LOGIN๑
เมืองลอยฟ้าที่มีแต่ภูเขากับภูเขาแล้วเรียกบรรพต
บุ๋ม บุ๋ม บุ๋ม~
เหมยจิงได้ยินเสียงนี้เมื่อยามที่ร่างดำดิ่งลงผิวน้ำ ร่างกายเจ็บปวดราวกับถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มร่าง เจ็บจนต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น
ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมีแต่ตัวเธอที่กอดเธอไว้ ไม่ตะเกียกตะกายในยามที่สำลักน้ำ หลับตานิ่ง พร้อมรับประสบการณ์ตายที่ไม่อาจนำเรื่องนี้ไปบอกต่อ
อีกไม่กี่ชั่วโมง ร่างที่บวมน้ำของฉันก็คงลอยขึ้นอืดในสักที่ น่าเสียดาย อุตส่าห์พยายามสวยมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายก็จากไปอย่างไม่สวย
“เฮือก! อะไรหนัก ๆ ข้าตกได้ปลาใหญ่แล้วเป็นแน่”
เหมยจิงลืมตาเมื่อได้ยินเสียงของบุรุษคนหนึ่งแว่วเข้ามาใกล้ ๆ
เกิดอะไรขึ้น หรือร่างฉันลอยไปใกล้เรือประมง แต่จะเป็นไปได้ยังไง นี่เมืองใหญ่นะ
“ไหน ๆ ข้าช่วยยก”
สิ้นประโยคของบุรุษอีกคนหนึ่ง เหมยจิงก็รู้สึกเหมือนร่างดึงขึ้นสู่ผิวน้ำ เธอหรี่ตาเมื่อยิ่งใกล้ผิวน้ำยิ่งเห็นแสงสว่างเป็นเส้น ๆ
พรวด!
จนกระทั่งร่างของเธอโผล่เหนือผิวน้ำ เธอก็รีบหลับตาในทันทีเพราะไม่อาจสู้แสงได้
“นี่…นี่ไม่ใช่ปลา!”
เหมยจิงกะพริบตา เมื่อดวงตามองเห็นโดยรอบแล้ว เธอถึงเห็นว่าแวดล้อมไม่ใช่ตึกสูงระฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าเขา
เป็นภูเขาลอยฟ้าแทนตึกระฟ้า!
“แม่นาง…”
เสียงของชายหนุ่มเรียกความสนใจจากเหมยจิงให้หันไปมอง เธอพลันมีความรู้สึกว่าตัวเขาสองคนช่างใหญ่โตนัก ในตอนนั้นเองที่ฉุกคิดได้ว่า…
หรือจะเป็นเธอที่ตัวเล็กเกินไป!
ไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน เหมยจิงก้มลงสำรวจตัวเอง ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าตัวเหลือขนาดเท่าปลาตัวใหญ่มาก ๆ ตัวหนึ่ง
“ที่นี่ที่ไหนคะ”
เฮือก! ทำไมเสียงฉันเล็กตามตัวไปด้วย เกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันกันแน่
“เราควรจะเป็นฝ่ายถามแม่นางมากกว่า ลงไปทำอันใดในบึงน้ำของเขตพื้นที่บรรพตนที ที่นี่มีแต่ปลาใหญ่ ไร้พลังติดตัวเช่นนี้อันตรายนัก”
บรรพตนทีเหรอ ที่ไหนอีกล่ะ
“ดูท่าแม่นางคงเพิ่งผ่านความตายมาหมาด ๆ ให้เราไปส่งที่บรรพตผกาหรือไม่ แม่นางในตอนนี้ไปไม่ถึงแน่”
ชายหนุ่มทั้งสองเริ่มจะเข้าใจอันใดบางอย่างแล้ว เสนอตัวอย่างมีน้ำใจ ไม่แฝงจุดประสงค์ร้าย
ทว่าเหมยจิงกลับยังมีข้อสงสัยอยู่ ร่างเล็กจ้อยยืนขึ้นเต็มความสูง พยายามยืดเท้าแล้วแต่ก็ยังมีความสูงอยู่เพียงหน้าแข้งของชายหนุ่มทั้งสอง ด้วยความเอ็นดูเธอจึงได้ย่อกายลง ทิ้งเข่าข้างหนึ่งไว้บนพื้นเข่าอีกข้างหนึ่งชันขึ้น ความสูงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
“แม่นางดูยังไม่ไว้ใจพวกเรา”
ก็ใช่นะสิ
เหมยจิงคิดในใจ หลุบตาลงไม่อยากให้ชายหนุ่มทั้งสองเห็นแววตา
ภาพลักษณ์ภายนอกของทั้งสองดูดีทีเดียว!
คนหนึ่งใส่อาภรณ์สีขาว อีกคนสีดำ จัดว่าหล่อเหลาแบบหาตัวจับยาก
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนที่ใส่สูทแต่งตัวดูดีมักจะหลอกหาผลประโยชน์จากเธอได้มากกว่า
ดังนั้นเธอจึงยังไม่ไว้ใจพวกเขา ต่อให้ภาพลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายจะดูดี สะอาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“แม่นางใคร่สงสัยสิ่งใดถามเราได้”
เหมยจิงถอยเท้าหนึ่งก้าว ในตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกว่าอาภรณ์ถูกยึดอยู่กับบางอย่าง เมื่อสำรวจดูจึงเห็นว่าเป็นตะขอเบ็ดเกี่ยวอยู่
“นี่…”
เพราะน้ำหนักของเธอทำให้อาภรณ์มีรอยขาดวิ่น เสื้อสูทหนาพอควร หากเกี่ยวโดนเสื้อเชิ้ตอาจขาดจนเกี่ยวตัวเธอไม่ขึ้น
“ตัวแม่นางเล็กลงแต่น้ำหนักใช้ได้เลย ข้าต้องให้สหายมาช่วยยกเบ็ดขึ้น”
พูดเรื่องน้ำหนักสตรีได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี คนโบราณของแท้
“เหตุใดจึงรู้ว่าฉันอยู่บรรพตผกา”
คำถามนี้ตอบไม่ยากสำหรับพวกเขา ชายชุดขาวเป็นคนเอ่ยตอบ
“บนหน้าผากแม่นางมีรูปบุปผาอยู่ แม่นางไม่เห็นหรือว่าหน้าผากของพวกเรามีรูปหยดน้ำสีขาวใสเช่นกัน”
จริงด้วย
มือเล็กเผลอจับหน้าผากตนเองลองสัมผัสลูบคลำดูก็ไม่พบว่ามีรอยนูนเด่นออกมาเหมือนพวกเขา
หรือจะเป็นแบบในซีรีส์เทพเซียน
“ฉันจะเห็นหน้าผากของตัวเองได้ยังไง พวกท่านมีกระจกหรือไม่”
สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วหัวเราะ แต่เมื่อเห็นเหมยจิงนิ่วหน้าใส่จึงหยุด กระแอมเสียงเบาเรียกความจริงจัง
“ขออภัย เราสองคนไม่มีกระจกทองเหลืองหรอก แต่ทำสิ่งนี้ได้…”
สิ้นคำเขาก็โบกมือหนึ่งครั้ง ตรงหน้าเหมยจิงก็เกิดมวลน้ำในรูปร่างคล้ายกระจก
ไม่นานต่อจากนั้นนางก็เห็นใบหน้าของตนชัดเจนประหนึ่งส่องกระจกในชาติภพปัจจุบัน
นิ้วเรียวสัมผัสหน้าผากก็เห็นว่าตรงนั้นมีดอกเหมยสีแดงงดงามอยู่ด้วย
“ฮวาเตี้ยนหรือ”
ในซีรีส์โบราณหลายเรื่องมักจะมีดอกไม้สีแดงประดับอยู่บนหน้าผากนางเอก ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง แต่ทั้งหมดเกิดจากการใช้สีวาด เหมยจิงลองเอามือถูออกแล้ว แต่กลับลบไม่ออก
“แม่นางละความพยายามเถิด นี่คือสิ่งที่แสดงตัวตนจากพลังวิญญาณ ต่อให้ใช้พลังลบก็ไม่ออก”
เหมยจิงฟังคำบุรุษชุดดำ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ออกปากขอความช่วยเหลือ
“จะเป็นการรบกวนไหม หากฉันจะขอให้คุณทั้งสองไปส่งที่…บรรพตผกา”
สองหนุ่มยิ้มทันทีเมื่อได้รับความไว้วางใจจากหญิงสาวแล้ว แต่ทางด้านเหมยจิงนั้น เธอไม่ได้ให้ความไว้ใจพวกเขาเต็มหัวใจ เพราะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครอีกแล้วถึงได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ
เอาเถอะ อยากมากก็แค่ตายอีกรอบ
“ฉันยังสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง ตัวฉันสามารถกลับมาปรกติได้ไหม”
เหมยจิงเดาเอาว่าต้องถูกใครคนใดคนหนึ่งสัมผัสตัวแน่ เธอไม่อยากให้พวกเขาแตะเนื้อต้องตัว อย่างน้อยก็ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่
“ท่านประมุขผู้นำบรรพตเมืองลอยฟ้าของเราสามารถช่วยแม่นางได้ ส่วนเราจะพาไปส่งเท่านั้น”
บุรุษชุดขาวอธิบายเรื่องนี้ จากนั้นบุรุษชุดดำที่ดูสุขุม แววตายากจะคาดเดาก็เอ่ยขึ้น
“แม่นางกังวลว่าพวกเราจะแตะเนื้อต้องตัวหรือไม่”
ฉันแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ
เหมยจิงคิดในใจ ตัวที่เล็กลงของเธอกอปรกับเพิ่งผ่านประสบการณ์เจ็บช้ำมาจนเกิดเป็นความหวาดระแวง
“มีวิธีอื่นไหม”
สองหนุ่มหันมาสบตากันก่อนที่ชายหนุ่มชุดดำจะสะบัดมือหนึ่งครั้ง เธอก็คล้ายถูกพลังที่มองไม่เห็นเหวี่ยงมาหยุดอยู่ที่หนึ่ง
“อึก!”
มือเรียวปิดปากเอาไว้เพราะอยู่ ๆ ก็รู้สึกพะอืดพะอม ในตอนนั้นเองที่เธอรู้ตัวว่ากินน้ำในบึงเข้าไปไม่น้อย
“อ้วก~”
เหมยจิงออกห่างจากชายหนุ่มทั้งสองเพื่ออาเจียนเอาน้ำสกปรกออกจากร่างกาย
บุรุษชุดขาวเดินตามหลังเธอเพียงสองก้าวก็มาถึงตัวเธอแล้ว เขาย่อกายลงเข่าชันพื้น หวังจะลูบหลังช่วยเธอให้อาเจียนสะดวกขึ้น เมื่อเธอดีขึ้นแล้วก็ยื่นเปลือกหอยที่มีน้ำสะอาดอยู่ด้วยให้จิบ
“จิบน้ำทิพย์สักหน่อย ไม่นานอาการจะดีขึ้น”
เหมยจิงใช้สองมือเล็กประคองเปลือกหอย ดื่มโดยไม่คิดสิ่งใดทั้งนั้น ไม่คิดว่าพอตนกลืนน้ำลงคอ ภายในจะรู้สึกอุ่นวาบ อาการดีขึ้น
“ดีขึ้นหรือไม่”
“มาก ขอบคุณท่าน”
เหมยจิงหันไปให้ความสนใจแวดล้อมก็เห็นว่าตนย้ายจากภูเขาลูกหนึ่งมาอีกลูกหนึ่ง ภูเขาทุกลูกลอยอยู่กลางอากาศ เธอทราบว่าตนมาจากที่ใดเพราะเห็นบึงน้ำอยู่บนภูเขาลูกที่อยู่ต่ำกว่าลูกที่เธอยืนอยู่
ที่นี่ไม่เพียงมีเขาลูกเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอีกนับไม่ถ้วน หากตั้งอยู่กลางทะเลเรียกว่าเกาะเล็กเกาะน้อย แต่เมื่อตั้งอยู่กลางอากาศจึงเรียกว่าเมืองลอยฟ้า
“โบราณแบบยุคไหนเอ่ย เทพเซียนก็ไม่น่าใช่ ยุทธภพก็ไม่เชิง มีแต่ภูเขากับภูเขา ฉันขอย้อนกลับไปปัจจุบันได้ไหม ให้หาเงินตัวเป็นเกลียวเหมือนเดิมก็ได้”
ชายหนุ่มทั้งสองย่อมได้ยินคำพูดของเหมยจิงทว่าจับเป็นคำไม่ได้เพราะเธอพูดเร็วกว่าคนที่นี่ แต่ก็เข้าใจได้และไม่คิดต้ั้งคำถาม เพราะใครก็ตามที่มาเมืองลอยฟ้าย่อมมาจากสถานที่ที่คาดไม่ถึงเสมอมือ
“...แม่นาง นี่คือบรรพตท่านประมุขเมืองลอยฟ้า พบเจอกันนับว่าเป็นโชคชะตา หากพบกันครั้งหน้าคงมีวาสนาได้เรียกข้าหลิวปู้”
เหมยจิงมองหน้าบุรุษชุดขาวนิ่ง ไม่คิดว่าจะแนะนำตัวทีต้องเอาเรื่องโชคชะตากับวาสนามาด้วย ที่สำคัญยังดูสุภาพเหมือนกลุ่มบัณฑิตย์ยุคโบราณที่เมื่อเอ่ยทีต้องยกแขนสองข้างขึ้น มือซ้ายประกบมือขวา ผงกศีรษะลงเล็กน้อย
แค่จะแนะนำตัวบอกว่าชื่ออะไรก็จบแล้ว จำเป็นต้องพูดยาวขนาดนี้ด้วยเหรอ เป็นธรรมเนียมของที่นี่หรือธรรมเนียมเฉพาะตัวกัน
“ข้าชิงจ้าน”
ได้คำตอบแล้วใช่หรือไม่เหมยจิง!
๖เรียกเกอเกอก็คือการตอบตกลงแล้วเหมยจิงและเฉินอวี้เหวินต่อให้วันนี้จะทำงานหนักมาทั้งวันและเหนื่อยมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะกลับไปนอนที่บ้านแล้วข่มตาหลับพร้อมกับฝันดีเหมยจิงไม่อยากให้นี่เป็นเพียงความฝัน เธอชวนเฉินอวี้เหวินมาที่ห้องเธอแล้วสั่งเค้กปอนด์ใหญ่สองปอนด์เดินถือคนละถุงขึ้นลิฟต์มาห้องชั้น 23ติ๊ง!เมื่อลิฟต์เปิดออก เหมยจิงก็เดินนำชายหนุ่มมาที่ห้องของตัวเอง คนชวนไม่เกร็งแต่คนถูกชวนกลับรู้สึกว่าการเข้ามาในห้องของหญิงสาวในตอนนี้อันตรายยิ่งนัก“จิงจิงอยู่คนเดียวเหรอ”“ใช่! เข้ามาเลย ห้องแคบหน่อยนะ แอบแม่ซื้อที่นี่ไว้นะ…นี่! สลิปเปอร์”รองเท้าแตะรูปปลาสีชมพูน่ารัก แต่ชายหนุ่มไม่เขินที่จะได้ใส่รองเท้าแบบเดียวกับเหมยจิง ต่างกันตรงที่ของเขาเป็นสีชมพู ของเธอเป็นสีน้ำตาลแม้แต่เค้กที่สั่งมาของเหมยจิงก็ยังเป็นช็อกโกเลต ของเฉินอวี้เหวินเป็นนมสดสตรอเบอร์รี่“กว้างขวางใช้ได้เลย ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นแยกในตัวแบบนี้ แต่จิงจิงเพิ่งเข้ามาอยู่ใช่ไหม ของยังมีไม่เยอะเท่าไร”“ใช่ ไม่ได้ขนมาจากบ้านแม่มากเท่าไร อยากดูทีวีไหม รีโมตอยู่นี่เปิดได้เลย”เฉินอวี้เหวินเริ่มเกร็งน้อยลงเมื่อรู้ว่าที่น
๕ที่เคยรับปากไปทำได้แล้วนะตึ๊ง!เหมยจิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อได้รับข้อความ มุมปากผุดเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นชื่อกล่องสนทนา นิ้วเลื่อนไปเปิดข้อความดูก็เห็นว่าเป็นภาพบทละครเหมยจิงบอกเขาสู้ ๆ ในใจแต่ไม่ได้ตอบแชทกลับไป จนกระทั่งข้อความแชทเด้งขึ้นอีกครั้ง เธอจึงเปิดอ่านก็เห็นว่าเป็นเฉินอวี้เหวินคนเดิม เพิ่มเติมคือถ่ายรูปตัวเองส่งมาให้ด้วย สีหน้าที่ดูออดอ้อนของเขาทำให้เธอเผลอนึกถึงเฉินเหวินเหวินตอนที่เขาแสดงสีหน้าออดอ้อนเธอสุดท้ายก็พิมพ์ข้อความตอบเขาไปว่า…‘สู้ค่ะ’ตึ๊ง!ตึ๊ง!และเพียงเธอตอบกลับไปเท่านั้นก็ได้รับข้อความถึงสองครั้งติดกัน‘เหนื่อยไหม’‘ง่วงหรือเปล่า’เธอเริ่มคิดแล้วว่าวันนี้เปิดกล้องวันแรกจริงหรือไม่ ทำไมถึงมีเด็กดื้อเล่นโทรศัพท์ไม่อ่านบท“หรือเพราะผ่านซีรีส์เรื่องยาวมาแล้ว มินิซีรีส์เลยสบาย บทเท่านี้ไม่ทำให้เขาเครียด”เหมยจิงพยายามหาเหตุผลให้ชายหนุ่ม แต่เมื่อคิดว่าตนจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรก็วางโทรศัพท์เอาไว้ ลืมไปว่าข้อความที่เขาส่งมาเป็นคำถาม อีกทั้งหลังจากนั้นเธอไม่ได้รับข้อความจากเขาอีก…ทำงานเพลินจึงลืมเรื่องนี้ไปสนิท!ทางด้านเฉินอวี้เหวิน…“หรือเธอจะยุ่งจนไม่มีเวลาตอบ
๔คนแปลกหน้าที่หัวใจบอกรู้สึกดีพิธีการเปิดกล้องเสร็จสิ้นแล้ว ยามนี้นักแสดงทุกคนมายืนหลังโปสเตอร์โปรโมตมินิซีรีส์เรื่อง ‘บอสจัดหนัก’ โดย ที่นักแสดงทุกคนถือหงเปาที่หน้าซองจ่าชื่อเรื่องเอาไว้ ตะโกนพร้อมกันตอนถ่ายรูปรวมว่า“บอสจัดหนักฤกษ์งามยามดีเปิดกล้อง…เฮ!”เหมยจิงที่ไม่ได้เป็นหนึ่งในทีมงานยืนอยู่หลังตากล้อง อย่างเงียบ ๆ โดยที่ด้านข้างเธอมีหลูอิงเสี่ยวและเหลียงเจ๋อฮั่นยืนอยู่ด้วยแต่เขายืนอยู่ได้ไม่นานก็ถูกผู้กำกับดึงไปถ่ายรูปพร้อมให้ช่วยกันจับผ้าแดงที่ปิดกล้องใหญ่ที่ถ่ายทำเอาไว้เปิดออกพร้อมกันก็เป็นการเปิดกล้องอย่างเป็นทางการ ผลไม้ที่เซ่นไหว้แจกจ่ายให้ทุกคนโดยถ้วนหน้า“จิงจิงเอาแอปเปิ้ลไหม เจี่ยเจียไปเอาให้”แอปเปิ้ล! ผลไม้ที่เหมยจิงไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องตั้งแต่ที่กลับมาจากเมืองลอยฟ้าเพราะเธอไม่ตอบทำเพียงจับจ้องไปยังแอปเปิ้ลเท่านั้น หลูอิงเสี่ยวจึงคิดว่าเธออยากได้ รีบวิ่งไปขอจากทีมงานมาให้ลูกน้องสาว รู้ตัวอีกทีมือของเธอก็มีแอปเปิ้ลลูกใหญ่อยู่ในมือ!น้ำตาร่วงเผาะเมื่อคิดว่าตอนนี้เฉินเหวินเหวินกำลังใช้ชีวิตอยู่ในมิติสวนของเธออย่างไร หรือเขาจะยังอยู่ที่เมืองลอยฟ้าหรือไม่ หรือว่าจะกลับไ
๓ความรักความแค้นเลือกอันใด เฉินเหวินเหวินนั่งมองบึงตรงหน้า สถานที่ที่ดูดกลืนร่างของเหมยจิงลงไปใต้ล่างเขาอยากกระโดดน้ำลงไปดู หากใต้ล่างนั้นเป็นทางเชื่อมระหว่างยุค 2025 กับเมืองลอยฟ้าแห่งนี้ เหมยจิงจะรอเขาอยู่ที่นั่นหรือไม่! “คุณชายเฉินกำลังคิดอันใดอยู่” เขาหันไปมองหลิวปู้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คอยคุมตัวเขาไม่ให้กระโดดลงบึงตามเหมยจิงไป “กำลังคิดอยู่ว่าจะกระโดดตามนางลงไป” หมับ! แขนทั้งสองข้างของเฉินเหวินเหวินถูกคว้าหมับทันที เฉินเหวินเหวินแม้จะรำคาญ แต่ส่วนลึกก็อบอุ่นหัวใจที่ยังมีคนคอยห่วงใยเขาแทนเหมยจิง “อย่าคิดจะทำเป็นอันขาด บึงนี้ไม่ใช่ทางของคุณชาย หากอยากตามนางไปช่องทางที่ถูกต้องมีอยู่ แต่อยู่ที่ว่าคุณชายอยากเลือกเส้นทางนี้หรือไม่” คำพูดของชิงจ้านทำให้เฉินเหวินเหวินนิ่งไป นั่นสินะ! ก่อนหน้านี้เจ้าบอกนางว่าขอเวลาคิดก่อน ไม่รู้ว่าเวลาที่นั่นกับที่นี่คลาดเคลื่อนเพียงใด หากข้าไม่รีบตัดสินใจต้องเสียใจในภายหลังแน่ แต่ว่าเขาจะเลือกอันใดระหว่างกลับภพเดิมเพื่อไปล้างแค้น กับ ยอมทิ้งความแค
๒ตามหานักแสดงเซ็นสัญญาเกาเข่าสอบต้นมิถุนายนและประกาศผลปลายเดือนมิถุนายน ใกล้สอบเกาเข่าโรงเรียนมัธยมปลายจะปล่อยเด็กนักเรียนเกาซาน[1]กลับบ้านช่วงสี่ทุ่ม เหมยจิงจะไปดักเจอพวกเขาให้ไม่ไกลจากโรงเรียกนัก แต่ก็ไม่ให้ใกล้จนทำให้พวกเขาถูกอาจารย์และเพื่อนนักเรียนเพ่งเล็ง“เจี่ยเจีย!”เหมยจิงส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสองที่จอดจักรยานทันทีเมื่อเห็นเธอโบกมือให้ทั้งคู่จอดรถจักรยานไว้เรียบถนนก่อนที่จะเดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าตื่นเต้น“สวัสดี! ผู้มีพระคุณ”“เจี่ยเจียยังไม่ได้ไปเยือนแม่น้ำลืมเลือน ดียิ่ง!”เหมยจิงหลุดหัวเราะ จากคำพูดของเขารู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายก็ติดซีรีส์ไม่เบา ซึ่งเจ้าของคำพูดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่หลิวปู้คนที่ชอบพูดอะไรติดสำบัดสำนวน!“เจี่ยเจีย! เราอยากโทร.หาเจี่ยเจียตามนามบัตรที่ให้ไว้มาก แต่ก็ไม่กล้าโทร.ไปเพราะกลัวจะได้รับฟังข่าวร้าย เห็นเจี่ยเจียตัวไม่ซีดเซียว ยังมีลมหายใจแล้วยืนอยู่ตรงหน้าพวกเราดีใจมากเลยครับ”ชิงจ้านก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจไม่แพ้กัน ภายนอกเขาดูเป็นหนุ่มพูดน้อย แต่การได้สัมผัสเขาสองชาติภพทำให้เธอรู้ว่านี่เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น“วันนั้นยังไม่ได้ขอบคุณกันดี ๆ
๑เมื่อเจ้านายเพิ่มหน้าที่ให้หัวหน้าแผนกเหมยจิงกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ก้มหน้าก้มตาทำงานใช้หนี้ที่เกิดจากการตามล้างตามเช็ดให้น้องชาย ไม่มีเวลาท้อ ไม่มีเวลาให้เสียใจ มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้นย้อนกลับไปวันที่เธอกลับมายังยุค 2025 สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากที่เดินกลับจากสะพานไน่เหอคือย้ายของออกจากบ้านมารดามาอยู่คอนโดไม่กี่ตารางวาที่แอบซื้อเอาไว้ตอนที่ได้เงินก้อนมาจากขายลิขสิทธิ์นิยายเพื่อสร้างซีรีส์ถามว่ายังคงช่วยส่งเสียดูแลแม่หรือไม่…แน่นอนว่าต้องมีจุนเจือให้ แต่จะไม่มากเท่าเมื่อก่อนเพราะเธอก็มีหนี้สิ้นที่ต้องแบกรับ!ณ บริษัทเอเจนซี่หลงฮั่วกรุ๊ปที่เหมยจิงนั่งในตำแหน่งหัวหน้าการตลาดในขณะที่เธอกำลังนั่งทำงานอยู่ห้องที่กั้นแยกจากคนในแผนกนั้น ซีโอโอ[1]หญิงวัยกลางคนก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาเธอที่ห้องทำงาน มือเคาะประตูกระจกที่เปิดเอาไว้สองครั้งอย่างคนมีมารยาท“จิงจิง”ดวงตากรีดอายไลเนอร์คมเฉี่ยวที่จ้องเพียงหน้าจอคอมพิวเตอร์เงยขึ้นมองเจ้าของเสียง ลุกขึ้นยืนต้อนรับในทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านายโดยตรงของเธอ“อิงเจี่ย”“นั่ง ๆ”เหมยจิงนั่งลงเก้าอี้ ดวงตาสำรวจสีหน้าท่าทางของหลูอิงเสี่ยวที่ฉายควา







