แต่เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป เมื่อนางหันไปมองเขา ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคน เยว่ชิงรีบถอยหนีตามสัญชาตญาณ เว่ยอ๋องที่กำลังจะยื่นหน้ามาใกล้อีกอย่างลืมตัวจึงต้องหยุดชะงักลง เพราะกลัวจะทำให้นางตกใจ
“แล้วนายท่านกงจะถูกตัดสินเช่นใดเพคะ” นางรีบเอ่ยเรื่องโทษของกงป๋อเหวินขึ้นมาทันที เพราะบรรยากาศภายในห้องอึดอัดไม่น้อย
“หากไม่โดนประหารก็คงถูกเนรเทศไปใช้แรงงานกระมัง" เขาเอนตัวไปพิงเก้าอี้ แล้วยังไหล่ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ผู้ใดทำสิ่งใดไว้ก็สมควรจะต้องชดใช้” นางเอ่ยออกมาเสียงเบา
“เจ้าเห็นใจคุณชายเฉียงอย่างงั้นรึ” เว่ยอ๋องเลิกคิ้วถามนาง
“เหอะ มีคำใดที่ข้าเอ่ยถึงเขาเช่นนั้นรึ” นางถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วไป”
“ท่านว่าอย่างไรนะเพคะ” นางเอ่ยถาม เพราะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
“ไม่มีอันใด พรุ่งนี้โรงหมอของเจ้าจะเปิดใช่หรือไม่”
“เพคะ”
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ เรื่องที่จะตรวจโรคให้หญิงคณิกา” ในตอนแรกที่เขารู้เรื่องนี้ก็ตกใจไม่น้อย
“เพคะ หรือพระองค์กลัวว่าเรื่องที่พระองค์ไปเที่ยวหอนางโลมจะถูกพวกนางพูดออกมา” เยว่ชิงเอียงคอมองเว่ยอ๋องอย่างหยอกล้อ
“เพ้ย ชิงชิงเจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างไร” เขาถลึงตามองนางอย่างเขินอาย
“ไม่ต้องอายเพคะ หม่อมฉันไม่มีทางนำเรื่องที่พวกนางเล่าไปบอกผู้ใดอย่างแน่นอน” เยว่ชิงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ในที่สุดนางก็หาเรื่องกลั่นแกล้งเว่ยอ๋องได้เสียที
“หึ เปิ่นหวางจะต้องอายอันใด บุรุษใดในเมืองหลวงที่ไม่ไปหอนางโลมบ้าง” เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างได้ใจ
“ก็จริงเพคะ หายากนักบุรุษเช่นนั้น” เยว่ชิงนางใจลอยคิดไปถึงเรื่องอื่น เมื่อเอ่ยเรื่องความมักมากของเหล่าบุรุษขึ้นมา
เว่ยอ๋องก็เหมือนจะรู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไป เขาขยับเข้ามาใกล้นาง แต่ไม่รู้จะเอ่ยปลอบนางเช่นไรดี
“ต่อไปเปิ่นหวางจะไม่ไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกแล้วดีหรือไม่” เขาเอ่ยออกมาอย่างเอาใจ
แม้จะไปเที่ยวหอนางโลมอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไปเพื่อดื่มสุราและฟังพวกนางขับร้องเพลง เรื่องหลับนอนกับพวกนางเว่ยอ๋องก็ยังมิเคยทำ หากตัวเขาต้องการสตรีสักคน ในวังหรือก็มากมายจะต้องไปหาสตรีที่ผ่านมือบุรุษมามากมายเพื่ออันใดกัน
เยว่ชิงหันมามองเขาอย่างไม่เข้าใจ เรื่องที่เขาจะไปเที่ยวหอนางโลมหรือไม่ไปเกี่ยวอันใดกับนาง
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉันเล่าเพคะ พระองค์ต้องการทำอันใดก็แล้วแต่พระทัยเลย”
“ชิงชิงเจ้า เจ้าไม่เข้าใจเปิ่นหวาง” เขาลุกขึ้นแล้วออกจากห้องของนางไปอย่างหัวเสีย
เว่ยอ๋องคิดว่าเขาเผยความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนแล้วแท้ๆ แต่นางดูเหมือนจะไม่เข้าใจเลยสักนิด
มิใช่ว่าเยว่ชิงไม่เข้าใจในสิ่งที่เว่ยอ๋องต้องการจะบอกกับนาง นางผ่านการมีคู่ชีวิตมาแล้ว เรื่องเช่นนี้นางจะดูไม่ออกได้อย่างไร
เพียงแต่นางไม่คิดอยากจะออกเรือนอีกแล้ว เจ็บช้ำเจียนตายเพียงชีวิตนับว่ามากพอแล้วสำหรับนาง จะให้นางเชื่อใจบุรุษอีกครั้งเห็นทีคงจะยาก
ยิ่งตัวเขาที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ จะให้นางยึดครองไว้เพียงผู้เดียวก็คงจะเป็นไปไม่ได้ จะให้นางแบ่งสามีกับสตรีนางอื่น นางก็ยอมไม่ได้เช่นกัน
เมื่อเว่ยอ๋องกลับไปแล้ว เยว่ชิงก็ดับไฟแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง นางคิดถึงเรื่องที่เขาพูดถึงกงป๋อเหวินจนหลับไป
รุ่งเช้านางลุกขึ้นแต่งตัว แล้วไปที่โรงหมอ ที่กำลังจะทำการเปิดตัวในวันนี้ หมอหลิวมาเปิดผ้าคลุมป้ายร้านให้บุตรสาวด้วยตนเอง
โรงหมอฮุ่ยซิว (กรุณา) เปิดขึ้นเพื่อสตรีในเมืองหลวงและทั่วแคว้นต้าฉี นางต้องการสื่อถึงความเมตตา กรุณา ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หรือมีฐานะเช่นใด ก็สามารถเข้ามารักษาในโรงหมอของนางได้
เสียงประทัดดังกึกก้องไปทั่วท้องถนน ชาวเมืองต่างหยุดมองอย่างสนใจ เพราะนางให้บ่าวช่วยกันแจกกระดาษที่นางเขียนขึ้นเอง เพื่อกระจายข่าวให้สตรีที่เจ็บไข้มารักษาที่โรงหมอของนาง
เว่ยอ๋องลากตัวเสิ่นเจิ้งซีมาร่วมแสดงความยินดีกับนางในครั้งนี้ด้วย แถมยังไปหยิบฉวย เจ้าแม่กวนอิ่มประทานพรที่อยู่ในตำหนักของไทเฮามามอบให้นางในวันเปิดโรงหมออย่างหน้าหนา
“ถวายบังคมเว่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” เมื่อเขามาแสดงความยินดี สองพ่อลูกจำต้องต้อนรับเขาอย่างยินดี
“อย่าได้มากพิธี เปิ่นหวางเพียงแค่มาแสดงความยินดีกับคุณหนูหลิวเท่านั้น” เขาส่งกล่องไม้ในมือให้กับท่านหมอหลิว
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“นำไปตั้งไว้ด้านหลังที่นางนั่งตรวจคนไข้” เขากระซิบบอกสั่งความหมอหลิว
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลิวรับคำโดยที่ยังไม่รู้ว่าด้านในคือสิ่งใด
เพียงโรงหมอเปิดขึ้นวันแรก ก็มีสตรีในเมืองหลวงจำนวนไม่น้อยที่สนใจและเข้าตรวจรักษากับเยว่ชิง และยังมีกลุ่มนางคณิกาที่แต่งตัวงดงาม พากันมาที่โรงหมอมากมาย
“ท่านอ๋องเพคะ” พวกนางเอ่ยเรียกเว่ยอ๋องเสียงหวาน พร้อมทั้งเข้าไปเกาะที่แขนของเขาอย่างสนิทสนม
เยว่ชิงที่เห็นเช่นนั้นก็เขยิบตามองเขาอย่างหยอกล้อ นางหมุนตัวเข้าไปด้านในเพื่อเตรียมตัวตรวจให้คนไข้ของนาง
โดยที่เว่ยอ๋องจะสลัดตัวพวกนางให้ออกจากตัวเขาแล้วตามนางไปก็ไม่ทันเสียแล้ว
“หากพวกเจ้ากล้าแตะตัวเปิ่นหวางอีกเพียงครั้งเดียว ระวังมือของพวกเจ้าจะขาดเสียโดยไม่รู้ตัว” เขาเอ่ยเสียงเย็นออกมาอย่างน่าหวาดกลัว
เช่นนี้ยังจะมีผู้ใดใจกล้าถูกเนื้อต้องตัวเขาได้อีกเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เว่ยอ๋องจึงได้สะบัดชายเสื้อกลับตำหนักอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านอ๋อง รอกระหม่อมด้วย” เสิ่นเจิ้งซีที่กำลังจะหยอกล้อก็ไม่กล้า ได้แต่เร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว
กว่าที่เยว่ชิงจะตรวจคนสุดท้ายเสร็จฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว นางยืนขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะเดินออกมาจากห้องตรวจ เพื่อกลับจวน แต่ก็ต้องชะงักฝ่าเท้า เมื่อเห็นกงหลี่เฉียงยืนอยู่ที่หน้าโรงหมออย่างร้อนใจ
นางมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แต่ก่อนที่นางจะหันหลังกลับเข้าโรงหมอไป เขาก็เอ่ยรั้งนางไว้เสียก่อน
“ชิงชิง เจ้าช่วยไปตรวจมารดาข้าที่จวนได้หรือไม่” เยว่ชิงชะงักฝีเท้าแล้วหันมาสบตาเขา
“คุณชายกง อย่าได้เรียกข้าเช่นนั้นอีก หากท่านต้องการให้ข้ารักษาให้มารดาท่านก็ต้องพานางมาที่โรงหมอ แต่วันนี้โรงหมอปิดแล้ว พรุ่งนี้ท่านค่อยพานางมาก็แล้วกัน”
“ได้โปรดคุณหนูหลิว ท่านแม่ของข้า นางมิอาจลุกจากเตียงได้” เขาเอ่ยขอร้องนางออกมาอย่างจนใจ
เสิ้นเจิ้งซี เขาน่าจะหายดีแล้ว แต่กลับบาดเจ็บจนนอนซมเช่นเขา เพียงเท่านี้เว่ยอ๋องก็รู้แล้วว่าสหายของตนคิดเช่นใดกับแม่นางน้อยที่เพิ่งเจอเพราะเรื่องของเยว่ชิงทำให้ซูหนี่นางตกกระไดพลอยโจร ติดตามเว่ยอ๋องและเสิ้นเจิ้งซีเข้าเมืองหลวง หลังจากที่นางรู้ว่าทั้งสองมาสืบเรื่องชนเผ่านอกด่านก็ไม่คิดไล่พวกเขาอีกหลังจากที่เดินทางกลับมาพร้อมพวกเขาทั้งสอง นางได้ติดตามไปหาเยว่ชิงที่อยู่เมืองเจียงซาน จนภายหลังนางได้มาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหมอหลิว ซูหนี่นางมาอยู่ที่โรงหมอฮุ่ยซิว ตรวจคนไข้แทนเยว่ชิงที่กำลังตั้งครรภ์นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเจิ้งซีคิดเช่นใดกับนาง เพียงแต่นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น สำหรับผู้อื่นถือว่าออกเรือนช้า แต่สำหรับนางคิดว่าเร็วไปด้วยซ้ำแต่เมื่อถูกเยว่ชิงนางช่วยพูดให้เสิ่นเจิ้งซีทุกคน จิตใจของนางก็เริ่มสั่นคลอน“หนี่เออร์ เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปประจำการที่เมืองเหอตงแล้วหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามซูหนี่เมื่อนางมาเล่นกับหลานชาย“ไม่เจ้าค่ะ” ซูหนี่นางตกใจไม่น้อย เพราะว่านางไม่ได้พบเสิ่นเจิ้งซีมาหลายวันแล้ว“เห็นว่าจะออกเดินทางเร็วๆ นี้” เยว่ชิงลอบสังเกตอาการของซ
“ดูท่าแล้วสหายของเจ้าคงจะตายในไม่ช้า” นางเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากอกของเขาไม่น้อย ทั้งยังลูกธนูที่ฝังอยู่ในอกของเขาด้วย“แม่นาง เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยกับนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“ข้าเป็นหมอ ยังจะต้องไปตามผู้ใดอีก หากไม่อยากให้สหายของเจ้าตายก็เอาดาบออกไปจากคอข้าเสีย” นางไม่รู้ว่าพวกเขาใช่คนร้ายหรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตัวนางมิอาจสู้พวกเขาได้“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับข้า” เขาเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ท่านี้กับข้าทั้งคืนก็ได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อน” นางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นหากเขาจะฆ่านางคงไม่ต่อปากต่อคำกับนางนานเพียงนี้บุรุษด้านหลังของซูหนี่วางดาบลง แล้วเข้าไปดูสหายของเขาทันทีซูหนี่ยืนกอดอกมองอย่างใจเย็น เขาหันมาทางนาง พร้อมทั้งขอร้องให้ช่วย“เจ้าก็พาเขาเข้าไปในเรือนของข้าสิ หรือต้องให้ข้าเข้าไปช่วยอุ้มด้วยอีกคน” นางเลิกคิ้วถามอย่างยียวน เมื่อครู่เอาดาบจ่อคอนางได้ ก็คงจะมีแรงเหลือแบกเพื่อเข้าไปด้านในเมื่อเห็นว่านางคงไม่ช่วย บุรุษผู้นั้นก็แบกร่างของสหายเข้าไปด้านในเรือน ซูหนี่นางจึงเดินตามเขาไป เพื่อช่วยดูอาการของเขา“ถอดเสื้อของเขาออก แล้วเจ้
ซูหนี่นำออกมาอีกครั้ง แต่นางไม่ยื่นไปต่อหน้าเขา เปิดออกให้ดูบนมือของนางแทน โสมหัวใหญ่ถูกเปิดออกให้ดูเพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้หลงจู๊ตกตะลึงได้แล้ว“เชิญพวกเจ้าเข้าไปรอในห้องรับรองก่อน ข้าจะไปตามท่านหมอมาประเมินราคาให้” หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้พาทั้งสามเข้าไปนั่งรอให้ห้องรับรอง“ท่านป้า พี่หลาง อีกครู่พวกท่านเพียงนั่งนิ่งๆ ก็พอเจ้าค่ะ ข้าจะต่อรองเรื่องราคาเอง อย่าได้แสดงสีหน้าอันใดออกมาเด็ดขาด หากพวกท่านไม่อยากได้ราคาที่น้อยลง” ทั้งสองรีบพยักหน้ารับอบย่างเชื่อฟังป้าชงอดมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาไม่ได้ นางใจกล้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ต่อรองกับหลงจู๊นางไม่มีท่าทางที่ตื่นกลัวเลยสักนิดทั้งสามนั่งรอเพียงไม่นาน หลงจู๊ก็เดินนำท่านหมอเข้ามาด้านใน“ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย” เขาร้องถามอย่างตื่นเต้น หากหลงจู๊ไม่ได้มองผิดไปโสมหัวใหญ่เพียงนั้นย่อมมีราคาไม่น้อยกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ครั้งนี้ซูหนี่นางไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด นางนำโสมขึ้นมาวางตรงหน้าของท่านหมอ เมื่อเขาได้เห็นก็อุทานออกมาทันที“สวรรค์ โสมพันปี เจ้า เจ้าไปเจอได้อย่างไร”“ท่านจะรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางไม่เอ่ยตอบเพราะไม่อยากเ
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บิดาของซูหนี่ได้เข้าขวางกลุ่มชนเผ่านอกด่านไว้ เพื่อให้ทุกคนได้หลบหนี แต่มารดาของนางไม่ยอมทิ้งบิดาแล้วหนีไปเพียงลำพังจึงได้จบชีวิตลงไปด้วยอีกคน“ท่านป้าข้ามีอะไรจะให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูหนี่ส่งห่อผ้าที่นางนำมาด้วยให้ป้าชง“สวรรค์ ของดีเช่นนี้ เจ้ามิเก็บไว้เอง” นางร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าด้านในคือสิ่งใด“ข้ามีสองหัวเจ้าค่ะ แบ่งให้ท่านหนึ่งหัว เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” ซูหนี่นางจึงเล่าเรื่องว่านางพบโสมได้อย่างไรให้ป้าชงฟัง“เด็กดี อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาเจ้าแล้ว” ซูหนี่ยิ้มไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นางมาที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับนางกันแน่“ข้าจะเข้าไปขายโสมที่เมืองพรุ่งนี้ ท่านป้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่”“ไปๆ” เพราะอาหารที่เรือนของนางก็เริ่มจะหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางเข้าเมืองอยู่ดี“ท่านป้า ทางที่ดีเรื่องโสม ท่านอย่าเพิ่งบอกผู้ใดนะเจ้าคะ” ซูหนี่นางกลัวว่าหากผู้อื่นรู้จะเข้ามาขโมยไปเสีย“ข้าเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคซูหนี่นางก็ขอตัวกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนนางก็เข้าไปพักในมิติทันทีรุ่งเช้าซูหนี่เก็บข้าวของที
ด้านหน้าของนาง ที่ใกล้ปากถ้ำ มีต้นโสมอยู่หลายหัว ในตอนแรกนางกลัวว่าตาจะฝาดไป จึงได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ“แล้วจะเก็บยังไง อะไรก็ไม่มีให้ขุด” เมื่อซูหนี่ยื่นมือออกไปที่โสมตรงหน้า ระหว่างที่นางใช้ความคิดว่าจะเอาสิ่งใดมาขุดโสม จึงไม่ได้ทันเห็นว่าโสมนับสิบหัวที่อยู่ในดินเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งลุกขึ้น แล้วเดินหาว่าโสมหายไปได้อย่างไร นางขยี้ตาอยู่หลายหน พื้นดินตรงหน้าก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม“โสมของข้า” นางทรุดตัวลง แล้วร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียใจแต่แล้วก็มีโสมโผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที เมื่อนางร้องเรียกโสมเสร็จ“เฮ้ยย” ซูหนี่โยนโสมทิ้งอย่างตกใจ นางก้มลงมองมือของนาง ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นแหวนหยกแบบเดียวกับที่นางได้มาจากร้านขายยาอยู่ที่นิ้วของนาง“คงไม่ใช่มั้ง” นางครุ่นคิด ก่อนจะคลานไปหยิบโสมที่นางโยนทิ้งไปกลับมาอีกครั้งในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซูหนี่จึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เก็บ” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อโสมในมือหายไปทันทีที่นางพูดจบนางทำเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้
ซูหนี่แพทย์สาว เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังในกรุงปักกิ่ง เพราะชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดของเธอทำให้มีคนไข้มากมายต้องการจะรักษากับเธอ แม้จะต้องรอคิวนับเดือนก็ตาม“หมอไป๋คะ วันนี้มีคิวผ่าตัดสามคิว คุณจะให้ฉันเตรียมห้องผ่าตัดเลยไหม” พยาบาลเดินเข้ามาหาไป๋ซูหนี่ที่ห้องทำงานของเธอเธอยกยิ้มที่มุมปาก เพราะเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ได้กิน จะตามให้เธอไปผ่าตัดเลยหรือไง แต่เธอก็ต้องตอบไปว่า“ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”ในแต่ละวันของเธอไม่มีสิ่งใด มากไปกว่าอยู่ที่ห้องผ่าตัดและกลับไปพักที่ห้องพักข้างโรงพยาบาล เหตุผลที่เธอเลือกเรียนหมอ คงเป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก เธอที่ได้แต่ยืนมองพยาบาลเข็นแม่เธอเข้าห้องผ่าตัดไปโดยทำอะไรไม่ได้ครั้งนั้นแม่ของเธอไม่ได้ออกมาจากห้องแบบมีลมหายใจ เธอเสียชีวิตเพราะช็อกจากการผ่าตัด ทำให้ซูหนี่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะต้องเรียนหมอ เพื่อช่วยคนที่ป่วยเหมือนแม่ของเธอนอกจากที่เธอจะเลือกเรียนแพทย์ปัจจุบันแล้ว เธอยังสนใจเรื่องสมุนไพรของแพทย์แผนจีนไม่น้อย หลังจากที่มีเวลาว่างจากเรื่องเรียน เธอจะไปช่วยงานที่ร้านขายยาแผนจีน เพื่อหาความรู้และหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่