ฉีชินอ๋องย่อมต้องถามอาเสอ “ของสิ่งนี้ขนส่งมาจากแคว้นตะวันตกหรือ?”“ถูกต้องเพคะ นี่เรียกว่ารถยนต์ ไม่ต้องกินธัญพืช ใช้น้ำมัน น้ำมันก็ขนส่งมาจากแคว้นตะวันตกเหมือนกันเพคะ” รถเติมน้ำมันเต็มถังสามารถวิ่งได้หกเจ็ดร้อยกิโลเมตร อีกทั้งท้ายรถยังสำรองน้ำมันอีกสองถัง นี่คือของที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ จนปัญญา ต้องคำนึงว่ายุคสมัยนี้ไม่มีปั๊มน้ำมัน“ข้าไม่เคยได้ยินแคว้นตะวันตกมาก่อน แต่ได้ยินว่าทางตะวันตกมีของสนุก ๆ มาก” สีหน้าของฉีชินอ๋องเพิ่งจะปกติฝนตกหนักขึ้นทุกที ที่ปัดน้ำฝนปัดไปปัดมาอย่างบ้าคลั่ง แต่กระจกยังมีหยดน้ำฝนสาดลงมาไม่หยุดจ่านเหยียนวิสัยทัศน์ไม่สู้ดีจึงได้แต่ลดความเร็ว อาศัยความรู้สึกขับแบบดาด ๆ บางที่เป็นหลุมเป็นบ่อเหยียบเบรกกะทันหัน ทำเอาคนบนรถหน้าทิ่ม เส้นทางนี้ถือว่าวิบากฉีชินอ๋องมองจ่านเหยียนด้วยสายตาเลื่อมใสตลอดเวลา คนที่กำลังมีสมาธิจะงามที่สุด ตอนนี้จ่านเหยียนกำลังมีสมาธิกับการขับรถ เอ่ยคำสบถยามตกหลุมเป็นครั้งคราว หากเป็นการแสดงออกอันทรงเสน่ห์ในสายตาของเขาหากเป็นแต่ก่อน ฉีชินอ๋องแค่รู้สึกดีกับจ่านเหยียนเล็กนั้น เช่นนี้เวลานี้ก็คงจะหลงรักนางแล้วไม่ต้องสงสัย เพราะการรัก
“นางคือศิษย์น้องของราชครู นามว่าจิ้งฉือ เดิมเป็นผู้อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ เพียงแต่... นางทิ้งพระคัมภีร์หันหลังให้ทางธรรม ลาสิกขาบำเพ็ญตนบนเขาซีซันตามลำพังนานแล้ว นางมีใจปฏิพัทธ์ต่อ...ท่านอ๋อง!” พระอาจารย์เป่ากวงเอ่ยจ่านเหยียนชะงักไปเล็กน้อย “ชอบ? ชอบแบบไหน?”“ที่นางลาสิกขาก็เพื่อเจอท่านอ๋องสักครั้ง ดื้อรั้นจะออกเรือนกับท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องเฉยชากับนางยิ่งนัก ต่อให้นางบอกว่าต้องการช่วยท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ยังปฏิเสธนางทางอ้อม ภายใต้ความโกรธ นางจึงปลีกวิเวกอยู่ที่เขาซีซัน”จ่านเหยียนเหงื่อตก มู่หรงฉิงเทียนนี่มีเสน่ห์ขนาดไหนเนี่ย? ถึงกับทำให้แม่ชีคนหนึ่งลาสิกขาจะแต่งกับเขาได้?“แต่... เกรงว่าร่างกายของมู่หรงฉิงเทียนในเวลานี้จะไม่เหมาะไปเขาซีซัน” จ่านเหยียนเอ่ยพระอาจารย์เป่ากวงนิ่งไปครู่หนึ่ง “ท่านเซียนเข้าใจผิดแล้ว ท่านอ๋องที่อาตมาพูดถึงคือฉีชินอ๋อง มู่หรงหานเทียน”“หา! เขาหรือ?!” จ่านเหยียนอึ้งจังงัง จากนั้นจึงถาม “เขาซีซันไกลแค่ไหน?”พระอาจารย์เป่ากวงตอบ “หากขี่ม้าก็ไปกลับในวันเดียวได้”“หนึ่งวัน? ไม่ได้ ข้าต้องการใช้ตอนยามจื่อคืนนี้” จ่านเหยียนขมวดคิ้ว“เช่นนั้นก็เหลือเวลาไม่กี่ชั
โชคดีที่วันต่อมาฉีชินอ๋องมิได้เข้าวังเมื่อคืนจ่านเหยียนคิดไว้แล้วว่าจะปฏิเสธไม่ให้เขาอยู่ในตำหนักนานอย่างไร คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่มา ความพยายามของนางจึงเสียเปล่าวันที่สิบห้าแล้ว จ่านเหยียนต้องเริ่มเตรียมการรวบรวมแสงจันทร์ของคืนนี้แต่นับจากตอนกลางวัน ฟ้าเริ่มอึมครึมนางร้องว่าแย่แล้วอยู่ในใจ หากมีเมฆรวมตัวอยู่มากและฝนตกในตอนกลางคืน ยังจะมีแสงจันทร์อะไรอีก? แม้เก็บแสงจันทร์ในวันที่สิบหกได้ แต่ไอแห่งจันทร์หยินของคืนวันเพ็ญเข้มข้นที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดในเดือน “ถ้าวันนี้ฝนตกจะรวมเสียงอย่างไรเพคะ?” เชียนอวี่ออกมาถามจ่านเหยียนนับนิ้วก่อนจะตอบ “วันนี้ไม่ควรมีฝนจึงจะถูก นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”“ทรงทราบได้อย่างไรว่าวันนี้จะไม่มีฝน? นี่ที่ไม่มีพยากรณ์อากาศสักหน่อย และถึงจะมี พยากรณ์อากาศก็ไม่แม่นได้เหมือนกัน” เชียนอวี่ถามจ่านเหยียน “ข้าเป็นโรคเหน็บชา ถ้ามีฝน ข้าควรเจ็บเท้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”“ไม่กระมัง? ยังเยาว์วัยเช่นนี้ก็เป็นโรคเหน็บชาแล้วหรือ? เหลวไหล ท่านทะลุมิติมาแต่ดวงวิญญาณหรือว่าร่างกายก็มาด้วย?” เชียนอวี่มองนางพลางถาม“แค่ดวงวิญญาณ ข้าแก่มาแล้ว” จ่านเหยียนตอบอย่างใ
แต่ดูเหมือนว่าฉีชินอ๋องก็ไม่ค่อยอยากรู้ความเป็นไปของนักดนตรีเหล่านั้นเหมือนกัน เพราะตอนได้ยินกัวอวี้บอกว่าส่งนักดนตรีพวกนั้นออกไปแล้ว เขาก็อารมณ์เบิกบานไปทั้งคน“จะว่าไป พี่สะใภ้ทำตุ๊กตามากมายเช่นนี้ทำอะไร? แล้วเจ้ายังทำเป็นทหารอีก จะใช้ทำอะไรหรือ?” ฉีชินอ๋องถามด้วยความแปลกใจอันที่จริงกัวอวี้ตอบคำถามนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่อีกฝ่ายคือชินอ๋อง ต่อให้ถามหมื่นครั้งก็ต้องตอบต่อไป “ไทเฮาตรัสแล้ว ตุ๊กตาสวยดี จัดวางไว้ในตำหนักงามตาเพคะ”จ่านเหยียนเห็นกัวอวี้นั่งคุยอยู่กับฉีชินอ๋องจึงเรียก “ท่านอ๋อง มาดื่มน้ำชาหน่อยเถอะ อาหารเมื่อครู่เลี่ยน ๆ อีกอย่าง ไฟสว่างอย่างนี้ ใกล้มากจะไม่ดีต่อสายตา”ความจริงจ่านเหยียนต้องการเตือนเขา มื้อเย็นก็กินแล้ว ฟ้าก็มืดแล้ว เขาสมควรออกจากวังแล้วหรือไม่? เขาดูกัวอวี้มาทั้งบ่ายแล้ว ตอนนี้ยังจะดูอีก มีอะไรน่าดูกัน?ฉีชินอ๋องกลับนึกว่าจ่านเหยียนเป็นห่วงว่าเขาเข้าใกล้โคมไฟมากเกินไปจะตาเสีย จึงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “ก็ดี ชงชาอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”จ่านเหยียนเอ่อ “หลงจิ่ง!”“พี่สะใภ้โปรดเสวยหลงจิ่งหรือ? เอาไว้วันหน้ากระหม่อมจะส่งเข้าวังสักหน่อย” ฉีชินอ๋องเอ่ยด้วยสายตา
หลังจากอาเสอกลับ ไทฮองไทเฮาจ้องแสงตะวันนอกประตูด้วยสายตาเย็นเยียบ “ทางหลงฉางเทียนต้องไม่พอใจแน่ เจ้าคิดวิธีปลอบใจเขาหน่อย”“เพคะ!” หมัวมัวขานรับครู่หนึ่งแล้ว หมัวมัวจึงเอ่ย “บัดนี้หลงจ่านเหยียนกำเริบเสิบสานมากขึ้นทุกที ต้องทำอะไรหรือไม่เพคะ?”ไทฮองไทเฮาพิจารณาครู่หนึ่ง “ตอนนี้เซ่อเจิ้งอ๋องกำลังมาแรง ทั้งสกุลถงเรายังมีคนไม่เอาไหนอีก ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ เอาไว้เรื่องจื่อหยาเงียบไปแล้ว นางได้เจอดีแน่”“บ่าวได้ยินข่าวมา บอกว่าคืนนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องช่วยบรรเทาภัยพิบัติ บาดเจ็บถึงรากฐาน หมดสติมาตลอด จนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย และที่แปลกคือจวนอ๋องกลับไม่มีหมอหรือหมอหลวงเข้าออกเลยเพคะ”“เขามีหมออยู่ในจวนมิใช่หรือ?”“มีเพคะ แต่บ่าวสั่งให้คนไปสืบร้านยาละแวกนั้น ไม่เคยมีคนจากจวนอ๋องมาซื้อวัตถุดิบยาเลย มีหมอแต่ไม่มียา แล้วจะรักษาอย่างไร? มีใต้เท้าหลายคนเห็นกับตาว่าเซ่อเจิ้งอ๋องหมดสติในพื้นที่ภัยพิบัติ เรื่องนี้ไม่เท็จแน่เพคะ”ไทฮองไทเฮาดวงตาเป็นประกาย “เจ้าหมายถึง...”“หรือว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะเผชิญกับเคราะห์ใหญ่แล้วเพคะ?” หมัวมัวกดเสียงลงต่ำไทฮองไทเฮาหรี่ตาแล้วออกคำสั่งทันใด “สืบ!”“เพคะ!” ห
เพียงแต่น้องชายสามีกับพี่สะใภ้ นี่ไม่ข้ามรุ่นกันหรือ? แล้วยังเป็นยุคสมัยนี้ มีประเพณีพี่ชายตายน้องชายสืบต่อ?หลังจากฉีชินอ๋องส่งตุ๊กตาเหล่านั้นเข้าวังเสร็จแล้วก็เริ่มนึกเสียใจ กระวนกระวายเล็กน้อย พี่สะใภ้จะคิดกับเขาอย่างไร? คงไม่มีอะไรกระมัง? นี่คือความเข้าใจผิดนะ เขาไม่ได้คิดเป็นอื่นแต่ถ้าเขาคิดเป็นอื่น และนางก็คิดเหมือนกัน เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี?จ่านเหยียนไม่รู้ว่าหัวใจหนุ่มน้อยอันเปราะบางของฉีชินอ๋องในเวลานี้ไม่สงบเพียงใด แค่รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นางชื่นชมฉีชินอ๋อง แต่มิได้มีใจรักใคร่ และต่อให้รักใคร นางก็ไม่มีทางรับประทานหญ้าอ่อนอย่างนั้นกลุ้มกับเรื่องที่มาอย่างกะทันหันจริงวุ้ย!วันต่อมาจ่านเหยียนร่างพระเสาวนีย์แล้วส่งให้อาเสอไปถ่ายทอดที่สกุลหลงเป็นอย่างที่เซ่อเจิ้งอ๋องสันนิษฐาน พระเสาวนีย์ของนางระบุด้วยความเจ้าเล่ห์เต็มสิบว่าได้รับความเห็นชอบจากไทฮองไทเฮาแล้ว ยกเลิกการแต่งงานระหว่างฉีชินอ๋องกับหลงจ่านซินพระเสาวนีย์นี้มาถึงจวนสกุลหลง แม้จวนสกุลหลงจะเตรียมใจก่อนแล้ว แต่เมื่อเห็นไทฮองไทเฮาไม่มีพระเสาวนีย์มาสักที ยังนึกว่ายังมีหวังแต่หลงจ่านซินถูกทำลายโฉมแล้ว ต่อ
กลับวังได้ไม่นาน ฉีชินอ๋องก็สั่งให้คนส่งห่อใหญ่มาห่อหนึ่งครั้นจ่านเหยียนเปิดออกก็นิ่งไปทั้งคนที่ห่ออยู่ในนั้นมีตุ๊กตาตัวเล็กเท่านิ้วหัวแม่มืออย่างน้อยยี่สิบสามสิบตัว คล้ายตุ๊กตาไล่ฝนของญี่ปุ่นอยู่บ้าง กลับประณีตกว่าตุ๊กตาไล่ฝนร้อยเท่าเสื้อผ้าปักลายได้งดงามยิ่ง ทั้งยังปักด้วยไหมสิบกว่าสี เครื่องหน้าก็ปักออกมาราวกับมีชีวิต“นี่ต้องเป็นเงินเท่าไรกัน?” จ่านเหยียนเอ่ยด้วยความตกใจกัวอวี้มองทีหนึ่ง “ไม่แพงเพคะ บ่าวก็ทำเป็น แล้วยังทำได้ดีกว่าชนิดนี้อีก”นี่คือของเล่นพื้นบ้าน ขายไม่แพง เนื่องจากใช้วัสดุไม่แพง เส้นไหมก็เป็นของราคาถูกทั้งหมด ที่เน้นคือฝีมือการปัก แต่หญิงชาวบ้านคนใดมิเก่งงานฝีมือ? จึงไม่มีระดับความยากจริง ๆ“เจ้าทำเป็นหรือ?” จ่านเหยียนมองกัวอวี้ด้วยความเลื่อมใส“นี่มิใช่เรื่องยากเพคะ” กัวอวี้ยิ้มเอ่ยจ่านเหยียนเอื้อมมือออกไปลูกตุ๊กตาตัวเล็กเหล่านี้ด้วยท่าทางที่เหมือนกับตัดสินใจครั้งใหญ่ “นับจากวันพรุ่งนี้ ถ้าเจ้าว่างก็ทำให้ข้า แต่... ข้ามีเงื่อนไข ต้องมีขนาดเล็กกว่านี้ ทุกคนในตำหนักหรูหลาน ขอเพียงทำเป็นก็ทำให้หมด ค่าแรงคิดต่างหาก”“นี่มิต้องคิดค่าแรงหรอกเพคะ แต่คุณหน
“อ้อ? ดูพี่สะใภ้จะรู้มากนะพ่ะย่ะค่ะ”“รู้ไม่มาก แค่เคยเห็นในตำราเท่านั้น” จ่านเหยียนกล่าวอย่างถ่อมตน“ที่แล้วมากระหม่อมไม่อ่านบันทึกต่าง ๆ แต่ได้ยินพี่สะใภ้เล่าน่าสนใจแค่นี้ กระหม่อมกลับไปต้องอ่านให้มากจึงจะดี” ฉีชินอ๋องนึกว่านางอ่านบันทึกหรือได้ยินมาจ่านเหยียนเลิกผ้าม่านมองถนนข้างนอก มีพ่อค้าหาบเร่ผ่าน บนหาบมีของน่าสนใจห้อยอยู่มากมายจ่านเหยียนหันไปมองไม่หยุด ตุ๊กตาผ้าเหล่านั้นประณีตมาก ตามพื้นบ้านจะมีคนฝีมือดีเช่นนี้อยู่ฉีชินอ๋องเห็นนางมองอยู่ตลอดจึงเข้ามาดูด้วย ถาม “พี่สะใภ้โปรดหรือ?”“เปล่า แค่ดูเท่านั้น” จ่านเหยียนยิ้ม อายุอานามปูนนี้แล้ว จะชอบของเด็ก ๆ เหล่านั้นได้อย่างไร? แค่รู้สึกว่าใช้งานได้เท่านั้นฉีชินอ๋องกลับไม่คิดเช่นนี้ แม้พระอาจารย์เป่ากวงจะเรียกนางว่าเหล่าจู่จ้ง แต่อย่างไรนางก็เป็นแม่นางอายุสิบหกสิบเจ็ด จะชอบของพรรค์นี้ก็ปกติมากเขาคิดแล้วจึงเอ่ย “เอาละ กระหม่อมสมควรกลับกรมกลาโหมแล้ว”“ได้ เช่นนั้นท่านอ๋องก็ไปเถอะ” จ่านเหยียนโล่งอกในใจ นั่งอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ กับเขา ทั้งยังไม่มีอะไรจะคุยกันอีก ทำให้คนรู้สึกอีหลักอีเหลื่อแท้ ๆฉีชินอ๋องกระโดดลงจากรถม้าแล้วโบก
ฉีชินอ๋องขี่ม้าไล่ตามรถม้าของจ่านเหยียน ขวางนางอยู่ตรงถนนฝั่งตะวันตกจ่านเหยียนเลิกผ้าม่านมองแวบหนึ่ง “ท่านอ๋อง?”“พี่สะใภ้ กระหม่อมจะสนทนากับท่านสักสองคำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฉีชินอ๋องอยู่บนม้า มองจ่านเหยียนจากมุมสูง แสงตะวันส่องกระทบบนใบหน้าของเขา ราวกับฉาบทองคำชั้นหนึ่ง“ท่านอ๋อง ขึ้นมาเถอะ” จ่านเหยียนเรียกเขามาฉีชินอ๋องกระโดดขึ้นบนรถม้าของจ่านเหยียน กัวอวี้ออกไปนั่งข้างขับรถอยู่ด้านนอกกับสารถี“ท่านอ๋องรีบร้อนเช่นนี้ มีธุระสำคัญหรือ?” จ่านเหยียนถามแม้รถม้าจะกว้างขวาง แต่จ่านเหยียนนั่งใกล้กับเขามาก กลิ่นกายหอมละมุนอย่างหนึ่งจึงโชยมา กลิ่นหอมประเภทนี้ไม่เหมือนกับการรมกลิ่นเสื้อผ้าทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายฉีชินอ๋องกระดากจะเอ่ยปากเล็กน้อย ได้แต่หาเรื่องพูดก่อน “ถุงหอมที่พี่สะใภ้ใช้พิเศษนักพ่ะย่ะค่ะ”จ่านเหยียนนิ่งไป “ข้าไม่ได้ใช้ถุงหอม...” จากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองฉีดน้ำหอมนิดหน่อย ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันนางให้คนทำน้ำหอมขวดนี้ขึ้นโดยเฉพาะ กลิ่นหอมมีความพิเศษจำเพาะ ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย“ถูกต้อง ข้าใช้เครื่องหอม” จ่านเหยียนยิ้มพูด“ประกอบด้วยอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ความชอบของฉ