เข้าสู่ระบบ
บทนำ
"เอาล่ะเด็ก ๆ วันนี้ก็ทำให้เต็มที่เลยนะ ครูเป็นกำลังใจให้ ถ้าการแข่งครั้งนี้คว้าที่ 1 มาได้ ครูจะพาไปเลี้ยงไอศกรีมเลย"
"เย้! ครูดาวใจดีที่สุดเลยครับ"
เด็กชายกลุ่มใหญ่ในชุดกีฬาสีเสื้อสีแดงโห่ร้องเสียงดังก้องด้วยความยินดี วันนี้คือการแข่งขันฟุตบอลในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4- 6 ซึ่งการแข่งรอบนี้คือการแข่งรอบชิงชนะเลิศ โดยมีครูดาวผู้เป็นนักศึกษาครูฝึกสอนปีสุดท้ายเป็นผู้ฝึกซ้อมพวกเขาด้วยตนเอง ครูดาวคือคุณครูพละแสนสวยขวัญใจของนักเรียน
"ไป ๆ ทำให้เต็มที่เลยนะ"
ครูดาวปรบมือให้สัญญาณเด็ก ๆ วิ่งเข้าสู่สนาม พวกเด็ก ๆ ต่างหันมาโบกมือยิ้มร่า ก่อนจะรีบวิ่งลงไปยังสนามด้วยหัวใจอันตื่นเต้น
การแข่งขันล่วงเข้าสู่นาทีสุดท้ายแล้วซึ่งเด็ก ๆ ต่างทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ผลคะแนนอยู่ที่ 1-1 ในช่วงสุดท้ายของเกมกัปตันทีมของสีแดงกำลังเลี้ยงบอลเพื่อยิงเข้าประตูของฝ่ายตรงข้าม ครูดาวลุ้นระทึกด้วยความตื่นเต้น เธอยืนอยู่ข้างสนามท่ามกลางแสงแดดอันเจิดจ้าอย่างไม่นึกร้อน
ทว่าในตอนที่ลูกบอลพุ่งตรงเข้าประตูของทีมสีเหลืองนั้น ครูดาวกลับรู้สึกว่าร่างของเธอผิดปกติ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง ในตอนนั้นสติของเธอพลันดับมืดลง เธอไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย...
รัชศกปีที่ 17 แคว้นฉิน
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวของคิมหันตฤดู กลับมีสตรีร่างบอบบางถูกกลุ่มคนจับกดน้ำในอ่างอย่างโหดเหี้ยม นางดิ้นเร่าไปมาด้วยความทุกข์ทรมาน พยายามจะขึ้นมาหายใจทว่ากลุ่มคนพวกนี้กลับไม่ยินยอม พวกนางยังคงจับหัวของนางกดลงไปในน้ำอย่างไม่ปรานี โดยมีน้ำเสียงเล็กหวานคอยสั่งการอยู่ไม่ห่าง
"พี่หญิงใหญ่ควรต้องรู้ฐานะของตนเองนะเจ้าคะ ไม่ว่าข้าสั่งให้ทำสิ่งใดก็ต้องทำ หากไม่ทำก็ต้องถูกลงโทษเช่นนี้"
'เจียงซูฉี' หญิงสาวในวัย 17 เหยียดยิ้มกว้างด้วยความรื่นเริงใจ การได้เห็นพี่สาวต่างมารดาทรมานเช่นนี้ ช่างเป็นความสุขที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก
"อื้อ ๆ"
ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่หญิงใหญ่พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเงยหน้าขึ้นมาหายใจ แต่เพราะร่างของนางถูกจับตรึงโดยสาวใช้ที่ตัวใหญ่กว่า ทำให้นางมิอาจหลีกหนีจากความทรมานนี้ได้เลย ชีวิตของนางในฐานะคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลเจียงช่างต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าบ่าวไพร่เสียอีก หากแม้นว่านางตายเสียแต่ตอนนี้ก็คงจะดีสินะ
นางไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว...
"คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูใหญ่แน่นิ่งไปแล้วเจ้าค่ะ"
สาวใช้ที่ทำหน้าที่กดหน้าของคุณหนูใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจกลัว แม้ว่าพวกนางจะทำตามคำสั่งของคุณหนูรองก็ตาม แต่หากคุณหนูใหญ่เป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ พวกนางคงมิพ้นโทษตายเป็นแน่
“เช่นนั้นก็เอาตัวพี่หญิงใหญ่ไปที่เรือนของนางซะสิ”
นางตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของตน ราวกับว่าความเป็นความตายของพี่สาวผู้นี้จะเป็นอย่างไร นางก็หาได้สนใจไม่
“เจ้าค่ะคุณหนูรอง”
สาวใช้สองคนรีบประคองร่างที่หมดสติของคุณหนูใหญ่กลับไปที่เรือนท้ายจวนทันที ก่อนพวกนางจะไปยังเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณหนูใหญ่เสียก่อน ทว่าก็ไม่มีใครคิดจะเข้ามาดูแลคุณหนูใหญ่ หรือตามท่านหมอมาดูอาการเลย ด้วยหากพวกนางทำเกินคำสั่ง คงมิพ้นถูกขายออกไปอย่างแน่นอน
“อ่า... ปวดหัวชะมัดเลย อื้อ”
เปลือกตาค่อย ๆ เผยอขึ้นเมื่อต้องแสงของพระอาทิตย์ เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่เป็นประกายระยิบระยับ แม้ว่าใบหน้าหวานจะขาวซีดไปเสียหน่อย แต่มิอาจปิดบังความงดงามของเจ้าของร่างนี้ได้เลย
เส้นผมสีดำขลับที่ยาวถึงกลางหลังยุ่งเหยิงเล็กน้อย นางปัดเส้นผมที่เกลี่ยแก้มขาวเนียนไปทางด้านหลัง คิ้วเล็กเรียวที่พาดเหนือดวงตาคู่กลมที่มีขนตางอนยาวเป็นแพหนากะพริบปริบ ๆ เพื่อให้คุ้นกับภาพตรงหน้า จมูกโด่งที่เชิดขึ้นน้อย ๆ ย่นลงด้วยกลิ่นเหม็นอับชื้น ริมฝีปากเล็กสีแดงระเรื่ออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้านี้
“นะ นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย ไม่ใช่บ้านและก็ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่ว่า... มะ เหมือนกับห้องนอนสมัยจีนโบราณเลย อึก! ปวดหัวชะมัด”
น้ำเสียงแว่วหวานพูดกับตนเองด้วยความฉงน นางกวาดสายตามองข้าวของในห้องด้วยความตกตะลึง แม้ในห้องนี้จะไม่ได้ตกแต่งด้วยเครื่องเงินเครื่องทองอย่างหรูหรา ทว่ากลับดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่ผิดแน่! นี่คือห้องนอนตามแบบฉบับของยุคสมัยจีนโบราณมิมีผิดเพี้ยน แล้วทำไม? ข้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้เล่า
“โอ๊ยยย!”
สติที่คืนกลับมาดับวูบลงอีกครั้ง พร้อมกับความทรงจำของเจ้าขอร่างเดิมที่ได้หวนคืนเข้าสู่เจ้าของร่างนี้...
หลายวันผ่านไป
วิญญาณสาวของครูดาว ได้เข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมยุติธรรมหลายวันแล้ว หลังจากที่สติแตกเพราะตัวเองเข้ามาอยู่ในนิยายที่อ่านจบแล้ว กว่าจะทำใจได้ว่าตัวเองอาศัยอยู่ในร่างนี้ ก็ทำเอานางเกือบเป็นบ้าไปเลย
ใครจะคิดว่าตัวเองจะได้มาเข้าร่าง ‘เจียงเม่ย’ นางเอกนิยายเรื่อง ‘บุปผาคู่บัลลังก์’ กันเล่า ทั้งชีวิตของนางเอกก็แสนจะน่าบัดซบเหลือเกิน
มารดาที่เป็นฮูหยินรองก็เสียตั้งแต่นางอายุเพียง 5 ปี บิดาจากที่เคยรักใคร่ก็ไม่สนใจไยดี ฮูหยินใหญ่ก็รังเกียจเดียดฉันท์ น้องสาวน้องชายต่างมารดาก็คอยหาเรื่องกลั่นแกล้ง อีกทั้งบ่าวไพร่ก็หาได้ยำเกรงไม่ พอได้เจอพระเอกก็ต้องพบเจอกับเรื่องอันตราย
เฮ้อ... จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบราบรื่นไม่ได้เลยหรือ
เจียงเม่ยคร่ำครวญในใจกับตนเองอย่างปลงตก ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางก็ไม่เคยได้อยู่ในเรือนอย่างสงบเลย
“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินใหญ่เรียกให้ไปพบที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ ท่านจะมาอ้างว่าไม่สบาย ปวดหัว มีไข้ไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ หาไม่ท่านคงได้ถูกลงโทษหนักกว่าคราวที่แล้วอีกแน่”
รั่วจูผู้เป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูรอง ข่มขู่ผู้ที่นางไม่เคยมองว่าเป็นเจ้านายเลยสักครั้งด้วยความถือดี ด้วยตนเองอาศัยว่ามีฮูหยินใหญ่และคุณหนูรองคอยหนุนหลัง
ผลัวะ!
ประตูถูกผลักออกพร้อมกับเงาร่างอันแสนบอบบางของเจียงเม่ย สายตาของนางตวัดมองสาวใช้ที่กำแหงผู้นี้ด้วยสายตาวาววับ
“ข้ารู้แล้ว” น้ำเสียงหวานพลันเย็นเหยียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สร้างความขนลุกซู่ให้กับรั่วจูอย่างไม่คาดคิด
“ชะ เช่นนั้นก็รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
รั่วจูเอ่ยตอบอย่างตะกุกตะกัก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางรู้สึกหวาดกลัวคุณหนูใหญ่ผู้นี้เลย
“หึ! ไว้ข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
เจียงเม่ยเดินผ่านโดยพูดกับรั่วจูด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ แววตาของนางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนใหญ่ อันเป็นสถานที่พำนักของฮูหยินใหญ่ ผู้เป็นนายหญิงของจวนตระกูลเจียงแห่งนี้!
เจียงเม่ยในชุดสีชมพูอ่อนที่ขาวซีดเสียจนคิดว่าเป็นสีขาว นางก้าวเดินอย่างมั่นคงสู่สนามรบของตนเอง บัดนี้นางเอกที่แสนอ่อนแอที่ถูกคนในจวนแห่งนี้รังแกจะไม่มีอีกแล้ว แต่จะมีเพียงสตรีที่แสนร้ายกาจที่พร้อมจะเอาคืนทุกผู้คนเอง
“คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
‘หลี่หลินถง’ ฮูหยินใหญ่ผู้มีอำนาจสูงสุดในเรือนหลังกวาดตามองเจียงเม่ยด้วยสายตาวาววับ นับวันเจียงเม่ยจะยิ่งเผยความงามมากขึ้น นางมิผิดจากนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้เป็นมารดาเลย
“ลุกขึ้นเถิด ข้าได้ยินจากฉีเอ๋อร์ว่าเจ้าไม่ยอมปักผ้าหรือ เพราะเจ้าดื้อดึงเช่นนี้อย่างไรเล่า ฉีเอ๋อร์จึงได้หยอกล้อเจ้าเล่น ข้าหวังว่าเจ้าคงจะไม่ถือสาน้องรองของเจ้าใช่หรือไม่” แววตาที่คล้ายกับอสรพิษร้ายจับจ้องเจียงเม่ยไม่วางตา
“ข้ามิกล้าถือสาน้องรองหรอกเจ้าค่ะ พี่น้องจะหยอกล้อกันเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ข้าเองก็อยากจะเล่นกับน้องรองเช่นนั้นเหมือนกัน”
‘ครั้งหน้าข้าจะลองกดหัวน้องรองบ้างก็แล้วกัน’ เจียงเม่ยคิดในใจอย่างเจ้าเล่ห์
หลี่หลินถงไม่ได้สนใจประโยคหลังที่สื่อความนัยของเจียงเม่ย แต่นางกลับพยักหน้าให้รั่วจูนำผ้าหลายพับยื่นให้กับเจียงเม่ย
“นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนนี่คือพัดที่ทำจากกระดาษเนื้อดีที่เจ้าจะต้องนำไปวาดให้เสร็จภายในสามวัน หากเสร็จไม่ทันเจ้าจะต้องอดข้าวสามวัน เข้าใจแล้วใช่หรือไม่” หลี่หลินถงข่มขู่เสียงเข้ม
“น้อมรับคำสั่งฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
เจียงเม่ยรับพัดทั้งสามอันมาถือไว้ในมือ คอยดูละกันว่านางจะทำสิ่งใดกับพัดพวกนี้กัน!
ตอนพิเศษ 5ภรรยาข้าใครกล้าแตะเพิ่งผ่านพ้นไปแค่วันเดียว สองฝาแฝดแห่งจวนชินอ๋องก็ได้สร้างวีรกรรมมากมายนัก ทำให้คนในวังหลวงหัวหมุนกันไปตาม ๆ เลย ทว่ากลับมีคนผู้หนึ่งที่กำลังรู้สึกขอบคุณกับการมาเยือนของเด็กน้อย ความสัมพันธ์ที่มีเพียงผลประโยชน์ร่วมกันของสองสามีภรรยาคู่นี้ ในที่สุดก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกขั้น หลังจากโจวไป๋จวี๋กลับตำหนักบูรพา นางก็พบว่าหรงป๋อไฉ่ได้รอนางอยู่ก่อนแล้ว และจากนั้นทั้งสองก็ได้เปิดใจและใช้ค่ำคืนร่วมกันอย่างเร่าร้อนทะเลสาบชงชิงหรงหมิงฮ่าวพาเจียงเม่ยมาเที่ยวชมทะเลสาบชงชิงแห่งแดนทักษิณ แม้จะต้องใช้เวลาเดินทางถึงสิบวัน ทว่าเมื่อได้มาถึงแล้วกลับรู้สึกว่าดียิ่งนัก ทะเลสาบชงชิงล้อมรอบไปด้วยต้นเหมยฮวาที่ออกดอกบานสะพรั่งไปทั่ว ทะเลสาบมีน้ำใสแวววาวที่ใสกระจ่างดั่งกับส่องกระจก เห็นตัวปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายไปมา บรรยากาศโดยรอบก็สดชื่นบริสุทธิ์ยิ่งนัก สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดแห่งแคว้นฉิน"ชอบหรือไม่"หรงหมิงฮ่าวสวมกอดภรรยาจากทางด้านหลัง ปลายคางสากวางลงบนบ่าเล็กของนาง จมูกโด่งคมสันพลันสัมผัสกับแก้มขาวเนียนละเอียด"ไม่คิดเลยว่าจะมีทะเลสาบที่สวยงามมากถึง
ตอนพิเศษ 4เพื่อนเล่นของเจ้าก้อนแป้งน้อยฮองเฮาตามไปสนทนากับฮ่องเต้ยังห้องหนังสือ พระนางนั่งบนเก้าอี้ที่ปูด้วยพรมชั้นดูเพื่อรอฟังว่าพระสวามีมีสิ่งใดจะตรัสกับพระนาง "ชินอ๋องพาพระชายาออกท่องเที่ยวประมาณหนึ่งเดือน เช่นนั้นข้าจะขอฝากฝังให้ฮองเฮาช่วยดูแลเด็กน้อยทั้งสองได้หรือไม่ แม้ว่าเสด็จแม่จะทรงรับปากชินอ๋องไปแล้ว แต่หากมีฮองเฮาเข้ามาช่วยแบ่งเบาก็ถือว่าดียิ่ง""ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้เอง ฝ่าบาททรงวางพระทัยหม่อมฉันจะดูแลท่านหญิงน้อยและท่านชายน้อยเป็นอย่างดีเลยเพคะ และจะให้จวี๋เอ๋อร์มาช่วยด้วยอีกแรง มิแน่ว่าหากนางได้คลุกคลีกับเด็กน้อยทั้งสองแล้ว นางอาจจะมีข่าวดีในเร็ววันก็ได้นะเพคะ""เช่นนั้นก็ดี ข้าขอฝากฮองเฮาด้วยนะ""เพคะ"ไป๋อิงฮวาแย้มยิ้มหวาน หลังจากพระนางพูดคุยกับฝ่าบาทจบแล้วจึงได้กลับไปหาหรงจินหยางและหรงจินเยว่ "กรี๊ดด! ท่านชายนี่ไม่ได้นะเพคะ อย่า ๆ เพคะ""ท่านหญิงอย่าทรงวิ่งไปทางนู้นเพคะ"ฮองเฮาที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าพลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงโวยวาย พระนางทรงหยุดยืนอยู่กับที่ก่อนจะเห็นร่างเล็กป้อมวิ่งมาทางพระนาง ผมแกละทั้งสองข้างที่มีผมอยู่น้อยนิดพลิ้วไหวอย่างน่าเอ็นดูเสียจริ
ตอนพิเศษ 3ซุกซนเหลือเกินวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก นับตั้งแต่เจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งสองถือกำเนิด พวกเขาก็อายุได้ 1 ขวบปีแล้ว และวันนี้เองที่เจียงเม่ยกับหรงหมิงฮ่าวจะต้องจากลูก ๆ ไปไกล"ท่านพี่... เราจะไปกันจริง ๆ หรือเพคะ" เจียงเม่ยที่ไม่เคยห่างลูกไปไหนพลันน้ำตาเอ่อคลออย่างใจหาย หรงหมิงฮ่าวที่มีหัวใจหนักแน่นดั่งหินผาจำต้องเอ่ยเสียงเคร่งขรึมกับภรรยาของตน"ใช่แล้ว น้องหญิงไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เสด็จแม่จะต้องทรงดูแลอาหยางกับเยว่เอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอน" "แต่หม่อมฉันก็ยังเป็นห่วงทั้งสองอยู่ดีนะเพคะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเราต้องห่างพวกเขามากถึงเพียงนี้" น้ำเสียงของเจียงเม่ยเจือไปด้วยความกังวล"วางใจเถิด... ลูก ๆ ของเราอยู่ที่วังหลวงจะต้องปลอดภัยและสนุกมากเป็นแน่ แทนที่น้องหญิงจะกังวลเรื่องพวกเขา มิสู้เป็นกังวลผู้คนในวังหลวงไม่ดีกว่าหรือ" หรงหมิงฮ่าวพลันหลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงวีรกรรมของเจ้าก้อนแป้งน้อย พวกเขาเพิ่งจะอายุแค่เพียง 1 ขวบปี แต่กลับทำให้คนในจวนหัวหมุนกันไปตาม ๆ กันเลย แม้แต่มู่กงกงเองยังขอยอมแพ้กับความซุกซนของพวกเขา นับตั้งแต่เด็กทั้งสองเดินได้ผู้คนในจวนชินอ๋องก็ไม่มีวันได้สุ
ตอนพิเศษ 2รสชาติเป็นเช่นไรวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่นานเจียงเม่ยก็ได้ให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งน้อยออกมาถึงสองคน โดยคนแรกคือทารกเพศชายผู้มีร่างกายอ้วนท้วมสมบูรณ์ดี ส่วนคนที่สองคือทารกเพศหญิงที่ร้องไห้เสียงดังลั่นห้อง ทั้งสองมีใบหน้าละม้ายคล้ายบิดาและมารดาอย่างละนิดละหน่อย"เหนื่อยหรือไม่น้องหญิง" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยดังออกมาจากปากของหรงหมิงฮ่าว เขามองดูภรรยารักที่เพิ่งผ่านพ้นการคลอดบุตรที่แสนยากลำบากด้วยความหนักอึ้งในหัวใจ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการคลอดลูกจะหนักหนาสำหรับสตรีมากถึงเพียงนี้"เจ็บแต่ก็มีความสุขมากเพคะ ท่านพี่ไม่ต้องคิดมากนะเพคะ ขอเพียงหม่อมฉันพักผ่อนเยอะ ๆ ทานของบำรุงมิให้ขาดร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้วเพคะ" ใบหน้าที่ซีดเผือดคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ผู้เป็นพระสวามี แม้การคลอดเจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งสองจะทุกข์ทรมานจนมิอาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ทว่าตัวนางกลับรู้สึกยินดีที่จะน้อมรับความเจ็บปวดนี้เอาไว้ทั้งหมดหรงหมิงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งบังเกิดความรู้สึกรักใคร่ต่อภรรยายิ่งนัก นางช่างแสนดีเหลือเกิน ทั้งที่เขาได้ยินเสียงนางกรีดร้องอย่างทรมานถึงเพียงนั้น แต่น
ตอนพิเศษ 1สุขสมหลังจากทุกคนในจวนชินอ๋องรู้ข่าวการตั้งครรภ์ของเจียงเม่ย ทุกคนล้วนปลื้มปีติกับข่าวอันน่ายินดีนี้เป็นอย่างมาก มู่กงกงผู้ชราแล้วถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดคนแก่เช่นเขาก็มีบุญวาสนาที่จะได้เลี้ยงดูท่านหญิงน้อยท่านชายน้อยแล้ว และแน่นอนว่าเมื่อฮ่องเต้และไทเฮาทรงทราบ ทั้งสองพระองค์ก็ได้ส่งของบำรุงร่างกายมายังจวนชินอ๋องมิได้ขาด ทั้งยังทรงเสด็จมาเยือนถึงจวนชินอ๋องด้วยสีพระพักตร์ของจ้าวจิงอี้เต็มไปด้วยความยินดี พระนางทรงลูบท้องที่ยังคงแบนราบของเจียงเม่ยอย่างอ่อนโยน "อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มีอาหารที่อยากทานหรือไม่""หม่อมฉันมีอาการอาเจียนบ้างเป็นบางครั้งเพคะ ส่วนมากก็จะง่วงนอนเสียมากกว่า ส่วนอาหารที่ชอบนั้น..." สายตาของเจียงเม่ยพลันหันไปสบตากับสามีโดยพลัน ด้วยไม่ว่าสิ่งใดที่นางอยากจะทาน เพียงเอ่ยปากร้องขอคำเดียวนางก็จะได้ทานในทันที เพราะพระสวามีของนางผู้นี้ได้ให้ลู่จงและลู่จิงไปหามาให้ในทันที โดยมีคำสั่งเด็ดขาดว่าจะต้องนำอาหารที่นางอยากจะทานมามอบให้ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเค่อ มิเช่นนั้นจะโดนทำโทษสถานหนัก เรื่องนี้สร้างความลำบากใจให้กับเจียงเม่ยเป็นอย่างมากฮ่
บทส่งท้ายหลายวันผ่านไปหลังจากสืบสวนคนทั้งหมดจึงได้ข้อสรุปว่า ซ่งหยางคือผู้บงการเรื่องทุกอย่าง เขากับใต้เท้าจั่วร่วมมือกันค้าเกลือเถื่อนตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน แต่เหอชิวเหยากลับล่วงรู้ความลับนั้น ซ่งหยางจึงให้นางเลือกว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือเลือกจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป แต่เพราะความหวาดระแวงทำให้ซ่งหยางวางแผนสังหารนาง โดยใช้หลี่หลินถงเป็นเครื่องมือ ซึ่งเจียงลู่คือผู้รู้เห็นทุกการกระทำของภรรยาแต่ก็ทำเป็นเมินเฉย ภายหลังจากที่เหอชิวเหยาตาย ซ่งหยางกับใต้เท้าจั่วก็ได้หยุดการค้าเกลือเถื่อน ก่อนจะกลับมาค้าขายอีกครั้งเมื่อ 1 ปีก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาสามารถหลบหูหลบตาจากทางการได้ อันเนื่องมาจากใต้เท้าจั่วได้ปล่อยเงินกู้กับเหล่าขุนนางทั้งหลาย ทำให้พวกเขาใช้จุดนี้ในการหลบเลี่ยงสายตาจากทางการ แต่หลังจากที่รู้ตัวว่าชินอ๋องสืบสาวเรื่องนี้จนพบหลักฐาน พวกเขาก็ได้ส่งจั่วเฉิงให้มายุแยงเจียงซูเหวินให้จ้างนักฆ่าไปสังหารเจียงเม่ย เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจในการหลบหนี แต่เพราะองค์รัชทายาทจึงสามารถจับกุมตัวพวกเขาเอาไว้ได้ทันในตอนที่กำลังหลบหนี ฮ่องเต้ที่ได้อ่านคำสารภาพผิดทั้งหมดจึงได้สั่งตัดสินโทษป







