เช้าวันใหม่ในหมู่บ้านมาเขาตื่นมาพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่านกระท่อมของเอเลียส เสียงนกป่าดังแว่วมาแต่ไกล เอเลียสลืมตาขึ้น เขายังไม่ชินกับที่นอนที่เป็นเพียงกองฟางกับใบไม้แห้ง แต่ร่างกายเริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว แต่ไม่มีร่องรอยของคนที่เป็นเจ้าของกระท่อมนี้
‘เขาหายไปไหนแต่เช้ากันนะ?’
เอเลียสลุกขึ้นและเดินออกจากกระท่อม แต่ทันทีที่ก้าวออกมา เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาทางเขา
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรอบตัว ชาวบ้านบางคนรีบหันหน้าหนีเมื่อเห็นเขา ขณะที่บางคนจ้องเขาด้วยแววตาหวาดระแวง
เด็กเล็กสองสามคนแอบมองเขาจากหลังต้นไม้ เอเลียสพยายามส่งยิ้มให้พวกเขา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเด็กๆ ที่รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
‘พวกเขายังกลัวฉันอยู่สินะ…’
เขาถอนหายใจ พยายามคิดหาวิธีทำให้ตัวเองดูเป็นมิตรขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
เอเลียสหันไปมอง แล้วพบว่าชายร่างใหญ่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกำลังเดินเข้ามาหา ใบหน้าของอีกฝ่ายเคร่งขรึม ดวงตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
"อุก้า! อุก้า!"
เอเลียสกะพริบตาปริบๆ
"อุก้า..? เอ่อ… แฮะๆ"
เขาหัวเราะแห้งๆ พยายามทำตัวเป็นมิตร แต่ดูเหมือนว่าชายร่างใหญ่จะไม่สนใจรอยยิ้มของเขาเลย
ทันใดนั้น มือหนาของอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือของเขาแน่น ก่อนจะออกแรงลากเขาไปยังลานกว้างกลางหมู่บ้าน
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นทันที เอเลียสรู้สึกได้ถึงสายตานับสิบที่จับจ้องมาทางเขาด้วยความไม่พอใจ เขาถูกล้อมรอบไปด้วยชาวบ้านที่ดูเหมือนจะกำลังกล่าวอะไรบางอย่าง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจภาษาของพวกเขาเลยก็ตาม
บางคนชี้นิ้วมาที่เขา ขณะที่บางคนกำหมัดแน่นราวกับพร้อมจะใช้กำลัง
‘ทำยังไงดี… พวกเขากำลังไม่พอใจฉันอยู่แน่ๆ …’
เอเลียสรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงด้วยความกังวล
"อู! อู!"
เสียงคำรามหนักแน่นดังขึ้น พร้อมกับมือของใครบางคนที่แหวกฝูงชนเข้ามากลางวง
เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลงเมื่อทุกสายตาหันไปมองผู้มาใหม่
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคน ดวงตาของเขาสงบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด ใบหน้าของเขาดูคุ้นเคย… เอเลียสนึกออกทันทีว่าเขาคือเจ้าของกระท่อมที่ให้ที่พักพิงแก่เขาเมื่อคืน
"อุก้า อุก้า!"
เขากล่าวเสียงหนักแน่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุด
ชายร่างใหญ่ที่จับแขนเอเลียสไว้ดูเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ยอมปล่อยมือในที่สุด เอเลียสถอยหลังไป พลางใช้มือถูข้อมือที่ถูกบีบแน่นเมื่อครู่
"อุก้า! อุก้าอุอุ!"
ชายร่างใหญ่โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ พร้อมกับชี้นิ้วตรงมาที่เอเลียส ราวกับต้องการขับไล่เขาไปให้พ้นจากหมู่บ้าน
ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยเหลือจ้องมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือคว้าแขนเอเลียสและดึงตัวเขาออกไปจากลานกว้างทันที
เสียงโวยวายยังคงดังไล่หลังมา แต่ไม่มีใครกล้าขัดขวางชายหนุ่มคนนั้น
เอเลียสรู้สึกได้ถึงแรงบีบเบาๆ บนข้อมือ ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังบอกให้เขาตามไปเงียบๆ
‘ฉันรอดแล้ว… อย่างน้อยก็ในตอนนี้…’
ตึก ตึก ตึก.. เสียงฝีเท้าเบาๆ กระทบพื้นหินอ่อนของพิพิธภัณฑ์ เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของผู้มาเยือนเบาบางแทบจะกลืนไปกับความเงียบสงัดในโถงจัดแสดงตอนบ่ายแก่ๆ แสงมีส้มลอดผ่านกระจกบางใส ที่ขึ้นไอเย็นเล็กน้อย ชายหนุ่มในโค้ทสีน้ำตาลยาวเลยเข่า ผมสีเหลืองอ่อนเล่นเงากับแสงไฟ เขายืนนิ่งอยู่หน้าตู้โชว์กระจกใส ตาในตาสีม่วงหมองแนบมองชิ้นงานภายในอย่างเงียบงัน — สร้อยคอจากกระดูกสัตว์โบราณ ที่ดูคุ้นตาเสียจนหัวใจเขาบีบรัด มันไม่ใช่แค่สิ่งของโบราณธรรมดา มันคือชิ้นส่วนของความทรงจำ ความรู้สึกที่เหมือนมัดแน่นไว้กับอดีต... เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านข้าง พร้อมชายผิวแทนเข้ม กับผ้าพันคอสีเทาอ่อนเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง "คุณมองดูมันเหมือนเป็นของสำคัญเลยนะ.." เอเลียสไม่ได้ตอบ เขาแค่หันศีรษะไปช้าๆ เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกัน ผมดำยุ่งเล็กน้อยอย่างคนไม่ชอบหวี ดวงตาสีเข้มสะท้อนแสงไฟในพิพิธภัณฑ์อย่างแผ่วเบา เขากำลังจ้องมองไปยังสร้อยเส้นนั้น ราวกับมีบ้างสิ่งบ้างอย่างในใจ "..ก็คงงั้น" เอ
เสียงปรบมือดังก้องทั่วทั้งหอประชุมขนาดมหึมาที่ประดับด้วยแสงสีและฉากหลังล้ำอนาคต ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีที่มีแสงสปอตไลต์สาดส่องลงมากลางจุดรับรางวัล พิธีกรหญิงในชุดสูทสะท้อนแสงสีเงินยืนอยู่ตรงกลางเวที ก่อนจะเอ่ยเสียงชัดเจนผ่านไมโครโฟน และมืออีกข้างที่ถือถ้วยรางวัลเป็นกระจกใสที่วาววับเหมือนเพรชถูกออกแบบมาอย่างประณีต "รางวัล The Multiversal Breakthrough Prize—รางวัลแห่งการปฏิวัติความเข้าใจเรื่องจักรวาลคู่ขนาน ผู้คิดค้นและวิจัย ผดร.เอเลียส โรห์น และทีมของเขา!" เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ผู้คนบางส่วนลุกขึ้นยืนแสดงความยินดี บางคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา จากมุมหนึ่งของเวที ชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท ก้าวออกมาจากแถวเก้าอี้ของคณะนักวิจัย ผมยาวสีทองอ่อนถูกรวบไว้หลวม ๆ ดวงตาสีม่วงเจือหมอกอ่อน ๆ ที่มองไกลดูเหมือนแสงสะท้อนของดวงดาว เขายิ้มจางๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเวทีด้วยท่าทีสงบนิ่ง "ขอบคุณสำหรับรางวัลที่มีเกีตรตินี้.." เสียงของเขาดังผ่านไมโครโฟน น้ำเสียงนุ่
ครืนน.. ท้องฟ้าอึมครึ้มตั้งแต่รุ่งสาง เมฆครึ้มหม่นคล้ายจะพยายามกลืนกลบแสงอาทิตย์ไว้ เอเลียสยืนอยู่หน้ากระท่อม ดวงตาไล่มองหมู่บ้านที่กำลังเคลื่อนไหว ผู้คนต่างโบกมือลา บ้างยิ้ม บ้างร้องไห้ ชายหนุ่มสวมเสื้อกาวเก่าที่มีรอยฉีดขาด พร้อมรอยยิ้นและโบกมือเป็นการอำลา ก่อนจะหันไปมอง ชายสองคนที่กำลังรอเขาอยู่ พวกเขา โคร และผู้อาวุโส เริ่มต้นการเดินทางมุ่งไปยังจุดที่ครั้งหนึ่งเอเลียสเคยตกลงมาสู่โลกนี้ ที่ที่เขาจะใช้เพื่อกลับไปยังโลกเดิมของตน ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาไม่ช้า จากเม็ดเล็กกลายเป็นสายฝนหนัก ลมแรงกระหน่ำราวกับพายุไล่หลัง ทุกย่างก้าวบนพื้นดินชุ่มแฉะกลายเป็นความหนืดรั้งเท้า แต่ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครเอ่ยปาก ในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงกลางเนินโล่ง ที่ซึ่งเคยเป็นป่ารกชัฏ บัดนี้ถูกเคลียร์ออกจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกลางธรรมชาติ เครื่องเปิดมิติขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเนิน ล้อมรอบด้วยเสาร์โลหะสามต้นโค้งเข้าหาศูนย์กลาง ราวกับกรงโลหะที่ตั้งใจล้อมใครสักคนไว้จากโลกทั้งใบ สายล่อฟ้าถูกติดตั้งเชื่อมเข้ากับเสาร์ทั้งสา
เปลวไฟเต้นเร่าอยู่กลางลานหมู่บ้าน เสียงฟืนแตกดังเปรี๊ยะๆ สลับกับเสียงหัวเราะและจังหวะกลองที่ดังเป็นจังหวะเนิบช้า ผู้คนหมู่บ้านนั่งล้อมรอบกองไฟ บางคนลุกขึ้นเต้น บางคนสวมหน้ากากไม้ บางคนผลัดกันร้องเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ บรรยากาศเต็มไปด้วยแสง สี เสียง และรอยยิ้มแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ในหัวใจของบางคน... กลับเงียบงัน เอเลียสนั่งอยู่ข้างโครบนท่อนไม้ยาวที่ถูกจัดวางไว้รอบกองไฟ เขานิ่งมองเปลวไฟสลับกับรอยยิ้มของชาวบ้าน ความอุ่นไอจากกองไฟไม่สามารถละลายความเย็นเยียบในอกเขาได้เลย เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังไกลออกไปอีกมุมหนึ่ง "เจ้ารู้จักได้ยัง" เอเลียสเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่มองอีกฝ่าย รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา โครเลิกคิ้ว "เจ้าหมายถึง?" เอเลียสหันมามองโคร แววตาเปี่ยมด้วยความหมายที่แฝงไว้เบื้องลึก "คำว่า 'อรุณสวัสดิ์' ไง" โครหลุดหัวเราะพรืดออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินปนทะเล้น "อ๋อ... คำนั้นน่ะเหรอ" เขาหันหน้าไปอีกทาง พลางทำเสียง
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกยามเช้า ดังคลอเคล้ากับแสงสีทองบางเบาที่รินรดผ่านหน้าต่างไม้เก่า เสียงเท้าของผู้คนบางตาเริ่มดังแว่วอยู่ไกล ๆ ชวนให้อากาศในยามรุ่งสางดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด เอเลียสขยับตัวเล็กน้อย สัมผัสแรกที่ตื่นขึ้นมาคือความเย็นว่างเปล่าบนแผ่นหลัง ไม่มีอ้อมแขน ไม่มีแรงกอด ไม่มีเสียงหายใจอุ่น ๆ ที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อคืนก่อน เขาลืมตาขึ้นทันที สายตามองไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว—แต่ตรงนั้นว่างเปล่า "…โคร?" เสียงของเขาเบากว่าลมหายใจ แต่ไม่มีคำตอบ ไม่มีเงาร่าง ไม่มีแม้แต่เสียงเดินอยู่ในกระท่อม ความรู้สึกใจที่หล่นวูบหนึ่งแล่นวาบไปทั้งอก เอเลียสลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูกระท่อมอย่างร้อนใจ เบื้องนอกกลับเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับความเงียบในใจเขาโดยสิ้นเชิง—ผู้คนในหมู่บ้านพากันทำงานอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกเหล็กกลมกลึงผ่านหน้าเขาไป มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังขัดเศษโลหะ อีกกลุ่มกำลังขุดดิน ปรับฐานโครงไม้ บางคนยกฟืน บางคนถือแผ่นแร่ แม้แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ยังลอยมาตามลม
ยามเช้าอันเงียบสงบในหมู่บ้านยังคงอบอวลไปด้วยหมอกจาง ๆ เมื่อเอเลียสเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสู่ถ้ำ เขาก้าวย่างด้วยความเร่งรีบแต่ระมัดระวัง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน เพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่สะท้อนกับผนังหินเย็นเฉียบภายในถ้ำ ผู้อาวุโสประจำอยู่หลังกรงไม้เช่นเคย แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความคาดหวังเบื้องหน้าเครื่องตรวจจับการซ้อนทับของมิติ ซึ่งประกอบด้วยขดลวดทองแดงพันรอบโครงไม้ แขนกลทำจากเศษเหล็กกลั่นรูปทรงหยาบ และศูนย์กลางของเครื่องคือแท่นหินทรงกลมที่ฝังด้วย หินสีดำอมเทา สะท้อนประกายระยิบระยับแปลกตา"เจ้าเอามาหรือไม่?" ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเขาเอเลียสหยิบถุงหนังสัตว์ขนาดเล็กออกมา ก่อนจะเทสิ่งของในนั้นลงบนแผ่นหินที่อยู่ใกล้เครื่อง หินเม็ดเล็กขนาดนิ้วหัวแม่มือหล่นลงมาเรียงกัน มีลักษณะคล้ายถ่าน แต่ผิวสะท้อนแสงวาวๆ อย่างแปลกประหลาด"นี่คือแร่แมกนีไทต์ที่ท่านขอ" ผู้อาวุโสพยักหน้าเบาๆ ดวงตาลุกวาว "ยอดเยี่ยม สมกับเป็นเจ้า เอเลียส""แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะจ่ายพลังงานได้พอให้เครื่องทำงานหรือไม่…" เอเลียสพูดเบาๆ พลางจัด