จ้าวหยางที่เห็นนางร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ตกใจ รีบคว้านางเข้าสู่อ้อมอก หนึ่งเพราะในใจรู้สึกไหวยวบประหลาด สองกลัวคนทั้งจวนแห่กันมานั่นเอง มือหนาอีกข้างยกขึ้นตบเบา ๆ แกมลูบเบา ๆ ที่แผ่นหลังบอบบางคล้ายปลอบประโลม
เป็นเวลานานทีเดียวกว่าซูเหยาจะสงบลง หึ! เช่นไรนางก็พ่ายแพ้ให้เขาอยู่ดีเพียงทำดีเล็กน้อยนางก็ใจอ่อนพ่ายแพ้ให้แก่เขาเสียแล้ว
“ทีนี้เจ้ากับข้ามาพูดกันเสียให้เข้าใจ เจ้าเป็นอะไร” จ้าวหยางใช้หัวแม่มือปัดน้ำตาออกจากใบหน้าเล็กของนาง ก่อนจะคลึงเปลือกตาให้นางช้า ๆ เมื่อเห็นว่าบัดนี้มันทั้งบวมและแดงก่ำ ไหนจะจมูกเล็กเชิดรั้นแสดงถึงความดื้นดึงของผู้เป็นเจ้าของที่แดงก่ำนั้นอีกเล่า มองดูแล้วก็น่ารักน่าชังไปอีกแบบ ‘นี่ข้าเผลอชมนางเช่นนั้นรึ’
“ท่านอ๋องชะชอบชิงเยว่น้องสาวข้าเช่นนั้นรึ”
เงียบ!
‘เหอะ!’ หลินซูเหยาเจ้าคิดอะไรอยู่กันนะ หลินซูเหยาแหงนเงยใบหน้ากล้ำกลืนน้ำตาลงในอกอย่างตรอมตรมเจ็บลึก นางไม่แม้แต่จะสบตาอีกฝ่ายกลับก้าวลงจากเตียงลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้หยิบเอาหมอนและผ้าห่มออกมาหนึ่งชุด เดินไปยังตั่งไม้ยาวที่ตั้งอยู่อีกฟาก นางลงมือปูผ้ามิได้อื่นเอ่ยสิ่งใดเมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้จ้าวหยางมิพูดจาสิ่งใดต่อ ซ้ำยังดับโคมไฟเฉกเช่นว่ามิต้องการเสวนาสิ่งใดต่อเสียแล้ว
อาการเมินเฉยของนางทำให้ใจของจ้าวหยางคันยุบยิบ กรามแกร่งบดกันแน่นกับท่าทางถือดีของนาง ก่อนนำพาร่างใหญ่ของตนไปล้มลงบดเบียดกับนางที่เตียงตั่งเล็ก ความที่เบียดแนบชิดกันเสียมิได้ ยิ่งเมื่อถูกกลิ่นหอมและผิวนุ่มลื่นของนางสัมผัสโดนกายแกร่งทำให้ปลุกอารมณ์จ้าวหยางให้เตลิด นับวันเขายิ่งเสพติด กลิ่นโม่ลี่ฮวาจากนาง เขาเป็นเอามากจนให้หานกงกงถึงกับเปลี่ยนดอกไม้ในตำหนัก แต่มีรึเรื่องขายหน้าเช่นนี้เขาจะบอกเล่าแก่นางให้ได้ใจ
“ท่านอ๋องจะมาเบียดข้าไปใย ปล่อยข้านะ อื้อ” จังหวะที่ซูเหยาพลิกตัวกลับเพื่อผลักไส จ้าวหยางที่รออยู่ก่อนแล้วก็ประกบริมฝีปากของตนแนบชิดกับริมฝีปากเล็กของนางในทันที ทั้งคู่หยุดชะงักเพียงครู่ก่อนที่จ้าวหยางจะเป็นฝ่ายอ้าปากกัดดึงเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างของนาง และเมื่อขบกัดลงโทษจนพอใจแล้วจึงเปลี่ยนเป็นดูดกลืนริมฝีปากนางอย่างรุนแรงเรียกร้องเอาแต่ใจเข้าทั้งบดเบียดทั้งขยี้จนซูเหยารู้สึกเจ็บ
ซูเหยานั้นบัดนี้เป็นเฉกเช่นตะพาบในน้ำพื้นที่คับแคบทำให้นางมิอาจหนีไปไหนได้ ยิ่งดิ้นขัดขืนนางยิ่งถูกรัดแน่นจนกระทั่งนางเป็นพ่ายพ่ายแพ้ให้กับริมฝีปากหนาที่ตามดูดดึง บดเบียดกวาดต้อนนางจนนางจนมุมคราแล้วคราเล่าจนริมฝีปากของนางฉ่ำชื้นทั้งยังดุนดันลิ้นไล่เลียดันเข้ามาในปากนางอย่างอุกอาจ และนางเองกลับตอบรับเขาอย่างเต็มใจเสียอย่างนั้น
เสียงหวานครางต่ำยามถูกดูดดึงเรียวลิ้นทำให้จ้าวหยางฮึกเหิมขึ้นเป็นเท่าทวี ร่างกายร้อนรุ่ม เลือดลมสูบฉีดความรู้สึกบัดนี้ราวคลื่นกระทบฝั่ง
ซูเหยาที่มิทันเกมรักก็ถูกจ้าวหยางหลอกล่อจนนางตอบรับสัมผัสอย่างเงอะงะ แต่นั้นก็ทำเอาจ้าวหยางเองแทบคลุ้มคลั่ง ‘ให้ตายเถอะเขาต้องการนางเสียแทบบ้า’ จ้าวหยางถอนริมฝีปากเพียงครู่ ก่อนจะพูดชิดริมฝีปากนางน้ำเสียงความเหี้ยมปนกรุ่นโกรธ
“สตรีเจ้าชู้!”
“นี่ท่านอ๊ะ อื้อ”
ซูเหยายังเอ่ยมิทันเป็นคำจ้าวหยางก็กลับลงจูบนางอีกครา ครานี้เขาตั้งหน้าตั้งตาจูบเอาเป็นเอาตายจนซูเหยาต้องครางประท้วง
ในขณะที่นางกำลังถูกล่อลวงด้วยจุมพิตอยู่นั้น จ้าวหยางก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นดึงรั้งสาปอาภรณ์ตัวบางให้เปิดกว้างจนเผยให้เห็นลาดไหล่ขาวเนียน จ้าวหยางไม่รอช้าก้มลงกัดเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะจูบดูดดึงบริเวณเนื้ออ่อนของนางอย่างสุดเสน่ห์หา และนั่นทำให้เขามิทันเห็นรอยยิ้มร้ายกาจของซูเหยาที่แผนที่นางวางไว้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เหลือก็แต่เพียงเยว่ถานไปตามท่านพ่อของนางมา
‘หึ! ชิงเยว่มีรึข้าจะยอมแพ้เจ้า แผนการครานี้ซูเหยาตั้งใจเทหมดหน้าตัก เช่นไรก็เป็นคนของจ้าวหยางแล้วหากได้ให้ใครบางคนได้ชมความพ่ายแพ้เสียหน่อยก็ย่อมสะใจดีมิน้อย หวังว่าน้องรองของข้าคงมิอกแตกตายไปเสียหรอกนะ’
จ้าวหยางเมื่อดอมดมซอกคอขาวของนางพอใจก็วกกลับขึ้นมาดูดดึงริมฝีปากนางอย่างรุนแรง ครู่ต่อมาก็ถอนออกก่อนจะเอ่ยเว้าวอนเสียงสั่น
“ขอข้าได้รึไม่”
ซูเหยาเมื่อได้ฟังทั้งสบตาคมก็ใจไหวยวบ ก่อนจะแสร้งเอ่ยทั้งที่รู้
“ท่านอ๋องต้องการสิ่งใด”
“เจ้า”
“อื้อ” โดยมิรอฟังคำตอบ และซูเหยาก็รู้ทั้งรู้ว่าควรปฏิเสธแต่มิอาจต้านทานสีหน้าท่าทางทรมานของจ้าวหยางได้ นางจึงได้แต่ตามใจ และเพียงไม่นานเยว่ถานที่ยืนเฝ้าประตูไว้มิห่างอย่างรู้กันกับผู้เป็นนายก็ต้องก้มหน้างุดยกมือปิดหูเมื่อได้ยินเสียงครางน้อย ๆ ปนเสียงคำรามต่ำของบุรุษดังลอดออกมาผะแผ่วเป็นครั้งคราว
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน