พวกบ่าวออกมา เพียงแต่... เพียงแต่บ่าวได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากในตำหนัก ถึงไม่ยืนยันว่าใช่เสียงร้องของจิ้นหรูกูกูจริงหรือไม่ แต่ฟังแล้วเหมือนมาก ตอนหลังอาถงกับอาเถี่ยก็ไปหา แต่ก็ไม่กลับมา...”จี๋เสียงเหม่อลอย แม้พูดไม่ปะติดปะต่อ แต่ก็ยังอธิบายเรื่องราวชัดเจน“คุณหนูใหญ่ ถงไทเฮาให้จิ้นหรูไป จะเกิดอะไรหรือไม่เพคะ?” กัวอวี้ถามจ่านเหยียนนึกถึงเรื่องข
ทั้งสองจะยอมหรือ? จึงบอกจะเข้าไปพูดกับจิ้นหรูกูกู หรูหัวกลับหน้าขรึม “พวกเจ้าเห็นตำหนักชิงหนิงคือสถานที่ใด? พวกเจ้าอยากเข้าก็เข้าได้ตามใจชอบหรือ?”อาถงข่มอารมณ์โกรธ กล่าวขอร้อง “กูกูอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย พวกเราก็ทำงานตามคำสั่ง หากเชิญจิ้นหรูกูกูกลับไปไม่ได้ หมู่โฮ่วฮองไทเฮาต้องพาลมาถึงเราแน่ กูกูคงไม่อยากเห็นพวกเราถูกลงโทษกระมัง?”“พวกเจ้าถูกลงโทษหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับข้า? ข้าแค่ฟังคำสั่งของเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาเท่า...”อาถงกับอาเถี่ยรีบฉวยโอกาสตอนที่หรูหัวพูดบุกเข้าไปเพียงแต่ทั้งสองเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกองครักษ์สองสามคนขวางเอาไว้“บุกรุกตำหนักของไทเฮา พวกเจ้ามีกี่ชีวิต? เอาตัวไป!” หรูหัวเอ่ยเสียงกร้าวกระบี่หลายเล่มพาดอยู่ตรงลำคอของอาถงกับอาเถี่ย ทั้งสองไม่กล้าต่อต้าน จึงได้แต่หันไปมองหรูหัวและเอ่ย “กูกู พวกเรามิได้จงใจบุกรุก กูกูโปรดเมตตา อนุญาตให้เราไปพบจิ้นหรูกูกูหน่อยเถอะ”หรูหัวหัวเราะเสียงเย็น ส่งสายตากับองครักษ์ “เอาตัวไป ขังอยู่ในห้องมืดก่อน”ห้องมืดใช้กักขังคนในตำหนักที่กระทำความผิดโดยเฉพาะ บ้างเข้าห้องมืดไม่กี่วันก็ออกมา แต่ทั่วไปแล้วมักมอบให้หัวหน้าขันทีในวั
ทั้งสองคิดไปก็มิใช่วิธี จึงให้จี๋เสียงกับหรูอี้ไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์หมู่โฮ่วฮองไทเฮา ตามจิ้นหรูกลับมาปรนนิบัติที่ตำหนักครั้นจี๋เสียง หรูอี้ไปถึงตำหนักชิงหนิงกลับเข้าไปไม่ได้ ได้แต่ให้ขันทีในตำหนักไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์ของหมู่โฮ่วฮองไทเฮาผ่านไปพักหนึ่ง หรูหัวก็ยิ้มตาหยีเดินออกมา “เซิ่งหมู่ฮองไทเฮากำลังเดินหมากกับจิ้นหรูกูกู นี่กำลังสนุกเลย จะอย่างไรเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาก็ไม่ยอมให้กูกูไป พวกเจ้าสองคนกลับไปทูลรายงานหมู่โฮ่วฮองไทเฮาว่าจะส่งคนกลับไปดึกหน่อยแล้วกัน”“อ๊าาา”เสียงร้องดังมาจากข้างในอีก จี๋เสียง หรูอี้สบตากันทีหนึ่ง สีหน้าเริ่มกังวลเล็กน้อยหรูหัวเอ่ยเรียบ “มีนางกำนัลคนหนึ่งไม่ทันระวังทำน้ำชาหกใส่หลังมือของจิ้นหรูกูกู นี่อย่างไร กำลังถูกโบยอยู่เลย”“แต่... เหตุใดเสียงนี้ฟังดูแล้วจึงเหมือนเสียงของจิ้นหรูกูกูล่ะ?” จี๋เสียงเอ่ยอย่างขลาด ๆ“เหลวไหลอันใด?” หรูหัวเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน “เจ้าจะบอกว่าเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาทรมาทรกรรมจิ้นหรูกูกูหรือ? ยังมิได้กล่าวถึงจิ้นหรูกูกูเป็นคนข้างพระวรกายของหมู่โฮ่วฮองไทเฮา แค่อดีตนางคือนางกำนัลคนสนิทของอดีตฮ่องเต้ ทั้งยังมีไมตรีกับเซิ่งหมู่ฮองไทเฮามาต
จิ้นหรูหัวใจรัดแน่น สุดท้ายดวงตาก็ฉายความแตกตื่นออกมา “พระองค์คิดจะทำอันใดกันแน่เพคะ?”“ถามได้ดี!” ถงไทเฮาลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วเดินก้าวหนึ่ง เหยียบหลังมือของจิ้นหรู ออกแรงขยี้ มองดูความทรมานบนใบหน้าของจิ้นหรู ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “เจ็บหรือ?”จิ้นหรูกัดฟัน “ไทเฮาจะลงโทษบ่าวอย่างไรก็ได้เพคะ”อย่างมากก็แค่ตาย ตายแล้วก็คือหลุดพ้น แต่... นางรู้ ถงไทเฮาแค้นนางที่สุด จะไม่ให้นางตายง่าย ๆ เด็ดขาด“ข้าได้ยินว่าคุกทักษิณมีทัณฑ์ทรมานมากมาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเทียบกับข้าที่นี่แล้ว จะเหนือกว่าหรือไม่? มิสู้จิ้นหรูกูกูช่วยข้าเปรียบเทียบสักหน่อย” ถงไทเฮาโน้มตัวลงเชยคางของจิ้นหรู มุมปากแย้มยิ้มชั่วร้ายเหี้ยมเกรียมเดิมรูปลักษณ์ก็มิได้งามวิไล ยามนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน ยิ่งทำให้ดุร้ายอัปลักษณ์มากกว่าเดิมจิ้นหรูขวัญผวา ไม่กล้ามองดวงตากระหายเลือดของนาง จึงก้มหน้ากัดริมฝีปาก อดทนต่อความเจ็บที่ส่งมาถึงแต่... นี่ยังห่างไกลกับจุดสิ้นสุดหรูหัวยกตะปูมากะละมังหนึ่ง พวกมันมิใช่ตะปูเหล็ก แต่เป็นตะปูไม้ท้อทุกเล่มทำจากไม้ท้อ ส่วนปลายแหลมคมเงาวับ“ถ้าเจ้าร้องสักแอะ ข้าจะเพิ่มตะปูอีกเล่ม” ถงไทเฮาเอ่ย
ด้วยประการละฉะนี้ ทุกคนจึงนึกว่าฮ่องเต้โปรดปรานแต่ฮองเฮา ทอดทิ้งวังหลังแม้นางสนมจะตำหนิไม่พอใจ แต่เพราะฮองเฮาคือคนสกุลถง จึงไม่มีใครกล้าพูดฮองเฮารูปโฉมไม่โดดเด่น กลับได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เพียงนี้ เห็นได้ว่าฮ่องเต้รักนางจริง ๆชั่วขณะ ฮองเฮาบารมีไร้ที่สิ้นสุด รั้งตำแหน่งฮองเฮา ทั้งยังมีความโปรดปรานของฮ่องเต้มั่นคงดั่งขุนเขา ทำให้สกุลถงเหิมเกริมมากขึ้นทุกวันเขาใช้การกระทำบอกนาง ในใจของเขามีแต่นางเท่านั้นสามสิบกว่าปีแล้ว นางเข้าวังในวัยสิบสอง บัดนี้สี่สิบสาม อดีตฮ่องเต้คือแผ่นฟ้าของนาง คือสามีของนาง คือนายของนางเขาจากไปก่อนนาง แม้นางจะเสียใจ แต่ก็มิได้แสดงออกว่าเสียใจมาก เพราะนางรู้ว่าเขากำลังรอนางอยู่ตรงนั้น สุดท้ายนางจะได้ไปพบกับเขานางรู้ ยามนี้ได้เวลาแล้ว“พูด!” หรูหัวดุดันขึ้นมา ตบหน้านางฉาดหนึ่งจิ้นหรูหน้าเอียงไปข้างหนึ่ง แก้มบวมขึ้นรอยประทับนิ้วมือทันทีจิ้นหรูคุกเข่าตัวตรง “บ่าวไม่มีอะไรจะพูดเพคะ”“เจ้ามอบความบริสุทธิ์ของเจ้าให้ผู้ใด?” ถงไทเฮาไม่แสดงออกว่าโกรธมาก ในทางกลับกัน นางพรูลมยาว ข้อกังขาที่เก็บอยู่ในใจนางยี่สิบกว่าปี กระจ่างแจ้งในที่สุด“บ่าวไม่ทร
หรูหัวลากนางเข้าตำหนักชั้นในไปอย่างไม่ให้ปฏิเสธจิ้นหรูมองเสื้อผ้าบนฉากบังลมด้วยความประหลาดใจ เหตุใดหรูหัวจึงมีเสื้อผ้าวางอยู่ในตำหนักบรรทมของไทเฮาได้แต่นางมิได้ถาม เพราะถามแล้วก็คงไม่บอก นางมองเสื้อผ้านางกำนัลชุดนี้ มิได้สงสัยเรื่องอื่นก็เข้าไปเปลี่ยนชุดด้านหลังฉากบังลมนางเพิ่งถอดเสื้อผ้า หรูหัวก็เข้ามา “อุ๊ย ข้าลืมบอกเจ้าไป ชุดนี้เคยใส่แล้ว เปลี่ยนอีกชุดเถอะ!”นางยื่นชุดสีเหลืองอ่อนในมือให้จิ้นหรู พร้อมกับกวาดสายตามองบริเวณแขนของจิ้นหรูอย่างรวดเร็ว เมื่อนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะออกไปจิ้นหรูเพิ่งแต่งตัวเสร็จก็มีหญิงสูงวัยดุดันเข้ามาสองคน ลากแขนจิ้นหรูคนละข้างออกไปข้างนอกจิ้นหรูตกตะลึงพรึงเพริดถามขึ้นว่า “นี่พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ?”หญิงสูงวัยสองคนนั้นลากนางไปแล้วผลักจนนางสะดุดล้มลงพื้น ถงไทเฮามองนางจากมุมสูง ดวงหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต“เซิ่งหมู่ฮองไทเฮา บ่าวทำอะไรผิดไปเพคะ?” จิ้นหรูหัวใจหนักอึ้ง แต่ยังสงบสติอารมณ์แล้วถาม“ทำอะไรผิด?” เสียงของถงไทเฮาราวกับส่งมาจากขุมนรก พกพากลิ่นอายเย็นยะเยือกชุ่มชื้น “แต้มพรหมจรรย์ของเจ้าเล่า?”จิ้นหรูหัวใจ