ทางฝั่งเว่ยเฉิง
พวกเขารู้จักกันระดับหนึ่งจึงทักทายอย่างคุ้นเคย ยังมองเลยไปทางฝั่งสตรีอีกสองคน “นั่น น้องข้า เว่ยหนิง”
ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นเช่นกันว่าไป๋ซั่วมิได้มองน้องสาวของตนแต่กลับมองอีกคน เขากระแอม “เอ่อ...คุณชายไป๋ หนิงเอ๋อร์ของข้าสวมชุดสีชมพู มิใช่สีแดง”
ไป๋ซั่วชะงัก “อ้อ...คุณหนูเว่ยใส่ชุดสีชมพูนั่นเอง” หน้ากลมบวมแดง ลงแป้งแต้มชาดเยอะเหมือนงิ้วขนาดนั้น ยังดูออกว่าเป็นรอยผดผื่นขรุขระ อัปลักษณ์สิ้นดี
“วันนี้คุณหนูเว่ยแลดูน่ารักสดใสเหลือเกินขอรับ” ปากเอ่ยวาจาเช่นนั้น ทว่าสายตาก็ยังมองเพียงสตรีชุดแดงอย่างเผลอไผลอยู่ดี ในเมื่อคนหนึ่งขี้ริ้วขี้เหร่ปานนั้น อีกคนยังงามบาดตาบาดใจปานนี้ ทำเขามิอาจถอนสายตาได้เลย
เว่ยเฉิงนิ่วหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ แนะนำอย่างเสียมิได้
“สตรีชุดแดงคือแม่นางติง เจ้าของโรงยาเจี้ยนคัง ยามนี้ชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองหลวงเชียว คุณชายไป๋เพิ่งมาจากเมืองซิวโจวใกล้ๆ นี่เอง คงเคยได้ยินบ้างกระมัง”
“อ้อ...” ไป๋ซั่วพยักหน้า ดวงตาลุกวาว
หากเอ่ยถึงเจี้ยนคังเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง ข่าวว่านางเก่งกาจดูแลดูแลกิจการเองทุกขั้นตอน นับเป็นสตรีที่มีความสามารถอย่างยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะงดงามปานนี้ด้วย
ทว่าน่าเสียดายนางเป็นหม้ายกลายเป็นหญิงมีตำหนิ แต่ไม่เป็นไร มิได้แต่งเป็นภรรยาแต่ได้เป็นอนุก็ย่อมดีไม่น้อย ดวงตาไป๋ซั่วพราวพร่างหมายมาดยากซ่อนความหื่นกระหาย
เห็นอาการที่เก็บไม่อยู่เยี่ยงนั้นของไป๋ซั่ว เว่ยเฉิงจึงกล่าวลาอย่างขัดเคือง “เชิญคุณชายไป๋ตามสบายเถอะ ข้าขอตัวไปต้อนรับแขกด้านนั้นก่อน”
เขามองไปทางเซียวหงเย่ กล่าวอย่างขออภัย “คุณชายเซียว ข้ามิอาจอยู่คุยด้วยได้นาน เสียมารยาทแล้ว”
เซียวหงเย่ยกยิ้มมิเอ่ยวาจา เพียงพยักหน้าให้นิ่งๆ
เว่ยเฉิงปรายตามองไป๋ซั่วอย่างเย็นชาอีกครั้ง พยายามระงับโทสะสุดกำลัง จับมือฮูหยินเดินจากไปทันที
คล้อยหลังเว่ยเฉิง ไป๋ซั่วถอนหายใจโล่งอก ไปซะที ชายหนุ่มไม่มีท่าทีเกรงใจอีก เพียงมองสตรีชุดแดงไม่วางตา “ข้าอยากทำความรู้จักนาง” กล่าวพลางก้าวเท้าเดินฉับๆ ไปทางนั้นอย่างมุ่งมั่น
ทว่าจู่ๆ ไป๋ซั่วพลันสะดุดล้มหัวทิ่ม เสียงบั้นท้ายกระแทกพื้นดินดังพลั่ก หมดสภาพความสง่า
“โอ๊ย!” เขาแหกปากร้องลั่น ครั้นเงยหน้ามองกลับเห็นเจ้าของฝ่าเท้าปริศนาคือเซียวหงเย่ “เจ้าถีบข้ารึ?” ไป๋ซั่วให้รู้สึกงุนงงยิ่งนัก “หงเย่! เจ้าถีบข้าด้วยเหตุใดเนี่ย?”
“เจ้าไม่ควรยุ่งหญิงอื่นที่ไม่ใช่คนของเจ้า”
ไป๋ซั่วมุ่นคิ้ว “แต่คุณหนูเว่ยผู้นั้นไม่น่าสนใจ อีกอย่าง หญิงอื่นที่ว่า ข้าต้องยุ่งสิจะได้เป็นคนของข้าปะไร” ว่าแล้วก็ทำท่าลุกขึ้นไปทางเดิม
เซียวหงเย่หรี่ตายกเท้าจะถีบซ้ำ ไป๋ซั่วกลิ้งตัวหลบ เขาหมายปองหญิงอื่น มิได้มองคู่หมายของสหายเสียหน่อย คิดในใจอย่างสงสัยพลางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นอย่างไม่เข้าใจ
“หรือว่าเจ้าชอบแม่นางชุดแดงเหมือนข้า”
ไป๋ซั่วรู้จักกับเซียวหงเย่ก็จริง แต่เขาไม่รู้จักติงยวี่ถิง แม้รู้ว่าสหายเคยแต่งภรรยาแต่ก็ไม่เคยพบหน้าหรือสนทนา เพราะอีกฝ่ายไม่เคยนางพาออกจากเรือนมาด้วยกันสักครา ตอนเขาไปหาก็ยิ่งไม่เคยให้นางออกมาแนะนำตัวต่อผู้คน เท่าที่ไป๋ซั่วรู้มาคือเซียวหงเย่รังเกียจฮูหยินของตนอย่างมากเพราะนางใช้แผนชั่วจนได้แต่งเข้าสกุลเซียว
เรื่องอดีตฮูหยินของเซียวหงเย่เอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้อีกฝ่ายมีสาวงามข้างกายแล้ว จะมาแย่งกับเขามิได้
ชายหนุ่มหันมองไปทางสตรีที่หมายตาอีกครั้ง พบว่านางเดินไปกับเว่ยหนิงจนไกลลิบเสียแล้ว เขาจึงหันกลับมองสหายที่เดินนิ่งๆ ไปอีกทางเช่นกัน ไป๋ซั่ววิ่งตามไปทันที
“หงเย่! รอก่อน มาคุยกันให้รู้เรื่อง เจ้าห้ามชอบนะ”
“ข้าชอบใครไม่เกี่ยวกับเจ้า อยากคุยก็ตามมาเร็วๆ”
“อะไรของเจ้าเนี่ย เดินช้าๆ หน่อย ข้าตามไม่ทัน”
ฝ่ายเหวินฟางที่กลายเป็นอากาศธาตุตั้งแต่เริ่มและตอนนี้ยังถูกทิ้งกว้างให้ยืนเคว้งเพียงลำพังได้แต่ยืนอึ้ง นางมองติงยวี่ถิงอย่างเกลียดชังมิสร้างซา
นางอุตส่าห์แต่งกายงดงามขนาดนี้ สะสวยหยาดเยิ้มเหนือสตรีใด แต่บุรุษกลับมองเพียงนังบ้านั่น!
ไป๋ซั่วก็ใช่ เซียวหงเย่ก็ด้วย เอาแต่มองติงยวี่ถิง เมื่อก่อนไม่เห็นสนใจอีกฝ่ายแท้ๆ แต่ตอนนี้ไฉนเปลี่ยนไป
หญิงหม้ายถูกสามีหย่า มีดีเทียบนางได้ที่ใดกัน!
“ฮูหยินซู ท่านจะนำยาทาหน้าไปกินไม่ได้เจ้าค่ะ!” หญิงสาวบอกแก่ลูกค้าคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงห่วงใยกึ่งตกใจอีกฝ่ายบอกว่า “ยาตัวนี้น่ากินเหลือเกิน ข้าอยากซื้อเพราะมันเหมือนลูกท้อเชื่อม ต้องอร่อยแน่ๆ” นางหัวเราะ “เจ้าทำยาออกมาได้งดงามยิ่งนัก น่ากินทั้งหมดเลย”ติวยวี่ถิงยิ้มในหน้าแต่กลุ้มใจหนัก สหายรักออกแบบกล่องบรรจุ ส่วนนางขึ้นรูปไว้เป็นก้อนกลมกลึงเกลี้ยงเกลา เคลือบสีสันสวยงามเป็นมันวาว ยานี่น่ากินเกินไปแล้วจริงๆ หญิงสาวรีบอธิบาย “ตัวนี้กินไม่ได้เจ้าค่ะ เวลาจะใช้ต้องบีบเม็ดยาออก นำเอาน้ำมันด้านในมาลูบไล้บนผิวหน้าให้ทั่วอย่างเบามือ ตัวนี้ทาตอนเช้า ตัวนี้ทาผิวก่อนนอน ส่วนด้านนอกที่ใช้ห่อตัวยาก่อนหน้า ข้าผสมสมุนไพรลงในเนื้อแป้ง สามารถนำไปละลายน้ำ ใช้แช่ตัวในน้ำและอาบ ช่วยบำรุงผิวกายเจ้าค่ะ”สรรพคุณดีล้ำจริงๆ แต่ฮูหยินซูยังทำสีหน้าเสียดาย “กินไม่ได้หรือ?”“เจ้าค่ะ” ติงยวี่ถิงพยักหน้า หันไปหยิบยาอีกตัวมา ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบบรรจุอยู่ในกล่องประณีตลายเมฆ ค่อยๆ อธิบายต่ออย่างใจเย็น “แต่ตัวนี้กินได้เจ้าค่ะ กินง่าย ย่อยง่าย บำรุงจากภายใน ร่างกายดูดซึมได้ดี รสชาติหวาน แต่กลมกล่อมกำลังดี ไม่ขมเฉกยาบำร
ติงยวี่ถิงเองอยากมีสามีก็จริง ปรารถนามีลูกๆ มีครอบครัวเหมือนคนทั่วไปก็ใช่ทั้งโลกเก่าและโลกนี้ที่ทะลุมิติมาอาศัย นางได้ใช้ชีวิตอย่างที่เห็น ทำงาน ค้าขาย เรียกได้ว่ามีอิสระมากมาย อยากไปไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ เงินก็พอมีแล้วไง จึงมีความคิดว่าอยากแต่งงานเหมือนคนอื่นบ้าง อยากเป็นแค่เพียงภรรยาตัวน้อยที่เชื่อฟังสามีและดูแลลูกๆ อย่างดี เป็นคุณแม่ยังสาวที่ไร้ที่ติคนหนึ่งแต่ไม่ได้อยากทำตัวชั่วร้ายเหมือนร่างเก่าแล้วไง ยิ่งไม่อยากแย่งชิงกับใครแล้วด้วยแค่คิดก็เหนื่อยยิ่ง...ดังนั้น ในเมื่อหลงยุคมาเป็นหม้ายแต่งงานไม่ได้ง่ายๆ เอาสมองมาคิดเรื่องหาเงินดีกว่านะตัวเราวันนี้โรงยายังคงมีงานที่ยุ่งวุ่นวายเช่นเดิมติงยวี่ถิงเองก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยแต่หยิบจับทุกอย่างเหมือนคนงานอื่นๆจนมือเป็นระวิง พอว่างจากงานในลานสมุนไพร นางก็หาอย่างอื่นทำหญิงสาวกำลังฝึกฝนการใช้ลูกคิดอย่างขะมักเขม้น ฟังเสียงลูกคิดให้รู้สึกว่าช่างไพเราะยิ่งนัก ยังคิดว่าหากลองประดิษฐ์ลูกคิดจากลูกแก้วจะไพเราะขนาดไหน หรือว่าจะทำจากหยกดี แต่ว่า มันจะทนมือเหมือนทำจากไม้หรือไม่นะ ตอนกระทบกันมันเพราะก็จริงแต่มันจะแตกร้า
ทางฝั่งติงยวี่ถิงเว่ยหนิงยิ้มร่า จับมือติงยวี่ถิงเดินไปอย่างอารมณ์ดี “ข้าสบายใจแล้ว เรามาจิบชากันเถอะ เจ้านั่งตรงนี้รอก่อน ข้าจะไปสั่งคนนำขนมมาให้”“ข้าไม่หิว คุณหนูเว่ยอย่าลำบากเลยเจ้าค่ะ”“ไม่ลำบากๆ ข้าต้องตอบแทนเจ้าให้มากหน่อย” จบคำก็เดินไปสั่งการสาวใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่อีกฝั่งทันทีจังหวะนั้น พลันมีเสียงสดใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยทักทายติงยวี่ถิง “ไอ่โยว! นี่มิใช่แม่นางติงหรอกหรือ?”เจ้าของเสียงจะเป็นใครไปได้ หากมิใช่คู่อริคนเก่า ติงยวี่ถิงหันมองขวับ เห็นเหวินฟางยืนตะหง่านตรงหน้า เหยียดปากว่าต่อ “ข้านึกว่าสตรีดีงามจากที่ใด แต่งกายโดดเด่นเกินหน้าเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเหลือเกิน ทำตัวแย่ยิ่งนัก คงลืมตัวกระมังว่าเป็นแค่หญิงหม้าย บุรุษใดจะชายตาแลถึงขั้นสู่ขอตบแต่งเป็นภรรยาออกหน้าออกตา ย่อมได้เป็นแค่อนุชั้นต่ำเท่านั้น”ตรงจุดนี้มีพุ่มดอกไม้กั้นจากผู้คน จึงมีเพียงพวกนางแค่สองคนเท่านั้น จึงไม่แปลกที่สตรีผู้หนึ่งจะกล้าพูดเช่นนี้เหวินฟางเชิดคางมองนางด้วยสายตาเย้ยหยัน “อยากให้ข้าช่วยประกาศหรือไม่เล่า? ว่าเจ้าทำตัวต่ำทรามชั่วช้าปานใดถึงถูกบ้านสามีหย่าร้างและขับไล่เอาได้”ติงยวี่ถิงมีหรือจะกลัว
ทางฝั่งเว่ยเฉิงพวกเขารู้จักกันระดับหนึ่งจึงทักทายอย่างคุ้นเคย ยังมองเลยไปทางฝั่งสตรีอีกสองคน “นั่น น้องข้า เว่ยหนิง”ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นเช่นกันว่าไป๋ซั่วมิได้มองน้องสาวของตนแต่กลับมองอีกคน เขากระแอม “เอ่อ...คุณชายไป๋ หนิงเอ๋อร์ของข้าสวมชุดสีชมพู มิใช่สีแดง”ไป๋ซั่วชะงัก “อ้อ...คุณหนูเว่ยใส่ชุดสีชมพูนั่นเอง” หน้ากลมบวมแดง ลงแป้งแต้มชาดเยอะเหมือนงิ้วขนาดนั้น ยังดูออกว่าเป็นรอยผดผื่นขรุขระ อัปลักษณ์สิ้นดี“วันนี้คุณหนูเว่ยแลดูน่ารักสดใสเหลือเกินขอรับ” ปากเอ่ยวาจาเช่นนั้น ทว่าสายตาก็ยังมองเพียงสตรีชุดแดงอย่างเผลอไผลอยู่ดี ในเมื่อคนหนึ่งขี้ริ้วขี้เหร่ปานนั้น อีกคนยังงามบาดตาบาดใจปานนี้ ทำเขามิอาจถอนสายตาได้เลยเว่ยเฉิงนิ่วหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ แนะนำอย่างเสียมิได้ “สตรีชุดแดงคือแม่นางติง เจ้าของโรงยาเจี้ยนคัง ยามนี้ชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองหลวงเชียว คุณชายไป๋เพิ่งมาจากเมืองซิวโจวใกล้ๆ นี่เอง คงเคยได้ยินบ้างกระมัง”“อ้อ...” ไป๋ซั่วพยักหน้า ดวงตาลุกวาวหากเอ่ยถึงเจี้ยนคังเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง ข่าวว่านางเก่งกาจดูแลดูแลกิจการเองทุกขั้นตอน นับเป็นสตรีที่มีความสามารถอย่างยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่า
เว่ยหนิงจึงมองชายหนุ่มชุดสีฟ้าครามอย่างพิจารณา พบว่าเป็นคุณชายไป๋ผู้นั้นคนตัวสูงผิวขาว ใบหน้าเรียวยาว ความหล่อเหลาให้ห้าในสิบเท่านั้น ผิดกับอีกคนที่ยืนด้วยกัน ช่างรูปงามเหลือเกิน คิ้วตาจมูกปากน่ามองไปหมดทุกจุด สัดส่วนสมบูรณ์แบบยิ่งมิใช่เพียงเว่ยหนิงแต่คุณหนูทุกคนที่มางานเลี้ยงวันนี้ล้วนมองบุรุษชุดขาวเป็นตาเดียวเช่นกันคนอะไร? ช่างดึงดูดสายตาเหลือเกินเห็นสายตาน้องสาวมิอาจถอนคืนเช่นนั้น เว่ยเฉิงจึงถอนใจเอ่ยอย่างรู้เท่าทัน “เจ้าอยากรู้จัก?”“อื้ม...” นางพยักหน้าถี่ๆ “คุณชายคนนั้นเป็นใคร ข้าไม่เคยเห็นเลยนะ รูปงามปานนี้หากเป็นคนเมืองหลวงต้องเคยเห็นสิ ไม่มีทางพลาดสายตาดุจเหยี่ยวของข้าหรอก”“เขาผู้นี้คือคุณชายที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในจินโจว เขามาที่นี่เพื่อเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ขยายเส้นทางเดิม”ดวงตาที่เผยความชื่นชมอยู่แล้วยิ่งเปล่งประกาย “อา...ข้าอยากทำความรู้จักเหลือเกิน”“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว เขาไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ เย่อหยิ่งถือตัวเป็นที่สุด ขนาดฮูหยินที่ถูกบังคับแต่งให้เขา ยังไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ ถูกรังเกียจเสียจนต้องหย่า หากเจ้าเผลอทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา โอกาสที่สกุลเว่ยจะได้
“ข้าโดดเด่นกว่าเจ้าของงานหรือ? ไม่เหมาะกระมัง”เห็นสีหน้าติงยวี่ถิงย่ำแย่ปานนั้น เว่ยหนิงจึงตบบ่า เอ่ยอย่างจริงใจว่า “แม่นางติงอย่าคิดว่าเป็นการไร้มารยาทหรือเกรงคนจะครหาเลย ตัวเจ้าเดิมทีก็งดงามไร้ที่ติอยู่แล้ว”นางจ้องตาแน่วแน่ อธิบายด้วยเหตุผลไม่มีล้อเล่น “อีกอย่าง ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าของโรงยาเจี้ยนคังนับเป็นโฉมงามติดอันดับหนึ่งในห้าแห่งต้าเจิ้ง หากเจ้าไม่ทำตัวเองให้สะสวยที่สุดในงานนั่นล่ะคือสิ่งที่ผิดพลาด ดังนั้น ความโดดเด่นของเจ้าวันนี้ ย่อมเป็นการประกาศให้รู้ว่าเจี้ยนคังเลิศล้ำปานใด”นับว่ามีเหตุผล คนถูกสั่งให้แต่งตัวแต้มชาดจัดเต็มจึงพยักหน้ารับคำเสียงเนือย “ท่านอย่าลืมจ่ายเงินข้าด้วยล่ะ”“ไม่ต้องห่วง หากวันนี้คุณชายไป๋ไม่อยากหมั้นกับข้า ข้ามอบเงินพิเศษให้เจ้าเพิ่มอีกสามเท่า”ดวงตาติงยวี่ถิงสว่างวาบงานเลี้ยงเริ่มขึ้นและดำเนินไป ผู้คนต่างหลั่งไหลเดินทางเข้าร่วมอย่างคับคั่ง สกุลเว่ยยิ่งใหญ่ใช่ย่อยทีเดียวเจ้าของงานที่อย่างเว่ยหนิงที่วันนี้แต่งหน้าแล้วแต่ก็ยังไม่งดงามเท่าที่ควรเดินต้อนรับแขกเหรื่ออย่างสง่าผ่าเผย โดยพาติงยวี่ถิงติดตามด้วย เพื่อคอยดูแลเสื้อผ้าหน้าผม ตามคำสั่งเว่ยฮูหย